ห้องโถงชั้นล่าง บรรดาผู้ชมหมากล้อมพากันแตกตื่น
เพราะก้าวนี้ของหมากดำมิได้เป็ค่ายกลแปลกใหม่อันใด ทั้งยั้งเป็ที่คุ้นเคย มันพัฒนาและดัดแปลงจากค่ายกลเล็กๆ อันหนึ่ง เสี่ยวมู่เกากว้า เพียงแต่วิธีการเดินหมากของมันมาแบบเหนือความคาดหมาย ล้วนแหกกฎทุกอย่างที่ทุกคนรู้จัก ดังนั้น หลังจากทุกคนมองออกแล้ว แต่ละคนจึงรู้สึกตื่นเต้นจนเกือบจะะโโลดเต้น!
“ให้ตายเถอะ ข้าถึงกับมองออกแล้ว!”
“นี่มิใช่ ค่ายกลพื้นฐานหรอกหรือ ข้าก็ใช้เป็! แต่ดูเหมือนจะเป็ขั้นสูงกว่าค่ายกล เสี่ยวมู่เกากว้า ไปหลายขั้นทีเดียว!”
“จะเป็เพียงแค่ค่ายกลพื้นฐานง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร ดูจากลักษณะของการวางหมากแล้ว เหมือนมีดาบเล่มหนึ่งแขวนอยู่้า ดูแล้วรู้สึกขนลุกขนพอง”
“เมื่อสักครู่มองไม่ออก จึงรู้สึกว่ายุ่งยากซับซ้อน ตอนนี้มองออกแล้ว ให้ตายเถอะยุ่งยากซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม!”
“ซับซ้อนเกินไป ข้ามองแล้วอยากอาเจียนเป็เื!”
“ช่วยด้วย สมองข้าดูเหมือนจะไม่พอใช้!”
“...”
เวลาหนึ่งกาน้ำชาผ่านไป
เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป
หมากขาวยังไม่ขยับ ภายในห้องพิเศษ ตี้ เงียบสงัดผิดปกติ เงียบราวกับว่าคนที่อยู่ในห้องไม่ได้อยู่ในนั้น!
เฟิ่งเฉี่ยนจับจ้องหมากบนกระดาน คิ้วเรียวนั้นยิ่งขมวดแน่นขึ้น นางรู้ว่านี่เป็ค่ายกลใหม่ค่ายกลที่สองที่ซือคงเซิ่งเจี๋ยปล่อยออกมา เป็ค่ายกลที่อันตรายและซับซ้อนยิ่งกว่าหน้าผาสูงชันพันหน้า หากเดินพลาดก้าวหนึ่ง ย่อมต้องสละหมากทั้งกระดาน นางเห็นดาบของพญามัจจุราชเล่มหนึ่งเงื้อรอนางอยู่เหนือศีรษะ มันพร้อมจะบั่นลงมาได้ตลอดเวลา นางค่อยๆ เดินทีละก้าวราวกับกำลังเหยียบย่ำอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ...
จะทำลายค่ายกลนี้ได้อย่างไรนะ
นางปิดดวงตาทั้งคู่ลง ในสมองพลันปรากฏให้เห็นภาพในจินตนาการรางๆ ในจินตนาการนั้น ร่างของนางอยู่ท่ามกลางหมอกสีขาว รอบๆ ด้านเต็มไปด้วยอันตราย นางยืนอยู่กับที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ทันใดนั้นมีเสียงดาบเล่มหนึ่งแหวกอากาศเข้ามา มันพุ่งเข้ามาหานางจากด้านหลังขวา นางโยกกายหลบหลีก ปลายดาบเล่มนั้นได้กลิ่นเืและลมหายใจ ราวกับเป็ดาบในมือของพญามัจจุราช ลำแสงสีเงินสาดเข้าใส่ดวงตาทั้งคู่ของนาง ทำให้ดวงตาของนางพร่าจนมองอะไรไม่เห็นเลย!
เมื่อนางรู้สึกตัวลืมตาขึ้นอีกครั้ง ที่อยู่เบื้องหน้าสายตาก็คือแสงเงาอันแสนเยียบเย็นของดาบเล่มนั้น!
ปลายดาบแหลมคมนั้นพุ่งเข้ามาหานางจากทุกทิศทาง!
วินาทีถัดมานางรู้สึกราวกับถูกคมดาบแทงทะลุร่างกาย!
นางตื่นตระหนกจนส่งเสียงร้องออกมาครั้งหนึ่ง และได้สติคืนมาทันใด!
เมื่อนางลืมตาขึ้นพบว่าแผ่นหลังของตนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ จิตใจกระวนกระวาย
เหี้ยมโหดเหลือเกิน!
นางเกือบจะหลงอยู่ในวังวนของจินตนาการอันเพ้อเจ้อ!
ที่แท้นี่ต่างหากเล่าคืออานุภาพอันร้ายแรงของค่ายกลนี้ ความซับซ้อนยุ่งยากเป็เพียงเปลือกนอกเท่านั้น ทว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมันก็คือ มันสามารถดึงดูดจิตใจและิญญาของคนได้ด้วย!
ซือคงเซิ่งเจี๋ยเป็ปีศาจโดยแท้จึงสามารถคิดค้นค่ายกลที่วิปริตวิตถารเช่นนี้ออกมาได้!
ไม่ได้ นางจะต้องชะล้างจิตใจที่ยุ่งเหยิงนี้ให้สะอาดและผ่องแผ้ว ให้ตนเองสงบจิตใจลงได้อย่างจริงๆ จังๆ จะถูกค่ายกลของเขาครอบงำจิตใจจนทำให้ไม่มีสติอีกไม่ได้
นางเริ่มสวดบทสวดชำระจิตใจในใจ นี่เป็บทสวดบทหนึ่งที่อาจารย์คนก่อนสอนนาง ทุกครั้งที่จิตใจของนางว้าวุ่น ขอเพียงสวดบทสวดชำระจิตใจหนึ่งร้อยรอบ จิตใจของนางจะสงบลง มันได้ผลอย่างมาก!
เด็กเดินหมากที่อยู่ด้านข้างกำลังรอให้นางเดินหมาก กลับเห็นนางหลับตาลงและริมฝีปากเริ่มสวดอะไรบางอย่างขมุบขมิบ เขาเต็มไปด้วยความสงสัย ในใจคิดว่าแม่นางเฟิงคนนี้ช่างประหลาดนัก หรือการท่องบทสวดก็จะทำให้คลี่คลายสถานการณ์บนกระดานหมากได้
ในเวลาเดียวกันภายในวังหลวงโกลาหลไม่แพ้กัน บรรดาขุนนางต่างพากันเอะอะโวยวาย
“ให้ตายเถอะ ปล่อยไม้ตายอีกแล้ว”
“ดูเหมือนจะเป็ เสี่ยวมู่เกากว้า แต่ชัดเจนเหลือเกินว่าซับซ้อนกว่านั้นมาก!”
“ค่ายกลยุ่งยากซับซ้อนมาอีกหนึ่งค่ายกลหรือ ข้าดูจนตาพร่าแล้ว!”
“นี่มันค่ายกลอะไร มีใครรู้บ้าง”
“ผีจึงจะรู้น่ะสิ! ไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อน!”
“ซือคงเซิ่งเจี๋ยโหดร้ายเหลือเกิน! เพิ่งจะใช้ค่ายกลที่ยุ่งยากซับซ้อนไปค่ายกลหนึ่ง ตอนนี้มาอีกค่ายกลหนึ่ง เขาทำเช่นนี้้าบีบคั้นหมากขาวนี่นา!”
“แม่นางเฟิงจะทำลายได้หรือไม่นะ”
“ข้ารู้สึกว่ายาก!”
“...”
หลี่หรงเต๋อเห็นเช่นนั้นจึงหัวเราะขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี ดูท่าแล้วเขาเปลี่ยนข้างเดิมพันเป็เื่ถูกต้อง ซือคงเซิ่งเจี๋ยไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ
หันไปมองเฟิ่งชังที่หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ อารมณ์ของเขายิ่งดีขึ้นไปอีก เขาอดที่จะถากถางไม่ได้ “ท่านมหาเสนาบดีเฟิ่ง ดูท่าแล้วแม่นางเฟิงจะเป็อย่างที่ท่านว่า ฝีมือการเดินหมากของนางเมื่อเปรียบเทียบกับซือคงเซิ่งเจี๋ยแล้ว ยังห่างชั้นอีกไกลโยชน์!”
พูดแล้วเขาก็ปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่น สหายร่วมงานที่รายล้อมอยู่อีกหลายคนจึงพากันหัวเราะผสมโรงด้วย
เขาจงใจนำคำพูดที่เฟิ่งชังเคยพูดเองมาตอกย้ำ ทำให้เฟิ่งชังมีโทสะจนแทบจะบอบช้ำภายใน แต่ด้วยความที่เฟิ่งชังฝึกฝนอยู่เป็เนืองนิตย์จึงควบคุมโทสะที่คุกรุ่นในใจลงได้ เฟิ่งชังแค่นหัวเราะเสียงเย็น “สามารถทำให้ยอดฝีมือในการเดินหมากล้อมเช่นซือคงเซิ่งเจี๋ยถึงกับต้องขนเอาค่ายกลที่ยุ่งยากซับซ้อนออกมาใช้ค่ายกลแล้วค่ายกลเล่า เห็นได้ว่าฝีมือการเดินหมากของแม่นางเฟิงนั้นล้ำเลิศ ต่อให้สุดท้ายแล้วต้องพ่ายแพ้ก็เป็การพ่ายแพ้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี!”
คำพูดของเขาได้รับความเห็นพ้องจากไท่จื่อน้อย เขาพยักหน้าแรงๆ
เฟิ่งชังพูดอีกว่า “อีกทั้งจะแพ้หรือชนะนั้นยังไม่รู้แน่ ใต้เท้าหลี่ใจจดใจจ่อรอให้แม่นางเฟิงพ่ายแพ้ฝ่ายเดียว ใต้เท้าหลี่ลองถามใจตัวเองดูเถิด ในใจยังมีความรักชาติรักแผ่นดินเช่นแคว้นเป่ยเยียนของพวกเราอยู่อีกแม้เพียงสักกระผีกหรือไม่”
เขาถึงขั้นนำคำพูดของหลี่หรงเต๋อกลับมาเรียบเรียงเสียใหม่
หลี่หรงเต๋อหน้าขาวเผือด โกรธเสียจนปากเบี้ยวไปเลย
ไร้ความละอาย! ไร้ความละอายจริงๆ!
หัวใจที่รักชาติและแผ่นดินหรือ ช่างเป็หมวกใบใหญ่เหลือเกินที่ครอบลงมาบนศีรษะของเขา!
เมื่อสักครู่เขาเพิ่งวางเดิมพันข้างหมากดำ ไฉนจึงไม่เอ่ยถึงความรักชาติรักแผ่นดินเล่า
ไม่รอให้เขาตอบโต้ เฟิ่งชังก็กล่าวคำพูดที่โน้มน้าวจิตใจผู้อื่นออกมาอีก “ทุกท่าน วันนี้เป็การประลองของผู้แข็งแกร่งทั้งสองท่านของแคว้นเป่ยเยียนและแคว้นหนานเยียน ข้าในฐานะของคนแคว้นเป่ยเยียน ล้วนมีภาระและหน้าที่ที่จะสนับสนุนและให้กำลังใจนักเดินหมากของแคว้นเป่ยเยียน! เื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเดิมพัน ไม่เกี่ยวข้องกับความชอบส่วนตัวแต่เป็หน้าที่และความรับผิดชอบที่ชาวเป่ยเยียนทุกคนพึงมี!”
ช่างเป็คำพูดปลุกใจที่เยี่ยมยอด!
ช่างเป็ท่านมหาเสนาบดีผู้รักชาติคนหนึ่ง!
หลี่หรงเต๋อแทบจะกระอักออกมาเป็เื เขาก่นด่ามารดาในใจ “ถุย ท่านมันก็แค่แล่นเรือไปตามแรงลมเท่านั้นเอง! ท่านไม่มีความคิดเป็ของตัวเอง! ไฉนจึงไม่ขึ้น์ไปเลยเล่า”
ทว่าคำพูดเมื่อสักครู่ของเฟิ่งชังกลับทำให้หัวใจอันไร้เดียงสาของไท่จื่อน้อยเปี่ยมไปด้วยความสุข มือเล็กนั้นตบเข้าหากันดังสนั่น
“ท่านตาพูดได้ดีเหลือเกิน! ขอเพียงเป็ชาวเป่ยเยียน ล้วนสมควรสนับสนุนพี่สาวเฟิงทั้งสิ้น! พี่สาวเฟิงต้องชนะ!”
สิ้นเสียงของไท่จื่อน้อย สหายร่วมเรียนตัวน้อยสองคนของเขาก็ยกกำปั้นเล็กๆ ขึ้นมาตอบรับว่า “พี่สาวเฟิงต้องชนะ! พี่สาวเฟิงต้องชนะ!”
หลี่หรงเต๋อหางตากระตุกอย่างแรง บอบช้ำภายในยิ่งกว่าเดิม
บนบัลลังก์ เซวียนหยวนเช่อหลุบตาลงเล็กน้อย รอยยิ้มจางลง เมื่อเขาช้อนตาขึ้นอีกครั้งในดวงตานั้นมีความกังวลอยู่ลึกๆ
ครั้งนี้ศิษย์น้องลงมือไม่ยั้งไมตรีแล้วจริงๆ ถึงกับโยนค่ายกลใหม่ออกมาติดๆ กันสองค่ายกล ไม่มีใครกระจ่างแจ้งถึงความร้ายกาจของค่ายกลดาบโลหิตของพญามัจจุราชได้ดีไปกว่าเขา ความร้ายกาจที่แท้จริงของมันไม่ได้อยู่ที่เปลือกนอกที่ดูเหมือนจะยุ่งยากและซับซ้อน ทว่าค่ายกลนี้สามารถดึงดูดจิตใจคนให้ลุ่มหลง และดึงสติของมนุษย์ ทันทีที่ความคิดและกำลังของคู่ต่อสู้อ่อนแรงลงก็จะติดกับอย่างง่ายดาย และกลายเป็สิ่งของบูชายัญของดาบโลหิต!
ฮองเฮาจะต้านทานความเย้ายวนของมันและทำลายค่ายกลได้หรือไม่
พูดจริงๆ แล้วเขาเองก็ยังไม่แน่ใจ
ลั่วหยิ่งเดินเข้ามาในท้องพระโรงในเวลานี้ เขามาหยุดข้างบัลลังก์ั ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก เซวียนหยวนเช่อเอ่ยปากขึ้นก่อนว่า “นางได้รับาเ็หรือไม่”
ลั่วหยิ่งตะลึงงันแล้วเพิ่งจะนึกขึ้นได้ถึงาแบริเวณหน้าผากของตนเอง เขาแทบจะน้ำตาไหลเพราะผู้ที่ได้รับาเ็เป็ตัวเขาต่างหากเล่า!
“ฝ่าาทรงวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ อันตรายของเหนียงเหนียงได้คลี่คลายลงแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยดี! เหนียงเหนียงยังให้กระหม่อมมาบอกความด้วยว่า เสื้อคลุมอบอุ่นเหลือเกิน นางจะพยายามอย่างที่สุดที่จะคว้าชัยชนะมาให้ได้ ไม่ให้พระองค์ต้องทรงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ!”
“เสื้อคลุมอบอุ่นเหลือเกินหรือ”
ริมฝีปากที่เ็าประดุจสลักด้วยน้ำแข็งนั้นยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้