ควบคุม นี่สินะคือความรู้สึกของการถูกควบคุม หลินเฟิงสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างสมบูรณ์
ั้แ่ที่หลินเฟิงได้เรียกจิติญญาแห่ง์ออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในความควบคุมของเขา
นอกจากนี้ในขณะที่เขาเรียกจิติญญาออกมา สมองของเขาสามารถประมวลผลได้รวดเร็วขึ้น แทบไม่มีข้อผิดพลาดเลย ตอนนี้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ในสมองของเขาทั้งนั้น
หลินเฟิงใช้คำพูดโอหังเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคน นอกจากนี้ยังกล่าววาจายั่วยุหลินป้าต้าวกับน่าหลันซยง และยังแสดงท่าทีที่อยากจะสังหารหลินเชียน แต่ในตอนที่ทุกคนกำลังคิดว่าเขา้าจะฆ่าหลินเชียนนั้น หลินเฟิงกลับมุ่งหน้าไปที่น่าหลันเฟิงแทน จากนั้นก็จับน่าหลันเฟิงมาเป็ตัวประกัน
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือ ถึงแม้ว่าเขาจะใช้ความแข็งแกร่งและความสามารถประมวลผลพร้อมๆ กัน แต่สมองของเขากลับยังดูแจ่มใสและยังคงสงวนท่าทีสุขุมเยือกเย็นไว้ได้
หลินเฟิงลอบถอนหายใจออกมา จิติญญาแห่ง์ช่างน่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว จิติญญาแห่งนักรบประเภทนี้กลับมอบความสามารถทุกชนิดให้แก่ผู้ และนี่เป็แค่การปลดปล่อยจิติญญาแห่ง์ขั้นที่ 1 เท่านั้น หากปลดปล่อยจิติญญาแห่ง์ขั้นที่ 2 ก็จะมีคัมภีร์แห่ง์ออกมา
“ปล่อยนางซะ” น่าหลันซยงกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า
“ปล่อยนาง? มันจะเป็ไปได้หรือ?” หลินเฟิงตอบกลับอย่างเยือกเย็น เขายังคงแสดงสีหน้าสุขุมเหมือนเดิม ในขณะที่สายตาก็ฉายแววเฉยเมยออกมา
“ถ้ามีใครพยายามเข้าใกล้ข้าหรือคิดจะโจมตีข้า ข้ารับรองได้ว่าคนแรกที่จะตาย ย่อมไม่ใช่ข้าแน่นอน”
น้ำเสียงเยือกเย็นที่ออกมาจากปากของหลินเฟิง ทำให้น่าหลันซยงแข็งทื่อ สีหน้าของเขาดูน่าเกลียดขึ้นมา
“เดิน!” ดาบในมือของหลินเฟิงสั่นเล็กน้อย ตอนที่ดาบจ่อคอของนางได้ทิ้งรอยเืเป็ทางยาวขึ้นมา เมื่อคมดาบทาบทับบนผิวอันบอบบาง น่าหลันเฟิงพลันรู้สึกหนาวเย็นะเืไปทั่วร่าง โดยเฉพาะยามที่ได้สบตากับหลินเฟิง นางก็รู้ได้ทันทีว่าไม่มีหวังเลยสักนิดที่หลินเฟิงจะปล่อยนางไป ั์ตาคู่นั้นดูเ็าและไร้อารมณ์ราวกับไม่ใช่มนุษย์
น่าหลันเฟิงก้าวเท้าเดินไปที่ประตูทางออกอย่างเชื่อฟัง
“จำไว้ว่าห้ามให้ใครตามข้ามา ไม่อย่างนั้นแล้วล่ะก็ ข้าจะเชือดคอนางให้พวกเ้าดู!” หลินเฟิงเหลือบมองไปที่หลินป้าต้าวซึ่งพยายามเขยิบมาใกล้ๆ เขา หลินเฟิงกระชับดาบในมือแน่น ทำให้มีหยดเืไหลซึมออกมาจากลำคอของน่าหลันเฟิง
“ไสหัวออกมาซะหลินป้าต้าว!!!” น่าหลันซยงตะคอกใส่หลินป้าต้าว ตอนนี้น่าหลันเฟิงกำลังตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นเขาก็ไม่คิดจะมารักษาหน้าตาหรือชื่อเสียงให้กับหลินป้าต้าว
เมื่อรู้สึกได้ถึงจิตสังหารอ่อนๆ ที่แผ่พุ่งออกมาจากดวงตาของน่าหลันซยง หลินป้าต้าวจึงชะงักเท้าที่กำลังจะเดินเข้าไปทันที ในใจของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและชิงชัง ไม่คิดเลยว่าหลินเฟิงจะเ้าเล่ห์ขนาดนี้ ที่เลือกน่าหลันเฟิงเป็ตัวประกัน เมื่อเขาพูดแบบนี้ออกมาแล้วจะมีใครกล้าแตะต้องเขากัน?
“หลินเฟิง ในเมื่อข้าปล่อยเ้าไปแล้ว ทำไมเ้าถึงไม่ปล่อยบุตรสาวของข้าล่ะ?” น่าหลันซยงถามหลินเฟิงด้วยน้ำเสียงเ็า
“เ้าอยากให้นางตายต่อหน้าเ้าตอนนี้ไหม?” ดวงตาที่ไร้อารมณ์ของหลินเฟิงเหลือบไปมองน่าหลันซยงช้าๆ ทำให้น่าหลันซยงรู้สึกอ่อนแรงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลินเฟิง ตอนนี้เขาไม่กล้าต่อรองกับหลินเฟิงอีก เพราะั์ตาของหลินเฟิงมันเ็าและไร้ความรู้สึกเกินไป เขากลัวว่าหากพูดอะไรออกไปแล้วทำให้หลินเฟิงโกรธขึ้นมา บางทีมันอาจสังหารบุตรสาวของเขาก็ได้
เงาร่างหลินเฟิงและน่าหลันเฟิงค่อยๆ จางหายไป เพราะคำสั่งของน่าหลันซยง ทำให้ไม่มีใครกล้าไล่ตามพวกเขาไป แม้กระทั่งตัวของน่าหลันซยงเองก็ยังไม่กล้า เขาทำได้เพียงแต่สวดภาวนาในใจ ขอให้ไม่มีเื่อะไรเกิดขึ้นกับน่าหลันเฟิงเท่านั้น
ไม่นานฝูงชนก็เห็นเงาของหลินเฟิงหายไปที่นอกประตูเมือง ก่อนจะถอนหายใจออกมา ราวกับว่าความรู้สึกที่กักเก็บไว้มานานกำลังถูกปลดปล่อย เื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งน่าตื่นเต้นและเร้าใจอย่างยิ่ง เพราะหลินเฟิงได้สร้างความประหลาดใจให้กับพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
“หลินเฟิง หลินเฟิง หลินเฟิง”
คนตระกูลกู่ ตระกูลน่าหลัน และชิวหยวนฮ่าวต่างก็ะโชื่อนี้อยู่ในใจราวกับว่าจะสลักชื่อนี้เข้าไปในกระดูก
แต่ดวงตาของคนในตระกูลหลินกลับฉายแววซับซ้อนออกมา นั่นเป็อัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดของตระกูล แต่เมื่อเขามีชื่อเสียงในเมืองหยางโจว ความรุ่งโรจน์และเกียรติยศกลับไม่ได้เป็ของตระกูลหลิน กลับกันตระกูลหลินของพวกเขายังได้รับการเสียดสีและเยาะเย้ยจากผู้คน อัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ พวกเ้ากลับขับไล่เขาออกจากตระกูล? ในใต้หล้านี้ยังมีเื่ตลกเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?
อย่างไรก็ตามการต่อสู้ในวันนี้ ก็ทำให้ชื่อเสียงของหลินเฟิงโด่งดังที่สุดในเมืองหยางโจว
ในไม่ช้าผู้คนในเมืองหยางโจวทั้งหมดก็จะรู้จัก ‘หลินเฟิง’ ในฐานะอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ใช่ไอ้ขยะตระกูลหลิน และไม่ได้เป็คนของตระกูลหลินอีกต่อไป
แน่นอนว่าหลินเฟิงไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมา ในความเป็จริงแล้วเมื่อเขาออกมาจากเมืองหยางโจว เขาก็หันกลับไปมองเมืองหยางโจวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขี่ม้าจากไป เขาไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกเมื่อไร แต่เขารู้แค่ว่า เมื่อเขากลับมาอีกครั้งผู้คนจะต้องเคารพเขา เมื่อถึงตอนนั้นหลินเฟิงจะล้างความอัปยศทั้งหมดที่ได้รับ และจะไม่มีใครมาขวางเขาได้ นอกจากนี้เขาก็ไม่จำเป็ต้องพึ่งตัวประกันเพื่อหลบหนีเหมือนคราวนี้
…
10 วันต่อมา หลินเฟิงได้ขี่ม้าพันลี้มาถึงนิกายหยุนไห่ เขาเงยหน้ามองหุบเขาที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
เส้นทางแห่งนักรบก็เหมือนกับการปีนขึ้นูเา แต่ละย่างก้าวจะต้องมุ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง แล้วสักวันหนึ่งพวกเขาก็จะไปถึงยอดเขา และกลายเป็ผู้เฝ้ามองใต้หล้า
ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะกลายเป็รุ่นเยาว์อัจฉริยะที่สุดในเมืองหยางโจว แต่เขากลับไม่รู้สึกภาคภูมิใจแต่อย่างใด เขารู้ตัวว่าในตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรไปจากมดปลวกเลยสักนิด
ทวีปเก้า์ มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหนก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ แล้วจะมาเย่อหยิ่งเพราะความสำเร็จเล็กๆ แค่นี้ มันไม่น่าขำไปหน่อยเหรอ?! แผ่นดินอันกว้างใหญ่ ย่อมมีอัจฉริยะอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่น คุณชายต้าเผิง เขาอายุมากกว่าหลินเฟิงไม่กี่ปี แต่กลับมีคุณสมบัติมากพอที่จะพูดคุยกับผู้าุโของนิกาย ทั้งยังกล้าเอ่ยปากขอคนของนิกายอย่างตรงไปตรงมาได้
“เมื่อกลับมาถึงนิกาย อย่างแรกที่ข้าต้องทำก็คือ เลือกเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่ทรงพลัง และเข้าร่วมการทดสอบเป็ศิษย์สายในและศิษย์หลัก เพื่อที่จะเลื่อนขั้นไปเป็ศิษย์สายใน เช่นนี้ข้าก็จะได้เป็ศิษย์ที่แท้จริงของนิกายหยุนไห่แล้ว อย่างไรเสียศิษย์สายนอกก็ไม่ถือว่าเกี่ยวข้องกับนิกายเท่าไร”
หลินเฟิงขบคิดอยู่ในใจ ตอนนี้เขาชัดเจนในเส้นทางที่ต้องไปต่อแล้ว
“กุบกับๆๆๆ…”
ตอนนั้นเองมีเสียงเกือกม้าดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ ทำให้พื้นธรณีสั่นะเืราวกับเกิดแผ่นดินไหว
ดวงตาของหลินเฟิงฉายแววใเล็กน้อย เมื่อหันไปมองก็พบฝุ่นละอองกำลังลอยขึ้นไปในอากาศ ท่ามกลางควันฝุนเ่าั้ได้ปรากฏเงาร่างของม้าที่กำลังห้อตะบึงมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
“โลหิต!” ดวงตาของหลินเฟิงทอประกายประหลาดใจอยู่ชั่วครู่ ม้าเหล่านี้มีสีแดงเหมือนโลหิต และยังเป็ม้าระดับกลางอีกด้วย เมื่อเทียบกับม้าพันลี้แล้ว มันเร็วกว่าถึงสามเท่าหรืออาจจะมากกว่านั้น แน่นอนว่าราคาของมันย่อมแพงตามไปด้วย
ว่ากันว่าราคาของม้าโลหิตมีมูลค่าถึงสองพันเหรียญทอง และกองกำลังนี้มีแต่ม้าโลหิต แสดงว่าสถานะของพวกเขาย่อมไม่ธรรมดาเลย
ว่าแต่ ทำไมคนเหล่านี้ถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นิกายหยุนไห่ล่ะ
ม้าโลหิตค่อยๆ เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางฝุ่นควันนั้นกลุ่มคนที่ขี่ม้าโลหิตดูหาญกล้าและโดดเด่น นอกจากนี้ยังมีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งอีกด้วย
“แค่สุ่มเลือกคนจากคนเ่าั้มาคนหนึ่ง ก็สามารถเอาชนะท่านเ้าเมืองได้แล้ว” ในใจของหลินเฟิงพลันสั่นไหว คนเหล่านี้แข็งแกร่งยิ่งกว่านักฆ่าของท่านเ้าเมืองหรือแม้แต่ตัวของท่านเ้าเมืองหลายเท่า แค่พวกเขาคนใดคนหนึ่งก็สามารถทำให้หลายๆ ตระกูล ต่างพากันทุ่มสุดตัวเพื่อที่จะดึงมาเป็พวก พูดเลยว่าขนาดคนที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่ม การบ่มเพาะของเขาก็อยู่ขอบเขตนักรบลมปราณที่ 9 แล้ว ส่วนคนที่อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาก็มีกันอยู่หลายคน
พวกเขาเป็กองกำลังที่ยอดเยี่ยมจริงๆ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม
พวกเขามีประมาณสามสิบคน เมื่อเข้ามาใกล้ๆ หลินเฟิงก็ชะลอความเร็วลง และมองไปยังหุบเขาด้านหน้า ที่แท้จุดหมายปลายทางของพวกเขาก็คือนิกายหยุนไห่นั่นเอง
ทันใดนั้นหลินเฟิงก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา เมื่อหันหน้าไปมองก็พบใครคนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มทหารม้าโลหิต รูม่านตาของเขาพลันหดลง
“เป็นาง!”
ตรงกลางฝูงทหารม้าโลหิต มีคนคนหนึ่งที่สวมเสื้อเกราะสีแดง ท่าทางดูสง่างามมาก และคนคนนั้นก็ยังเป็หญิงงามอีกด้วย ที่สำคัญคือนางเป็คนที่หลินเฟิงรู้จัก
“แย่แล้ว” หลินเฟิงสบถในใจและเริ่มระมัดระวังตัวขึ้นมา ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอนางที่นี่ เห็นได้ชัดว่านางมาพร้อมกับคนกลุ่มนี้ ที่แท้สาวงามคนนั้นก็คือศิษย์ที่มีชื่อเสียงของนิกายหยุนไห่ หลิ่วเฟย
“เป็เ้า?” สีหน้าของหลิ่วเฟยดูเย็นะเืขึ้นมา นางจ้องหลินเฟิงอย่างโกรธเคือง ไอ้หมอนี่ขโมยสถานที่บ่มเพาะพลังของนางไป ทั้งยังกล้าพูดจาหยาบคายใส่นางอีก แค้นนี้ต้องชำระ!!!
หลินเฟิงก่นด่าในความโชคร้ายของตัวเอง ทหารกลุ่มนี้แข็งแกร่งกว่านักฆ่าที่ท่านเ้าเมืองส่งมาลอบสังหารเขาตั้งหลายเท่า ต่อให้เขาชิงโอกาสเปิดฉากโจมตีก่อนเพื่อไม่ให้พวกเขาตั้งตัว แต่เชื่อเลยว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ คงไม่สามารถทำอะไรพวกนั้นได้เลย
“เฟยเฟย เ้ามีความแค้นกับเขาหรือ?” ชายหนุ่มรุ่นเยาว์ที่อยู่ข้างๆ หลิ่วเฟย กวาดสายตามองมาที่หลินเฟิงอย่างสงสัย เขารู้สึกได้ว่าหลิ่วเฟยมีท่าทางเ็ามากขึ้น หลังจากที่เห็นชายคนนี้ ในดวงตาของเขาฉายแววไม่เป็มิตรขึ้นมา
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ศิษย์ร่วมนิกายเดียวกันและรู้จักกันเล็กน้อย” หลิ่วเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ โดยไม่หันมามองหน้าหลินเฟิง ทำให้หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาจนต้องส่ายหน้า
“ไปกันเถอะ” หลิ่วเฟยกล่าวและขี่ม้าโลหิตเพื่อมุ่งหน้าไปยังนิกายหยุนไห่ ส่วนชายหนุ่มรุ่นเยาว์คนนั้นได้ชำเลืองตามองหลินเฟิงเล็กน้อย ก่อนจะกระทุ้งม้าให้วิ่งตามหลังหลิ่วเฟยไปติดๆ
หลินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ในความทรงจำของเขา หลิ่วเฟยเป็ผู้หญิงที่ทั้งอวดดีและก้าวร้าว แต่ทำไมครั้งนี้นางถึงปล่อยเขาไปล่ะ?
……………………………………………………………………………….………………………………
หมายเหตุ: จากตอนนี้เห็นได้ว่า จิติญญาแห่งความมืดถูกหลินเฟิงเปลี่ยนเป็จิติญญาแห่ง์ ซึ่งตอนนี้แบ่งออกเป็ 2 ขั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้