ใน่เวลารวดเร็วปานสายฟ้าแลบก็เกิดฉากที่ทำให้ผู้คนแตกตื่นหวาดกลัว
มือข้างที่ถือคางคกม่วงของหัวหน้าคนชุดดำก็เน่าเละจนกลายเป็กองเืในชั่วพริบตา และกำลังเน่าเสียลุกลามไปยังแขนด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จนกระทั่งไปทั่วร่าง
และคนชุดดำผู้นั้นแม้แต่โอกาสจะส่งเสียงร้องก็ยังไม่มี เพียงไม่กี่วินาทีสั้นๆ ราวกับแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น คนเป็ๆ ผู้หนึ่งก็หายไปต่อหน้าต่อตาคนทั้งหมดเช่นนี้
เรียวลิ้นเล็กของคางคกม่วงเลียแ่เบาราวกับการจั๊กจี้เท่านั้น แต่กลับเสมือนกลายเป็ยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก เป็สารย่อยสลายที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด!
มู่จื่อหลิงยกมุมปากอย่างพึงพอใจ เสี่ยวไตกูยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
ผลการทดลองพิษครั้งแรกก็ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้แล้ว นางในฐานะที่เป็เ้าของ ใบหน้าย่อมผ่องใส
เสี่ยวหานที่ไม่เคยเห็นโลกข้างนอกนั้นใจนตาเหลือกเป็ลมหมดสติไปทั้งยืน มู่จื่อหลิงจนปัญญาได้แต่ลากนางไปบริเวณที่ปลอดภัยข้างๆ อีกประเดี๋ยวยังมีการต่อสู้อันโหดร้ายอยู่นี่นะ
กุ่ยเม่ยใจนอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย! เมื่อครู่เขายังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น คนเบื้องหน้าก็กลายเป็กองโลหิตสีดำกองหนึ่งไปเสียแล้ว ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!
คนชุดดำที่เหลืออยู่มองไปที่กองโลหิตสีดำและคางคกม่วงที่ตกลงมาหงายหลังเหมือนเต่าอยู่บนพื้น ขาทั้งสามขาของมันดีดดิ้นอย่างสุดชีวิตโดยเปล่าประโยชน์
พวกเขาไม่คิดว่าไม่เหลือซากศพของฉีหวางเฟยจะโเี้ถึงเพียงนี้ เมื่อเห็นสหายของตนเองตายอย่างน่าสังเวช แม้แต่ซากก็ไม่เหลือ ดวงตาพวกเขาก็แดงดั่งโลหิต มือมีเส้นเืดำปูดโปน สายตาปรากฏไอสังหารอันกระหายเื!
มู่จื่อหลิงไม่คิดว่านักฆ่าที่คนผู้นั้นจ้างมาจะมีจรรยาบรรณเพียงนี้ เห็นสถานการณ์นี้แล้วก็ยังไม่สะดุ้งะเื แต่ละคนนิ่งสงบราวกับลม ไม่ส่งเสียงสักแอะ มีเพียงแค่ไอสังหารเท่านั้น
จัดการไปหนึ่ง อีกฝ่ายก็ยังมีอีกเจ็ด มองบรรยากาศที่เต็มไปด้วยจิตสังหารก็รู้ว่าพวกเขานั้นเป็ผู้ประมือด้วยยากนัก และองครักษ์นอกจวนอ๋องเ่าั้ก็คงถูกตรึงไว้หมดแล้ว มิอาจมาช่วยเหลือได้ชั่วคราว
หากเจ็ดคนนี้บุกโจมตีเข้ามาพร้อมกันอย่างรุนแรงล่ะก็ สองกำปั้นยากต่อกรสี่มือ คาดว่ากุ่ยเม่ยเพียงคนเดียวคงรับเจ็ดคนพร้อมกันไม่ได้แน่
ต่อให้รับมือได้ ก็ยังคงต้องดูแลนาง เพราะนางไม่เป็วรยุทธ์กลายเป็ตัวถ่วงของกุ่ยเม่ยโดยสมบูรณ์แบบ ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าเป็การสูญเสียกำลังรบที่ไม่คุ้มค่า เป็เช่นนี้ต่อไปโอกาสชนะแม้แต่น้อยก็ไม่มี ดีไม่ดีชีวิตต่ำต้อยอาจจะไม่เหลือจริงๆ ก็ได้
แผนเดียวที่มีในตอนนี้ ได้แต่ให้กุ่ยเม่ยจัดการสองสามคน จากนั้นนางค่อยหาโอกาสใช้พิษกับพวกที่เหลือ จัดการไปทีละหนึ่ง อาศัยยามที่พวกนักฆ่าข้างนอกยังไม่เข้ามา รีบจัดการให้เสร็จสิ้น
มู่จื่อหลิงสังเกตอย่างละเอียดและระวังรอบคอบ อาศัยจังหวะที่คนทั้งหมดตื่นใ วางแผนการแต่ละก้าวให้เสร็จเรียบร้อยในทันที!
นางก้าวไปข้างหน้าอย่างระแวดระวัง เก็บเสี่ยวไตกูบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินไปข้างกายกุ่ยเม่ย กดเสียงเบา ใช้เสียงที่สามารถได้ยินเพียงแค่สองคน ถามอย่างเคร่งขรึม “กุ่ยเม่ย เ้ารับมือได้กี่คน?”
“ทั้งหมด!” กุ่ยเม่ยเองก็ใช้เสียงเบาตอบกลับอย่างจริงจังเช่นกัน เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดหวางเฟยถามเช่นนี้ แต่ยามนี้มีเขาคุ้มกันเพียงคนเดียว รับมือได้กี่คนล้วนไม่สำคัญ ไม่ได้ก็ต้องได้แล้ว
“พูดความจริง!” มู่จื่อหลิงพูดอย่างเข้มงวด แม้นางไม่รู้ว่ากุ่ยเม่ยร้ายกาจมากเพียงใด แต่เขาเพียงคนเดียวรับมือคนมากมายเพียงนี้ ต่อให้ไม่ตายก็ต้องาเ็
กุ่ยเม่ยถูกทำให้สับสนงงงวยแต่ก็ยังตอบไปตามความจริง “ข้าน้อยสามารถรับมือได้ห้าคน!”
มู่จื่อหลิงขบริมฝีปากแน่น เอ่ยปากด้วยสีหน้าแน่วแน่ “เ้าดึงไว้ก่อนหกคน อีกคนให้ข้าจัดการ!”
กุ่ยเม่ยไหนเลยจะคาดได้ว่าความคิดของมู่จื่อหลิงจะเป็เช่นนี้ หากรู้ก่อนเขาคงพูดว่าทั้งหมดไปแล้ว
“ไม่ได้ขอรับ! หวางเฟยท่านเข้าไปซ่อนตัวในตำหนักในก่อน” กุ่ยเม่ยตอบปฏิเสธโดยมิต้องคิดเลย
ต่อให้ตนเองต้องลุยเดี่ยวเพื่อรับมือคนมากมายเพียงนี้ โอกาสชนะคงไม่สูงนัก แต่เขาก็ไม่มีทางยอมปล่อยให้หวางเฟยที่ไม่มีวรยุทธ์ไปต่อสู้กับนักฆ่าแน่
คนชุดดำที่ตายโดยไม่มีเค้าลางบอกกล่าวนั่นเป็เพราะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มิได้ระแวดระวัง แต่ยามนี้ไม่เหมือนกันแล้ว
หากเขาโชคดีรอดพ้นจากภัยครั้งนี้ไปได้ แต่ทำให้หวางเฟยได้รับาเ็อันใดเข้าล่ะก็ ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าถึงเวลานั้นนายท่านกลับมาไม่มีทางละเว้นเขาแน่ และในใจเขาก็คงยกโทษให้ตนเองไม่ได้เช่นกัน
จากการอารักขาใน่หลายวันนี้ เขาก็ได้ถือว่าหวางเฟยผู้นี้เป็นายหญิงที่แท้จริงของพวกเขาไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ ลูกน้องปกป้องเ้านายเป็เื่ที่ถูกกำหนดจาก์
“เ้าจะรับมือเช่นใด หากบุกเข้ามาเ้ารับมือได้ทั้งหมดหรือ?” มู่จื่อหลิงพลันไม่พอใจขึ้นมา
คำพูดนี้มิได้ดูถูกกุ่ยเม่ย แต่เป็การพูดตามหลักความเป็จริง หากเพื่อช่วยนางแล้ว กุ่ยเม่ยมิทันระวังจนสูญเสียชีวิตน้อยๆ ไป เช่นนั้นนางจะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้มาเพราะนาง นางรักชีวิต แต่นางไม่มีหลบไปแน่
อีกอย่างการต่อสู้ย่อมต้องมีการาเ็สูญเสีย ต่อให้าเ็ นางก็ต้องลดการาเ็ให้น้อยที่สุด
“แต่” กุ่ยเม่ยวุ่นวายใจโดยพลัน เขาลำพังคนเดียวไม่สามารถรับมือได้จริงๆ แต่เขาก็มิอาจปล่อยให้หวางเฟยเสี่ยงอันตรายได้
“หยุดพูดไร้สาระ นี่เป็คำสั่ง!” มู่จื่อหลิงหันหน้ามาในชั่ววินาที พูดเสียงเย็นด้วยความน่าเกรงขาม ได้แต่ใช้อำนาจรับมือกุ่ยเม่ย ไม้อ่อนใช้ไม่ได้ก็ใช้ไม้แข็งแล้วกัน!
ยามนี้ตัวนางเองได้แต่พึ่งการใช้พิษรับมือคนชุดดำแล้ว เ้าอ้วนเสี่ยวไตกูที่มิได้เื่นั้นมิอาจโยนได้อีก
คนมากมายเพียงนี้ฆ่ากันไปมา และเท้าก็ไร้ความปรานี หากไม่ทันระวังทำให้เสี่ยวไตกูโดนเหยียบจนแบน นางต้องปวดใจมากแน่
คำพูดของมู่จื่อหลิงเพิ่งจบลง พวกคนชุดดำด้านหน้าก็ได้สติกลับมาแล้ว
ทันใดนั้น คนชุดดำก็แยกเข้ามาอย่างเป็แบบแผนนัก ล้อมมู่จื่อหลิงและกุ่ยเม่ยเป็วงกลมไว้ตรงกลาง และเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กระหายเืราวกับจะพุ่งเข้ามาในวินาทีถัดไป ขณะนี้มู่จื่อหลิงอยากไปก็ไปไม่ได้แล้ว
เพียงชั่วพริบตา กุ่ยเม่ยพลันรู้สึกว่าหวางเฟยเหมือนดั่งถูกนายท่านของตนสิงร่าง บัดนี้ไร้หนทางแล้ว จึงได้แต่ทำตามคำสั่ง
เพียงแต่ ยามนี้พวกคนชุดดำอยู่ใกล้กับพวกเขาเกินไป หากดึงดันจะแยกคนชุดดำออกจากกัน พวกเขาต้องเสียเปรียบเป็แน่
จุดนี้มู่จื่อหลิงก็เข้าใจเช่นกัน นางจึงชูเสี่ยวไตกูในมือขึ้นสูง แกว่งไปมาอยู่ต่อหน้าพวกคนชุดดำ ด้วยท่าที้าจะโยนออกไป ยกมุมปากอย่างเชื่องช้า พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ยังไม่อยากเหลือศพสมบูรณ์ก็เข้ามา เปิ่นหวางเฟยจะให้พวกเ้าสมปรารถนา!”
พวกคนชุดดำยังคงชูกระบี่ในท่าทางเตรียมต่อสู้เช่นเดิม ถอยไปข้างหลังติดต่อกันสองสามก้าวด้วยความระแวดระวัง
ในฐานะที่เป็นักฆ่า ต่อให้เห็นความเป็ความตายมาจนชิน แต่ที่เห็นดังก่อนหน้านี้ที่มนุษย์ตัวเป็ๆ กลายเป็กองเืหนึ่งกองไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา ไร้ซึ่งเค้าลางและร่องรอย ฉากเมื่อครู่นั้นทำให้หวาดสะพรึงจริงๆ
นอกจากความตื่นตระหนกแล้ว ในดวงตาของพวกเขายังปรากฏความใระคนหวาดกลัว ทว่ารับเงินผู้ใดมาแล้วย่อมจัดการธุระให้ผู้นั้นจนลุล่วง บทเรียนของอาชีพในฐานะที่เป็นักฆ่า หาได้มีหลักคำสอนแห่งความหวาดกลัวไม่
หลังจากที่คนชุดดำถอยออกไปจากพวกเขาอย่างระแวดระวัง มู่จื่อหลิงก็ยัดเสี่ยวไตกูกลับเข้าไปในระบบซิงเฉินอย่างรวดเร็ว ใบหน้ากุ่ยเม่ยก็เปี่ยมไปด้วยความเหี้ยมเกรียม ชิงออกกระบี่ก่อน
ชิ้งชิ้งชิ้ง! เพียงชั่วประกายไฟตีหิน าประกายดาบเงากระบี่ก็เปิดฉากขึ้น!
กุ่ยเม่ยก็ไม่ทำให้ผิดหวัง จิตสังหารบีบคั้น บังคับชายชุดดำแยกออกไปได้หกคน
มู่จื่อหลิงเห็นความรวดเร็วอันน่าทึ่งของกุ่ยเม่ยก็ตะลึงไปชั่วพริบตาก่อนจะได้สติกลับมาทันที และเงาร่างสีดำที่เหลืออยู่คนเดียวนั้น ดวงตาก็เต็มไปด้วยความดุร้าย ยกกระบี่คมกริบในมือขึ้นแทงเข้าไปหามู่จื่อหลิงในทันที
มู่จื่อหลิงไม่ได้หลบหลีก ไม่ว่าจะหลบพ้นหรือไม่พ้น นางก็ไม่คิดจะหลบ สิ่งที่นาง้าก็คือให้ชายชุดดำเอนกายเข้ามาใกล้นางอีกนิดเดียว นางจะได้ลงมืออย่างสะดวก
เพียงชั่วแวบเดียว คมกระบี่ของคนชุดดำอยู่ห่างจากตรงหน้ามู่จื่อหลิงเพียงสามชุ่นเท่านั้น
ในชั่ววินาทีที่คนชุดดำแทงกระบี่คมในมือเข้ามา ในใจมู่จื่อหลิงก็ยังคงตื่นตระหนกหวาดกลัว ทว่าหลักเหตุผลภายในจิตใจกลับเอาชนะความกลัวไปอย่างขาดลอย
หางตาของกุ่ยเม่ยเหลือบไปเห็นอย่างไม่ตั้งใจในชั่วขณะที่คนชุดดำแทงไปทางมู่จื่อหลิง ในใจก็ทั้งร้อนรนทั้งตื่นตระหนก เสียสมาธิไปชั่วขณะ การเคลื่อนไหวในมือติดขัดไปชั่วพริบตา จึงไม่ทันระวังถูกกระบี่ในมือคู่ต่อสู้แทงเข้าที่แขน
ใน่เวลาที่คิดว่าช้าเกินกลับรวดเร็วจนเหลือเชื่อ มู่จื่อหลิงสะบัดยาพิษน้ำกรดที่เตรียมไว้ในมือไปยังใบหน้าคนชุดดำอย่างแรงด้วยความเร็วอันว่องไว สาดไปอย่างแม่นยำ น้ำยาพิษถูกสาดจนปกคลุมใบหน้าของคนชุดดำ
ยามที่คนชุดดำได้สติกลับเข้ามา้าจะหลบก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว กระบี่ในมือตกลงพื้นจนส่งเสียงใสก้อง ‘เคร้ง’
จากนั้นคนชุดดำก็ส่งเสียงร้องสยดสยองอย่างใ ดวงตาเบิกโพลง สีหน้าคลุ้มคลั่ง กลิ้งลงไปกับพื้น ใบหน้าส่งเสียง ‘ฉ่าฉ่าฉ่า’ ราวกับเสียงย่างเนื้อ
มู่จื่อหลิงมิได้วางใจ ใช้โรคภัยของเ้ามาเอาชีวิตเ้า!
“เห็นเ้าทรมานเพียงนี้ เปิ่นหวางเฟยก็จะให้เ้าทรมานน้อยลง!” ั์ตามู่จื่อหลิงปรากฏรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้มทอดมองคนชุดดำบนพื้นพลางพูดอย่างใจดี
สิ้นคำพูด นางก็เก็บกระบี่ยาวขึ้นมาจากพื้น ยกมุมปากอย่างเหี้ยมเกรียม ั์ตาลุ่มลึกกลับปรากฏความโหดร้ายกระหายเื ดวงตาของคนชุดดำเบิกกว้างขึ้นอย่างกะทันหัน
สายตามู่จื่อหลิงเืเย็นเฉียบขาด แทงเข้าไปยังหน้าอกของคนชุดดำที่ส่งเสียงร้องโหยหวนอยู่บนพื้นอย่างแม่นยำไม่มีพลาด การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วหมดจด ปราศจากช่องโหว่ และชายชุดดำก็หยุดส่งเสียงร้องไปชั่วนิรันดร์
เอาเถอะ! ปกติก็ช่วยชีวิตคนมาไม่น้อย นี่เป็ครั้งแรกที่ปลิดชีพคนด้วยมือตนเอง ทว่าตานางกลับไม่กะพริบ ใจไม่ตื่นตระหนก ทุกอย่างที่กระทำล้วนเป็ไปตามเหตุและผล มือล้วนเคลื่อนไหวไปตามใจปรารถนา
ในวินาทีนี้กุ่ยเม่ยจึงผ่อนลมหายใจออกมาได้ทั้งหมด ในส่วนลึกของดวงตาปรากฏไอสังหารที่ดุดัน ปลุกเร้าจิติญญาแห่งการต่อสู้ พุ่งสมาธิไปยังบุคคลเบื้องหน้า
เป็เพราะการเปลี่ยนแปลงร้อยแปดในชั่วครู่นั่น เขาเห็นหวางเฟยลงมือในชั่วเวลาเพียงพริบตา ดูเหมือนโยนสิ่งใดไปที่คนชุดดำ กระบี่ในมือของคนชุดดำตกลงไป และคนก็ล้มตามลงไปด้วย กุมใบหน้าตนเองอย่างทรมาน
แม้ว่าจะจัดการได้อย่างง่ายดาย ก็มิอาจคลายใจได้เพราะสิ่งนี้!
และยามนี้คนชุดดำคนอื่นๆ ก็เห็นด้านนั้นของมู่จื่อหลิงแล้ว พวกเขาคิดไม่ถึงว่าฉีหวางเฟยจะมีสีหน้าทระนงองอาจและเืเย็นเฉียบขาดเช่นนี้
ระหว่างที่ครุ่นคิดนั้น คนชุดดำก็ตระหนักได้ถึงแผนการของมู่จื่อหลิง พวกเขาส่งสายตาแลกเปลี่ยนกันในทันที ดวงตาอำมหิต หันไปทางมู่จื่อหลิงโดยพร้อมเพรียงกัน
แต่ว่ากุ่ยเม่ยก็มิใช่สัตว์กินหญ้า เขาไหนเลยจะปล่อยให้คนชุดดำประชิดตัวมู่จื่อหลิงได้อย่างง่ายดาย พัวพันพวกคนชุดดำไว้อย่างแ่า
เพิ่งเห็นฉากเมื่อครู่นี้ไป กุ่ยเม่ยจึงเข้าใจแล้ว ไม่ต้องให้มู่จื่อหลิงบอก เขาก็ปล่อยคนชุดดำที่ถูกเขาดึงรั้งไว้ไปหนึ่งคน และคนที่เหลืออยู่เขาก็สามารถจัดการได้ในทันที ทั้งยังจัดการได้ง่ายดายนัก
คนชุดดำที่ถูกกุ่ยเม่ยปล่อยไปนั้นหลุดออกจากการพันธนาการของกุ่ยเม่ยได้อย่างง่ายดาย ย่องเท้าไปข้างกายมู่จื่อหลิงอย่างระมัดระวัง
มู่จื่อหลิงในขณะนี้กำลังระวังตัว แม้กล่าวว่าไม่ควรทำเื่เดิมเกินสามครั้ง แต่นางกลับไม่ทำเกินสองครั้ง วิธีใช้ตัวเองล่อศัตรูเมื่อครู่อันตรายเกินไป ต่อให้ใช้ได้ผลดีก็มิอาจนำชีวิตไปใช้ได้
นอกจากนี้ ฝ่ายตรงข้ามก็มิใช่คนโง่เขลา จะต้องเตรียมป้องกันตนเองไว้หมดแล้วแน่
ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น ลูกตาที่แจ่มใสมีชีวิตชีวาของมู่จื่อหลิงกลอกไปมา จากนั้นก็มีความคิดใหม่เกิดขึ้น
เพียงแต่ ความจริงแล้วบางครั้งก็ต้องขุดหลุมเช่นนี้ล่ะ
เกรงกลัวสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมมาจริงๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้