ั้แ่บัณฑิตจนถึงจอมยุทธ์ผู้มั่งคั่งหาก้าฝึกวิถียุทธ์ให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ต้องมีพร์เท่านั้นแต่ต้องมียาวิเศษเอาไว้อีกด้วย จึงจะถือได้ว่าพร้อมทั้งสองทาง
ยาพลังปราณคัมภีร์ยุทธ์ และอาวุธ คือสามสิ่งที่จอมยุทธ์ขาดไม่ได้ตลอดกาล
บนแผ่นดินเสินโจวทุกคนล้วนฝึกวรยุทธ์การบริโภคยาพลังปราณจึงสูงเป็อย่างยิ่ง ทำให้การผลิตไม่เพียงพอต่อความ้าที่มีอย่างมหาศาลราคายาจึงพุ่งสูงมาก
การฝึกฝนของผู้ฝึกยุทธ์ก่อนถึงชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดนั้นเน้นที่การฝึกร่างกายจึง้าใช้เพียงแค่ยาพลังปราณประเภทหนึ่งที่เรียกว่า ยาเม็ดชุบร่าง
ยาเม็ดชุบร่างแบ่งเป็สามประเภทคือ ชั้นล่าง ชั้นกลางและชั้นสูง ยาชั้นล่างใช้ชุบิัและกล้ามเนื้อ ยาชั้นกลางใช้ชุบเส้นเอ็นและกระดูกยาชั้นสูงใช้ชุบอวัยวะภายใน ใช้กับชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งกับสอง ขั้นสามกับสี่ และขั้นห้ากับหกตามลำดับ
ยาเม็ดชุบร่างชั้นล่างหนึ่งเม็ดมีค่าสามร้อยตำลึงเงินยาเม็ดชุบร่างชั้นกลางหนึ่งเม็ดมีค่าหกร้อยตำลึงเงิน และยาเม็ดชุบร่างชั้นสูงหนึ่งเม็ดมีค่าเก้าร้อยตำลึงเงิน
เมื่อใช้ยาพลังปราณความเร็วในการฝึกฝนจะรวดเร็วกว่าการฝึกฝนอย่างเดียวหลายเท่าลูกศิษย์ที่มีคุณสมบัติธรรมดาคนหนึ่ง หากใช้ยาพลังปราณแล้วฝึกฝนความเร็วในการฝึกก็ไม่แพ้ลูกศิษย์อัจฉริยะที่ฝึกฝนอย่างเดียวเห็นได้ชัดว่ายาพลังปราณนั้นสำคัญยิ่ง
ยาเม็ดชุบร่างเม็ดหนึ่งเพียงพอให้ผู้ฝึกยุทธ์ฝึกฝนได้ประมาณสามวันสำนักกระบี่์มีศิษย์นอกจำนวนมาก ในแต่ละเดือน ศิษย์แต่ละคนจะได้รับแจกจ่ายยาพลังปราณอย่างกระเบียดกระเสียรคนละสามเม็ดเพียงพอให้ฝึกฝนได้เป็เวลาเก้าวัน
เวลาที่เหลือหากอยากใช้ยาพลังปราณฝึกฝนก็ต้องออกเงินซื้อเอากับสำนักหากแจกจ่ายไปเปล่าทั้งหมดย่อมเป็รายจ่ายมโหฬาร สำนักที่เติบโตมาโดยใช้เวลายาวนานนับร้อยนับพันปีแน่นอนว่าแบกรับค่าใช้จ่ายนี้ไม่ไหว
ตระกูลของหลินตงเป็เพียงตระกูลเล็กๆ ที่ไม่ถูกนับลำดับชั้นพลังวัตรของเขาเพิ่งค่อยๆ ขึ้นมาถึงชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามและไม่มีใครสนใจ ทุกเดือนตระกูลของเขาส่งเงินมาให้เขาไม่ถึงสองพันตำลึง
สองพันตำลึงเงินซื้อยาเม็ดชุบร่างชั้นกลางได้เพียงสามเม็ดพอให้หลินตงฝึกฝนได้เก้าวัน บวกกับยาเม็ดที่สำนักแจกจ่ายให้เปล่าอีกสามเม็ดหนึ่งเดือนหลินตงใช้ยาเสริมการฝึกฝนได้เพียงสิบแปดวันดังนั้นหนึ่งร้อยตำลึงเงินสำหรับเขานับว่ามีค่ามาก
หนึ่งหมื่นตำลึงเงินหรือเทียบได้กับห้าเท่าของเงินที่ตระกูลส่งมาให้ใช้ฝึกฝนพอซื้อยาเม็ดชุบร่างชั้นกลางได้ถึงสิบหกเม็ดบวกกับยาเม็ดที่ได้รับแจกชจากสำนักก็พอให้หลินตงใช้ยาพลังปราณฝึกฝนได้ถึงสองเดือนกว่า
“ศิษย์พี่หม่าหวง หนึ่งหมื่นตำลึงเงิน เฮอๆ...” หลินตงเอาสองมือถูกันไปมายิ้มตาหยีจนกลายเป็เส้น หม่าหวงพลังวัตรอยู่ในชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกเข้าสำนักมาห้าปีกว่าแล้ว แม้คุณสมบัติจะธรรมดา แต่เื้ัครอบครัวนั้นเป็ถึงตระกูลชั้นแปดทุกเดือนให้ค่าใช้จ่ายในการฝึกฝนแก่เขาหนึ่งหมื่นสองพันตำลึงเงิน ทว่าพอหักเงินที่ต้องใช้ซื้อยาพลังปราณสำหรับฝึกฝนในทุกเดือนไปแล้วก็เหลืออยู่ไม่มากนัก
ศิษย์นอกมีเพียงผู้ที่มีพลังวัตรขึ้นสู่ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดแล้วเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะรับภารกิจของสำนักได้ พวกเขาจะได้ออกไปข้างนอกเพื่อฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์หาเงินทองและเก็บแต้มภารกิจของสำนัก แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นเจ็ด ทางเดียวที่จะหาเงินได้ก็คือชี้แนะการฝึกฝนให้แก่ลูกศิษย์ที่เข้าใหม่ที่มาจากตระกูลร่ำรวย
ปกติก็มีแต่ลูกศิษย์ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าขั้นหกเท่านั้นที่มีโอกาสนี้แน่นอนว่าผู้ที่มีพลังวัตรต่ำ แข็งแกร่งกว่าลูกศิษย์เข้าใหม่ไม่เท่าไรลูกศิษย์ใหม่ย่อมไม่เอาเงินมาโปรยเล่นโง่ๆ เชิญคนมาสอนตัวเองอย่างส่งเดชแน่นอน
แม้ว่าปกติเขาจะหาเงินจากการชี้แนะลูกศิษย์เข้าใหม่ได้บ้างแต่แพ้พนันหนึ่งหมื่นตำลึง ก็มากพอให้เขาขาดทุนจนกระอักแทบจะต้องหักเงินซื้อยาพลังปราณครึ่งเดือนออกมา
หม่าหวงในใจเ็ปรวดร้าวมือจิกกุมศีรษะ พูดขึ้นว่า “ศิษย์น้องท่านนี้ อัตราต่อรองนี่จะสูงเกินไปหรือไม่?”
“อะไรกัน ศิษย์พี่หม่าหวง เมื่อครู่เป็ท่านที่พูดเอง หนึ่งต่อร้อย ศิษย์พี่ที่อยู่ข้างๆ ทุกท่านก็ได้ยินกับหู ท่านไม่ได้คิดจะเล่นลูกไม้ใช่ไหม?”หลินตงย้อมถามด้วยเสียงที่ดังขึ้นอย่างอดไม่ได้
ลูกศิษย์ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าขั้นหกมีความสุขยามเห็นผู้อื่นตกทุกข์หัวเราะขึ้นมาแล้วพูดว่า“ศิษย์น้อง (ศิษย์พี่) หม่าหวง เมื่อครู่พวกเราต่างก็ได้ยินกับหู หากเ้าคิดจะโกงเงินศิษย์น้องชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามผู้นี้ต่อไปจะเอาหน้าไปสู้ใครได้อีกหรือ?”
สีหน้าของหม่าหวงดูเคร่งเครียดแต่ว่าจะให้เขาให้เงินหมื่นตำลึงกับศิษย์น้องชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ใครจะไปยอมกัน?
หม่าหวงตอบว่า“พูดพล่อยๆ ข้าจะไปโกงเงินศิษย์น้องได้อย่างไร ศิษย์น้องท่านนี้ เ้าให้เงินข้ามาหนึ่งร้อยตำลึงสินะ เอาแบบนี้ข้าคืนเงินหนึ่งร้อยตำลึงให้เ้าเป็อย่างไร...หรือจะให้ข้าคืนเ้าสองร้อยตำลึงดี?”
เห็นสายตาดูถูกของศิษย์คนอื่นรอบข้างหม่าหวงรีบเปลี่ยนคำเป็สองร้อยตำลึง แต่สายตาดูถูกยิ่งเข้มข้นมากกว่าเดิม
‘แต่ว่าเทียบกับหนึ่งหมื่นตำลึงแล้ว ดูถูกก็ดูถูกสิ!’ ในใจหม่าหวงคิดอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็ศิษย์น้องชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม แม้เขาจะโกงอีกฝ่ายจะทำอะไรเขาได้?
“ศิษย์น้องหลินตงเ้าทำไมมาอยู่ที่นี่ได้? หวงสือเล่า?” ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังหม่าหวงหม่าหวงหันกลับไปใจนสะดุ้งโหยง เป็เสวียนเทียนนั่นเอง
ภาพที่เสวียนเทียนใช้หนึ่งกระบี่สะบั้นปราณกระบี่ของหนิวจื้อเกาจนส่งเขากระเด็นตกเวทีประลองไปเมื่อครู่นั้น ยังฉายซ้ำอยู่ในสมองของหม่าหวง
‘หรือศิษย์น้องท่านนี้จะคุ้นเคยกับศิษย์พี่หวงเทียน’ หม่าหวงคิดในใจพลันเกิดรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
ในสำนักกระบี่์ศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่ได้นับตามอายุหรือปีที่เข้ามาในสำนัก แต่วัดกันที่พลังวัตรสูงต่ำ
เสวียนเทียนเข้าสำนักมาหลังหม่าหวงอายุก็อ่อนกว่าสองปี แต่พลังวัตรสูงกว่าหม่าหวง ดังนั้นจึงเป็ศิษย์พี่ของหม่าหวง
“ศิษย์พี่หวงเทียน...ข้าได้ยินว่ามีศิษย์ชั้นสูงขึ้นประลองเลยวิ่งมาดูศิษย์พี่หวงสือาเ็เคลื่อนไหวไม่สะดวกจึงไม่ได้มา ศิษย์พี่หม่าหวงคนนี้ เขา...”
หลินตงเล่าเื่ที่หม่าหวงเรียกให้คนลงพนันขันต่อว่าใครแพ้ใครชนะรวมทั้งหม่าหวงที่ติดเงินตนอยู่หนึ่งหมื่นตำลึงเงินั้แ่ต้นจนจบ เสวียนเทียนฟังจบสายตาก็เบนมาที่ตัวของหม่าหวง กล่าวว่า “ขอโทษนะ ศิษย์น้องหม่าหวง ข้าทำให้เ้าผิดหวังเสียแล้ว” แม้คำพูดจะเรียบเรื่อยแต่สายตากลับเย็นเยียบ ทำให้หม่าหวงรู้สึกสั่นสะท้าน รีบส่ายหัวพูดว่า “ไม่ผิดหวัง ไม่ผิดหวังเลย...”
เสวียนเทียนไม่พูดสักคำเอาแต่มองหม่าหวงด้วยสายตาเย็นเยียบ มองจนในใจหม่าหวงรู้สึกขนลุกชันพลันรู้สึกตื่นกลัว มือไม้ลนลานควักตั๋วเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากเสื้อ นับออกมาได้สิบใบแต่ละใบมีค่าหนึ่งพันตำลึงเงิน กล่าวว่า “ข้าหม่าหวงกล้าพนันกล้าแพ้ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่สนิทกับข้ารู้กันดี ข้าหม่าหวงพนันขันต่อเป็ที่หนึ่งศิษย์น้องท่านนี้ นี่เป็ตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึง รับไว้เถิด!”
พูดแล้วก็ยื่นตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงส่งไปให้หลินตง
“ขอบคุณศิษย์พี่หม่าหวง” หลินตงรับไปอย่างไม่เกรงใจ
มองตั๋วเงินปึกใหญ่ในมือที่ส่วนใหญ่เป็ตั๋วเงินใบละหนึ่งร้อยตำลึงตั๋วเงินใบละหนึ่งพันตำลึงที่เหลืออยู่นับดูแล้วเหลือเพียงสามใบในใจหม่าหวงเืไหลซิบ แต่บนใบหน้าเศร้าเสียใจนั้นยังประดับด้วยรอยยิ้มเศร้าสร้อยจางๆ“สมควรแล้ว สมควรแล้ว!”
เห็นหลินตงได้รับตั๋วเงินเสวียนเทียนก็อยากกลับไปที่พักกับเขา กลับไปดูสภาพของหวงสือญาติผู้น้องไม่ทันไรลานกว้างก็วุ่นวายขึ้นมา
“ศิษย์พี่จางหลง!”
“ศิษย์พี่จางหลง!”
...
...
เสียงเรียกขานดังขึ้นไม่หยุด
ศิษย์นอกที่ออกันอยู่บนลานกว้างเริ่มขยับถอยออกไปทั้งสองข้างแม้แต่ชนชั้นสูงของศิษย์นอกที่พลังวัตรเหนือกว่าชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดก็ไม่เว้น
บุคคลที่สูงเกินเอื้อมในหมู่ศิษย์นอกจางหลงผู้เป็หนึ่งในสามอันดับแรกของศิษย์นอกปรากฏตัวแล้ว
หากกล่าวว่าศิษย์ในเป็ดั่งผู้ที่อยู่บนชั้น์สำหรับศิษย์นอก ปกติแล้วไม่มีทางได้พบเห็น เช่นนั้นในบรรดาศิษย์นอก ยอดฝีมือหัวแถวสิบอันดับแรกนั้นก็เป็เทพัที่เห็นหัวไม่เห็นหางบางคราถึงจะได้เห็นสักครั้ง แต่ไม่มีวันรู้ได้ว่าพวกเขาอยู่ที่ใด
จางหลงในการแข่งขันจัดอันดับครั้งใหญ่ของศิษย์นอกเมื่อปีก่อน เขาคว้าอันดับที่แปดในสิบอันดับแรกมาครองได้ปีนี้ศิษย์นอกห้าอันดับแรกก้าวขึ้นชั้นเบิกนภาเข้าไปสำนักชั้นในจางหลงจึงกลายเป็บุคคลที่จะกลายเป็สามอันดับแรกของปีนี้อย่างแน่นอน
จางหลงปีนี้อายุสิบเจ็ดปีพลังวัตรลุถึงชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสิบ ขาดอีกเพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู้ชั้นเบิกนภา
เขาสวมชุดสีเขียวตรงคอเสื้อเห็นลายปักรูปัอยู่เลือนราง ตอนนี้เขาเชิดหน้ายืดอกท่าทางหยิ่งผยอง เดินอาดๆ เข้ามา
ข้างหลังจางหลงมีลูกศิษย์สิบกว่าคนเดินตามล้วนเป็ชนชั้นสูงของศิษย์นอก พลังวัตรชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดแม้กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นแปดหรือขั้นเก้าก็มี
ที่ที่จางหลงเดินผ่านศิษย์นอกบนลานกว้างต่างหลีกทางถอยออกไปทั้งสองข้าง เปิดเป็ทางเดินสายหนึ่ง
ไม่นานทางที่ลูกศิษย์สองฝั่งถอยออกก็เปิดมาจนถึงตรงหน้าของเสวียนเทียน
เสวียนเทียนไม่ได้ถอยออกไปสองข้างเขารู้ว่าเป้าหมายของจางหลงก็คือตนเอง
หนิวจื้อเกาที่สลบหมดสติไปพรรคพวกก่อนหน้านี้เอายาเม็ดรักษาแผลให้เขากินแล้ว คนเ่าั้แบกร่างของหนิวจื้อเกาเดินข้ามมาภายใต้การนำของจางหู่
“พี่ใหญ่ ศิษย์พี่หนิวโดนหวงเทียนฟันาเ็สาหัส พี่ต้องแก้แค้นให้พวกเรานะ! เล่นหวงเทียนให้ตาย ฟันหวงเทียนให้พิการ!” เมื่อมองเห็นจางหลงจางหู่เหมือนมองเห็นดาวช่วยชีวิต พลันร้องบอกเสียงดัง
จางหลงเตี้ยกว่าจางหู่อยู่หนึ่งศีรษะแต่ทั้งร่างเหยียดตรง หน้าเชิดอกผาย แม้ยามเดินก็ไม่มีคดงอแม้สักนิด เหมือนกับกระบี่คมที่ชักออกจากฝักภาพลักษณ์ดูสูงส่งกว่าจางหู่ไปไกล
เมื่อทั้งสองคนมายืนด้วยกันทำให้คนอื่นๆ รู้สึกว่าภาพที่เห็นนั้นขัดกับความเป็จริง ดูเหมือนจางหลงสูงกว่าส่วนจางหู่นั่นเตี้ยกว่านิดหน่อย
เมื่อเห็นหนิวจื้อเกาที่ไม่ได้สติคิ้วของจางหลงก็ขมวดเล็กน้อย กลายเป็เส้นขีดสามเส้นที่เหมือนกับอักษรคำว่า ชวน (川)
จางหลงเดินมาถึงตรงหน้าเสวียนเทียนห่างออกไปสิบจั้งก็หยุดเท้าสายตาดั่งมีดดาบ จับจ้องที่ใบหน้าของเสวียนเทียนแล้วพูดขึ้นว่า “หวงเทียน เ้าเก่งมาก!”
ฟังดูแล้วเหมือนเป็คำชมแต่น้ำเสียงกลับไม่ใช่เช่นนั้น ทำให้คนอื่นรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ
เสวียนเทียนลมหายใจนิ่งสงบจิตใจเป็ปกติ ไม่ได้รับผลกระทบจากจางหลงแม้แต่น้อย ตอบว่า “ศิษย์พี่จางหลงหรือว่าท่านก็อยากจะท้าข้า? จะประลองกับข้าด้วยหรือไม่?”
แม้เสวียนเทียนในตอนนี้จะปลดปล่อยปราณกระบี่ได้อีกทั้งแทบจะเทียบชั้นได้กับชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นแปด แต่ความสามารถบางส่วนก็ยังสู้ไม่ได้อย่างไรการฝึกฝนของเสวียนเทียนทั้งหมดล้วนเป็วิทยายุทธ์และวิถีปราณของชั้นทองขั้นกลางรอให้เสวียนเทียนฝึกปราณเบิกนภา ศาสตร์เงาพยัคฆ์เพลงกระบี่ดับเงาของชั้นทองขั้นสูงสำเร็จเมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นแปดก็คงไม่ใช่คู่มือของเขา
แต่จางหลงมีพลังวัตรของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสิบและบรรลุถึงขีดขั้นสูงสุดแล้ว เหลือเพียงอีกก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ชั้นเบิกนภานาทีนี้เสวียนเทียนยังคงไม่มีทางเทียบชั้นกับเขาได้
ในสายตาของจางหลงปรากฏแววดูถูกกล่าวว่า “อย่างเ้าน่ะหรือ? เ้าไม่คู่ควรหรอก!”
เสวียนเทียนรู้ดี ที่จริงแล้วจางหลงอยากขึ้นประลองกับเขา แล้วซ้อมให้ยับสักรอบแบบถูกต้องตามกฎ ส่วนเขาเองทำไมจะไม่อยากอัดจางหลงให้ยับสักรอบเล่า?
เพียงแต่ว่าไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้โอกาสไม่เหมาะกระบี่หยกขาวเล่มน้อยตรงกลางหว่างคิ้วทำให้พลังวัตรของเสวียนเทียนก้าวหน้าขึ้นต่อเนื่องสองขั้นความสามารถเพิ่มพูนจนเสวียนเทียนมั่นใจในตนเองมาก ขอเพียงให้เวลาเขาจะเอาชนะจางหลงไม่เป็ปัญหาแต่อย่างใด อีกทั้งไม่ต้องใช้เวลานานด้วย