“มองเธอแค่นิดเดียวเอง ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรอ? เอาอย่างงี้ดีไหม เธอก็มองผมกลับบ้าง” หลินเยว่บ่นพึมพำเสียงเบา
“นายพูดอะไรนะ?” น้ำเสียงของฉินเหยาเหยาสูงขึ้นอีกแปดระดับทันที “มองนิดเดียว? ครั้งที่แล้วที่ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้านายไม่ได้มองด้วยหรอ?”
เมื่อพูดจบ ฉินเหยาเหยาก็ได้สติกลับคืนมา เื่น่าอายแบบนี้กลับหลุดออกมาจากปากของเธอได้อย่างไร ใบหน้าเธอจึงแดงก่ำขึ้นทันที
ครั้งที่แล้ว?
หลินเยว่ใจกระตุกอย่างกะทันหัน เขาต้องฝืนยิ้มออกมา เหตุการณ์ครั้งที่แล้วเธอก็รู้ตัวจริงๆ เสียด้วย
เมื่อเห็นว่าหลินเยว่อ้ำอึ้งพูดไม่ออก ฉินเหยาเหยาจึงเริ่มมีความกล้ามากขึ้น เธอถามกลับด้วยท่าทีดูอวดดี “ทำไมถึงไม่พูดล่ะ? ไม่มีอะไรจะพูดใช่ไหมล่ะ?”
“เปล่า ทำไมผมถึงต้องไม่มีอะไรจะพูดด้วยล่ะ” หลินเยว่พูดด้วยน้ำเสียงอึกอัก
“ถ้าอย่างนั้นทำไมนายถึงไม่พูดล่ะ”
“ผมก็แค่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี”
“มันก็คือไม่มีอะไรจะพูดไม่ใช่หรอ?”
“ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรจะพูด ไม่มีอะไรจะพูดคือไม่มีคำพูดที่้าพูดจริงๆ ไม่มีหนทางอื่น แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีเป็คำพูดที่มีทางเลือกทั้งสองทางแต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะมีคำพูดที่้าพูดอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรถึงจะดี ถึงแม้ว่าผลการกระทำของทั้งสองประโยคนี้จะเหมือนกัน แต่เบื้องลึกของทั้งสองประโยคนี้ก็มีความแตกต่างอยู่นะ”
“เถียงข้างๆ คูๆ!”
ฉินเหยาเหยากลอกตาใส่หลินเยว่แรงๆ อีกครั้ง
“แหะๆ เธอไม่โกรธแล้วใช่ไหม?”
“โกรธสิ! ฉันโกรธมากด้วย!” ฉินเหยาเหยาพูดด้วยความโกรธจัด
“เขวี้ยงก็แล้ว ด่าก็แล้ว ที่ควรลงโทษก็ลงโทษไปหมดแล้ว เธอยัง้าให้ผมทำยังไงอีกล่ะ?” หลินเยว่ถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
ฉินเหยาเหยากรอกดวงตาไปมา “วันนี้เท่านี้ก่อนละกัน ถ้าวันไหนฉันอารมณ์ดีแล้วนึกออก ฉันก็จะบอกนายอีกที”
“อย่านะ เธอบอกผมวันนี้เลยเถอะ” หลินเยว่รีบพูดอย่างร้อนใจ แต่ประโยคทางด้านหลังต่อไปนี้เขาไม่ได้พูดออกมาให้เธอฟัง “หากวันไหนเธออารมณ์ดีนึกออก วันนั้นผมจะยังมีชีวิตรอดไหมล่ะ? ต้องถือโอกาสตอนที่เธอยังไม่ได้มีแผนร้ายอยู่ในใจ เขาก็ต้องถามเธอให้ได้คำตอบออกมาก่อน”
“สำหรับเื่นี้อำนาจการตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับนายนะ หากนายกล้าไม่ยอมทำตามคำพูดของฉัน ฉันจะไปแจ้งตำรวจบอกว่านาย ‘ขืนใจ’ ฉัน!” ฉินเหยาเหยาพูดอย่างลำพองใจ
ขืนใจ?
หลินเยว่หัวเราะ “แหะๆ” เขาค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าหาฉินเหยาเหยาพร้อมกับทำหน้าเหมือนเฒ่าเ้าเล่ห์ “ในเมื่อสักวันเธอจะฟ้องผม ผมก็ไม่ยอมแบกรับความผิดนี้ฟรีๆ หรอกนะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้เราก็มาลองดูกันหน่อยไหมล่ะ อิอิ......”
“นายจะทำอะไร......กรี๊ด......นายออกไปเดี๋ยวนี้นะ!”
ฉินเหยาเหยากรีดร้องอย่างใ เธอรีบหดตัวแอบไปทางหัวเตียง และทันใดนั้นหมอนใบใหญ่ใบหนึ่งก็เขวี้ยงกระแทกใส่ใบหน้าของหลินเยว่
หลินเยว่ได้แต่ฝืนยิ้ม หรือว่าเขาจะหน้าตาเหมือนตัวร้ายที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างนั้นหรือ? เขาก็แค่ขู่เธอเล่นๆ เท่านั้นเอง ต้องมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้เลยหรอ?
หลินเยว่เดินออกจากห้องของฉินเหยาเหยาด้วยใบหน้าทุกข์ใจ และก่อนที่จะปิดประตูลง เขาก็พูดกับเธอ “ราตรีสวัสดิ์ นอนหลับฝันดีล่ะ!”
หลังจากนั้น ประตูก็ถูกปิดสนิท
ฉินเหยาเหยายังไม่ทันได้สติ วินาทีถัดมาประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง หลินเยว่โผล่ศีรษะเข้ามาเพียงอย่างเดียว เขาส่งยิ้มแหะๆ ใส่ฉินเหยาเหยาพร้อมพูดขึ้น “ขอเตือนด้วยความหวังดี ครั้งต่อไปเวลาที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าก็อย่าลืมล็อกประตูด้วยล่ะ”
พูดจบประตูก็ถูกปิดสนิทอีกครั้ง
“ออกไปไกลๆ เลย!!!”
ฉินเหยาเหยาเพิ่งได้สติกลับคืนมา เธอตะคอกขู่ใส่บานประตูสีขาวที่เป็ประตูห้องเธอเอง ท่าทางของเธอเหมือนกับลูกสิงโตตัวน้อยที่กำลังบ้าคลั่ง
แต่ผ่านไปสักพัก ฉินเหยาเหยาพลันหัวเราะเสียงต่ำขึ้นมาทันที เสียงหัวเราะของเธอสดใส และรอยยิ้มก็อ่อนหวานมากเสียด้วย
หลินเยว่เดินกลับไปยังห้องรับแขก เขาหยิบมีดแกะสลักขึ้นมาและเดินกลับเข้าห้องส่วนตัวของเขา เมื่อถึงห้องของตัวเองแล้ว หลินเยว่จึงพบว่าตอนนี้เป็เวลาใกล้จะห้าทุ่มแล้ว ความคิดที่จะลองใช้มีดแกะสลักผ่าธูปดูก็เป็อันพับไป ตอนนี้เป็เวลาดึกมากเกินไป เขาจึงยังไม่ทดลองของใหม่ แต่ยังคงใช้มีดอีโต้ตามเดิม
หลินเยว่เดินกลับไปหยิบมีดอีโต้หนึ่งเล่มจากห้องครัว เมื่อกลับถึงห้อง เขาจึงฝึกผ่าธูปเป็เวลา 1 ก้านธูปครึ่งแล้วจึงเข้านอน
วันถัดมา ยังคงเป็ฉินเหยาเหยาที่เป็คนปลุกให้หลินเยว่ตื่น แต่ทว่าครั้งนี้เธอไม่ได้เรียกปลุก แต่เป็การปลุกด้วยการฟาดหมอน!
หลินเยว่ตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เขามองหมอนเลอะๆ บนเตียง แล้วถามขึ้นอย่างอ่อนใจ “คุณนายคนดีของผม เธอ้าทำอะไรหรอ?”
“ซักหมอนของฉันให้สะอาด เพราะมันสกปรกด้วยฝีมือของนาย” ฉินเหยาเหยาพูดดูมีเหตุมีผลมาก
“แต่ว่ามันก็เป็การเขวี้ยงด้วยฝีมือของเธอนะ” หลินเยว่โอดครวญ
ฉินเหยาเหยาถามหลินเยว่อย่างข่มขู่ “เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว บอกมาเลยดีกว่าว่านายจะซักหรือไม่ซัก?”
“ไม่ซัก ยังไงก็ไม่ซัก!” หลินเยว่ทำสีหน้าราวกับวีรบุรุษผู้ที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
“พี่หลินเยว่ขา~~” ฉินเหยาเหยาบิดเอวแล้วลดตัวลงนั่งบนเตียงของหลินเยว่ ดวงตาคู่โตของเธอเปล่งประกายดูน่าสงสาร เธอแบบมือออกมาให้หลินเยว่ดูแล้วโอดครวญ “พี่ดูมือของฉันสิ มันเป็แผลเล็กๆ เพราะตอนซักผ้าเลยนะ พี่ก็ช่วยฉันหน่อยไม่ได้หรอคะ?”
หลินเยว่จับมือของฉินเหยาเหยาขึ้นมาดูใกล้ๆ เขาจึงเห็นว่าตรงนิ้วนางของเธอมีรอยแผลเล็กๆ แผลหนึ่งจริงๆ และรอยแผลนี้เมื่อปรากฏอยู่บนมือขาวเนียนของเธอ มันก็ดูสะดุดตามากทีเดียว และเป็การทำลายความงามของนิ้วมือเธอจริงๆ พอหลินเยว่เห็นเข้าจึงรู้สึกสงสารและเห็นใจเธอ เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็พูดออกมา “พวกเราซื้อเครื่องซักผ้ากันเถอะ เดี๋ยวผมออกเงินเอง”
“เอ่อ?” ดวงตาคู่โตของฉินเหยาเหยากำลังจ้องเขม็งไปที่หลินเยว่
หลินเยว่ถูกฉินเหยาเหยามองไม่เลิก เขาก็เริ่มรู้สึกขนลุกขึ้นมา เขาจึงรีบพูดจากลบเกลื่อน “เธอห้ามคิดเข้าข้างตัวเองว่าผมสงสารมือของเธอถึงได้ซื้อเครื่องซักผ้านะ ความจริงเป็เพราะผมสงสารมือของตัวเองและเวลาที่เสียไปมากกว่าน่ะ”
“อ้อ? อย่างงั้นหรอ?”
“ใช่สิ แน่นอนอยู่แล้ว!” หลินเยว่ตอบรับอย่างหนักแน่น แต่ความจริงน้ำเสียงเขาดูไม่ค่อยเป็ธรรมชาติสักเท่าไร
ฉินเหยาเหยาก็ยังจับจ้องไปที่หลินเยว่อีกชั่วเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นเธอจึงคลี่ยิ้มพร้อมลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นฉันจะรอเครื่องซักผ้าจากนายละกัน”
เมื่อเห็นว่าฉินเหยาเหยาเดินออกไปแล้ว หลินเยว่จึงรีบถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที เขารีบสวมกางเกงในอย่างไม่รอช้า โชคดีที่เธอไม่ได้เลิกผ้าห่มออก ไม่อย่างนั้นเธอคงจะได้เห็นเขาเปลือยทั้งตัว เพราะตัวเขาเคยชินกับการนอนโดยไม่สวมเสื้อผ้าเลยสักชิ้น
อืม เมื่อตะกี๊หากมือของเธอเคลื่อนมาทางซ้ายขึ้นอีกนิด มือของเธอก็คงจะถูกน้องชายของเขาแล้วล่ะ!
หลินเยว่หัวเราะอย่างเ้าเล่ห์ สีหน้าของเขาดูหื่นทีเดียว
เช้าวันใหม่ก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง หลินเยว่ก็ใช้ชีวิตเป็ปกติเหมือนกับทุกๆ วัน เขาไปฟังการบรรยายที่หรงเล่อเซวียน หลังจากนั้นกลับบ้านมาผ่าธูป แต่ใน่ตอนเช้าและตอนเย็น ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งสองคนจะไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากลับดูคลุมเครือมากยิ่งขึ้น
หลังจากกลับถึงบ้านและทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว หลินเยว่จึงกลับเขาห้องส่วนตัวอีกครั้ง เขาจุดธูป ปิดไฟ แต่ครั้งนี้ในมือของเขาไม่ใช่มีอีโต้เหมือนวันก่อนๆ แต่กลายเป็มีดแกะสลักแทน เนื่องจากมีดแกะสลักค่อนข้างเล็กและสั้นกว่า ทำให้เวลาผ่าธูปหลินเยว่ต้องพยายามกดลงไปให้มากกว่าปกติ เพราะว่าเขาเคยชินกับความกว้างและความยาวของมีดอีโต้แล้ว เขาจึงต้องพยายามปรับตัวฝึกใหม่อีกครั้ง
หลินเยว่จ้องแสงไฟแดงๆ ท่ามกลางความมืดสนิท มีดแกะสลักในมือของเขาพลันผ่าลงไป
ยังคงผ่าไม่ถูกเหมือนเดิม
ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะผ่าไม่ถูก แต่หลินเยว่เห็นว่าตอนที่ใบมีดเล่มนี้โฉบผ่านแสงไฟสีแดงท่ามกลางความมืดนั้น จุดแดงๆ กลับดูหมองลงไปเยอะพอสมควร
เมื่อหลินเยว่เห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงได้แต่รู้สึกประหลาดใจ ทำไมถึงได้แผ่กระจายความหนาวเย็นได้มากขนาดนี้ล่ะ!
เขาลองผ่าลงไปอีกครั้ง แต่ผลก็คือยังผ่าไม่ถูกอยู่ดี
และการลงมีดในครั้งนี้ทำให้เขาตระหนักรู้อยู่เื่หนึ่ง...นั่นก็คือ เขาฝึกผ่าธูปมาแล้ว 9 วัน ทำให้เขาปรับตัวจนคุ้นเคยกับน้ำหนักและจังหวะมือในการจับมีดอีโต้แล้ว แต่เมื่อเขาเปลี่ยนอุปกรณ์อย่างกะทันหัน เขาจึงไม่สามารถปรับตัวตามได้ทันเลย เขารู้ได้ทันทีว่าถึงแม้ในอนาคตเขาจะต้องเปลี่ยนเป็ใช้มีดแกะสลักก็ตาม แต่มันต้องไม่ใช่การเปลี่ยนในเวลานี้ เขาต้องห้ามเอาความอยากรู้อยากเห็นชั่วคราวมาทำลายขั้นตอนที่เขาได้วางแผนไว้แล้วเป็อย่างดี