สีหน้าของซูเต๋อเหยียนยิ่งมองยิ่งย่ำแย่ กล่าวหาว่าเขาหลอกลวงก็แล้วไปเถิด ตอนนี้ยังครอบหมวกตระหนี่ให้เขาเพิ่มเข้าไปอีก
แต่เขาดันยังต้องมีเื่ขอร้องให้ต่งจิ้งช่วยเหลือไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้
ในที่สุดซูจิ้งเซียงอดไม่ไหวเอ่ยปาก“ปิ่นมุกบุปผชาติอันนั้นเป็ของข้า” แต่เมื่อนางเอ่ยปากพูดเช่นนี้ ทำให้บรรยากาศกลับยิ่งแย่ลง
ถ้านางไม่พูดจา แม่ใหญ่แซ่หลี่ยังสามารถกลบเกลื่อนไปว่าเื่นี้เป็ข่าวลือที่ไม่น่าเชื่อถือ ทว่านางกล่าวเช่นนี้ไปแล้ว เท่ากับเป็การประจักษ์ความจริงที่ว่าจวนอัครเสนาบดีมีปิ่นมุกบุปผชาติอันหนึ่งจริงๆ
ต่งชิงหว่านดีใจนัก นางยื่นมือไปหาซูจิ้งเซียง“ในเมื่อเป็ปิ่นมุกบุปผชาติของคุณหนูรอง ถ้าเช่นนั้นคุณหนูรองมอบปิ่นมุกบุปผชาติให้ข้าได้หรือไม่?”
“เ้า...” ซูจิ้งเซียงโกรธจัดต่อท่าทีหยิ่งยโสของต่งชิงหว่านมาก“เ้าเป็แค่แขกคนหนึ่ง เหตุใดถึงไม่สุภาพกับข้าผู้เป็เ้าบ้านคนนี้ ถึงกับยื่นมือออกมาขอสิ่งของ”
ตลอดที่ผ่านมาต่งชิงหว่านได้รับการถนอมราวกับไข่มุกในมือของต่งจิ้งไฉนเลยจะเคยถูกคนกล่าวว่าเช่นนี้มาก่อน นางชี้จมูกของซูจิ้งเซียง ด่าว่า “หากนับว่าข้าเป็แขกเช่นนั้นก็นับว่าเ้าก็เป็เ้าบ้านหรือ? ไม่คิดว่านี่เป็วิถีการต้อนรับแขกของจวนอัครมหาเสนาบดีข้านับว่าได้ประจักษ์แล้ว”
“วิถีการต้อนรับแขกของจวนอัครมหาเสนาบดีย่อมไม่ได้เป็เช่นนี้เพียงแต่เ้าได้ยึดเอาตนเองเป็แขกหรือไม่? ท่าทีเช่นนี้ไหนเลยเป็การขอสิ่งของ เห็นชัดๆว่าคือการแย่งชิง” ซูจิ้งเซียงไม่ยินยอมแสดงความอ่อนแอ
“ข้าแย่งชิงหรือ? เ้าถึงกับกล้าว่าว่าข้าแย่งชิง? ท่านลุงซูเห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่ท่านบอกให้ข้าเลือกเอาตามสบายตอนนี้ไฉนกลายเป็ข้าแย่งชิงไปได้? หรือเป็เพราะว่าคุณหนูไม่มีเหตุผล แม้แต่ท่านอัครมหาเสนาบดีก็พูดจาเหมือนผายลมหรือ?” ต่งชิงหว่านไม่เต็มใจที่จะดำเนินการทะเลาะกับซูจิ้งเซียงโดยไม่จำเป็ นางเพียงเบนสายตาไปยังซูเต๋อเหยียน
“นี่...” เื่หยุมหยิมของสตรีในครอบครัวเป็สิ่งที่ซูเต๋อเหยียนไม่ถนัดในการจัดการมากที่สุดแต่วันนี้ดันต้องเจอเหตุการณ์ซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ หากไม่จัดการก็คงไม่ได้
เขาเหลือบมองต่งจิ้ง เห็นอีกฝ่ายกำลังดื่มชาอย่างผ่อนคลายราวกับไม่ได้เห็นตรงหน้าฉากนี้อย่างสิ้นเชิง อดไม่ได้ที่จะย่นคิ้ว
ไอ้ต่งจิ้งสุนัขจิ้งจอกเฒ่า เห็นได้ชัดว่าท่าทีแบบนี้เป็การถือหางบุตรสาวตนเอง
ในเมื่อต่งจิ้งไม่แสดงท่าที เช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถแสดงท่าทีด้วย มิฉะนั้นก็เท่ากับลดตัวต่ำกว่าต่งจิ้งลงไประดับหนึ่ง
ซูเต๋อเหยียนตัดสินใจอย่างฉับพลัน เขาส่งสายตาไปยังนางแซ่หลี่ นางแซ่หลี่ก็รู้ความหมายในทันใด เื่ของผู้หญิงก็ให้ผู้หญิงมาจัดการถึงจะเหมาะสม
คาดไม่ถึงว่านางยังไม่ทันเอ่ยปาก เสียงของซูจิ้งเซียงก็ดังมา “ปิ่นมุกบุปผชาตินี้เป็ของน้องสี่มอบให้ข้า ของขวัญที่คนอื่นให้มาไหนเลยจะเปลี่ยนส่งมอบให้ผู้อื่นอีกได้”
ใบหน้าของนางแซ่หลี่มืดดำในชั่วพริบตา วาจานี้ของซูจิ้งเซียงพูดอย่างชัดเจนว่า้าลากซูจิ้งเถียนลงน้ำไปด้วยกัน ไม่รู้ว่านางไร้สมองจริงๆ หรือแกล้งไร้สมองกันแน่
“ในเมื่อเป็ของขวัญจากคุณหนูสี่ เช่นนั้นไยมิให้คุณหนูสี่เก็บเอาปิ่นมุกบุปผชาติคืนแล้วให้เป็ของขวัญของข้าแทน เป็อย่างไรเล่า?” วันนี้ต่งชิงหว่านต้องได้ปิ่นมุกบุปผชาติให้จงได้ ไม่ว่าซูจิ้งเซียงจะกล่าวว่าไรนางก็ล้วนมีวิธี
“นี่... นี่เกรงว่าไม่ค่อยดีนักของที่ผู้อื่นให้มา ไหนเลยจะมีเหตุผลเก็บกลับไป” ซูจิ้งเถียนฝืนกัดฟันโต้กลับแล้ว นางดึงเอาปิ่นมุกบุปผชาติบนศีรษะของตนลงมา “นี่เป็หนึ่งในปิ่นมุกบุปผชาติที่ข้าชื่นชอบที่สุด ถ้าคุณหนูต่งชอบ ก็มอบให้แก่คุณหนูต่งเถิด”
ต่งชิงหว่านเหลือบมองปิ่นมุกบุปผชาติในมือของซูจิ้งเถียนแวบหนึ่ง ก็เอื้อมมือไปปัดทิ้ง “ไอ้ของเล่นผุพังเช่นนี้ยังมีหน้าเอามาเป็ของขวัญให้คนอื่น จวนอัครมหาเสนาบดียากจนเกินไปแล้วกระมัง”
“เ้า... เ้านังสารเลวที่มีมารดาคลอดแต่ไร้มารดาสั่งสอนนี่ถึงกับกล้าว่าจวนอัครมหาเสนาบดีของข้ายากจน?!” ซูจิ้งเซียงโกรธสุดขีด ด่าว่ายกใหญ่
ต่งชิงหว่านตะลึงอึ้งไปแล้ว นางงพลันร้องไห้อย่างหนักโผเข้าไปในอ้อมแขนของต่งจิ้งทันที
ซูเฟยซื่อหัวเราะคิก ดูไปแล้วละครรอบนี้ก็จะเข้าสู่จุดเดือดควันพุ่งเป็ไอขาวแล้ว
ต่งชิงหว่านสูญเสียมารดาั้แ่ยังเด็กดังนั้นต่งจิ้งจึงเพิ่มพูนความรักโปรดปรานและตามใจนางทดแทน แต่เื่นี้กลายเป็าแใหญ่ที่สุดในหัวใจของต่งชิงหว่าน ตอนนี้ซูจิ้งเซียงกลับกล้าสะกิดแผลของนางให้นางเ็ป แทบเป็การรนหาที่ตาย
เื่ราวมาถึงจุดนี้ ซูเต๋อเหยียนต้องเอ่ยปากพูดแล้ว
“เซียงเอ๋อร์ เ้าอวดดีเกินไปแล้วยังไม่รีบขอโทษชิงหว่านอีก” กล่าวจบก็หันศีรษะไปหาต่งจิ้ง กล่าวว่า“เซียงเอ๋อร์ยังเด็กเกินไป วาจาเด็กไร้ความเกรงกลัว ขอท่านต่งอย่าได้ถือเป็อารมณ์”
ซูเต๋อเหยียนมีฐานะเป็อัครมหาเสนาบดีถ้าไม่ใช่มีเื่ต้องหาต่งจิ้งให้ช่วยเหลือ ไหนเลยจะถ่อมตนลดเสียงต่ำเช่นนี้
ถึงแม้ว่ามีเื่ต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นในใจเขาก็ยังไม่พอใจ ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็ต่งชิงหว่านที่ไม่มีเหตุผลก่อน
เมื่อตรองดูแล้ว ก็เพียงพูดประโยคขออภัยเฉื่อยชาประโยคหนึ่งออกไป
ต่งชิงหว่านเงยหน้าซึ่งน้ำตาคลอขึ้น“ใคร้าคำขอโทษจากพวกเ้ากัน ข้าเพียง้าปิ่นมุกบุปผชาติอันนั้น”
“ในเมื่อปิ่นมุกบุปผชาติเป็เถียนเอ๋อร์ที่มอบให้พี่สาวด้วยความนับถืออย่างจริงใจจึงไม่สะดวกที่จะเปลี่ยนมอบให้ชิงหว่านอีก ถ้าชิงหว่านไปเห็นปิ่นมุกบุปผชาติที่ชื่นชอบข้างนอกอีก สามารถบันทึกไว้ในบัญชีจวนอัครมหาเสนาบดีได้เต็มที่ ถือว่าเป็คำขอโทษจากจวนอัครมหาเสนาบดี”ซูเต๋อเหยียนกล่าวอย่างปกปิดความโกรธในใจ
คำพูดของเขารอบนี้ไม่เพียงแต่ปฏิเสธต่งชิงหว่านอย่างชัดเจน ยังโต้แย้งประโยคที่ต่งชิงหว่านกล่าวหาว่าจวนอัครมหาเสนาบดียากจนด้วย
ตามที่คาด ขิงแก่ ถึงแก่ก็ยังคงเผ็ด
เดิมปิ่นมุกบุปผชาติอันหนึ่งก็ไม่มีค่าอะไรแต่ก่อเื่จนเป็เช่นนี้ หากจวนอัครมหาเสนาบดีมอบปิ่นมุกบุปผชาติให้ต่งชิงหว่านอีกไยมิใช่กลายเป็ต่งชิงหว่านแย่งของในมือซูจิ้งเซียงไปหรอกหรือ
ไม่เพียงเป็หน้าตาจวนอัครมหาเสนาบดีที่เสียหายเท่านั้น ทว่ายังตกที่นั่ง ไม่ได้รับความเห็นใจจากคนอื่นด้วย
ธุรกิจการค้าที่ต้องแถมทุนไปด้วยแบบนี้ เขาไม่ทำ
“ท่านพ่อคะ!” ต่งชิงหว่านเห็นว่างอแงไปก็ไม่ได้รับประโยชน์อันใด ได้แต่ขอให้ต่งจิ้งช่วย
บุตรสาวที่รักถูกทำให้ร้องไห้ เดิมสีหน้าของต่งจิ้งก็ไม่ได้ดีเท่าไร
ตอนนี้จากท่าทีของซูเต๋อเหยียน ต่งจิ้งลุกยืนตรงให้รู้แล้วรู้รอด“หว่านเอ๋อร์เด็กดี เ้าอยากได้อะไรบอกพ่อ พ่อจะรีบให้คนไปช่วยเ้าจัดทำให้เหมือนๆ กับที่เ้าอยากได้.. อัครมหาเสนาบดีซูฮ่องเต้ทรงมอบภารกิจให้ข้าสอบสวนดำเนินคดีกับนักโทษในศาลต้าหลี่ เกรงว่าข้าคงต้องขอตัวไปก่อน”
“แค่ก...” ซูเต๋อเหยียนสำลักชาคำหนึ่ง
นี่เป็คำเตือนจากต่งจิ้งว่าหลานชายของเขายังถูกขังอยู่ในศาลต้าหลี่เื่นี้ถ้าให้ฮ่องเต้ทรงทราบก็ยากจะรับประกันว่าไม่เอาโทษเขา
ซูเต๋อเหยียนรีบลุกขึ้นขวางต่งจิ้งไว้“บอกว่าจะไปก็ไปได้อย่างไร งานเลี้ยงนี้ยังไม่เลิกราเสียหน่อย”
“เช่นนั้นหรือ? แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าหว่านเอ๋อร์กินอิ่มแล้วเล่า”ต่งจิ้งกล่าวอย่างเมินเฉย
ความหมายของวาจาชัดเจนมาก ถ้าคิดจะให้เขาอยู่ต่อก็ย่อมได้แต่ต้องเอาปิ่นมุกบุปผชาติออกมาเอาใจบุตรสาวของเขาก่อน
ให้อัครมหาเสนาบดีคนหนึ่งไปประจบบุตรสาวของขุนนางคนหนึ่งหรือ?
ใบหน้าของซูเต๋อเหยียนยิ่งดำทะมึน ถ้าเขาทำอย่างที่ต่งจิ้งพูด ย่อมเป็การยอมจำนนพ่ายแพ้ต่อหน้าภรรยา ลูกๆ และบ่าวไพร่มากมาย แต่ถ้าไม่ทำตามละก็ หากเื่นี้กวนใจไปถึงฮ่องเต้ นั่นจะยิ่งแย่กว่า
ขณะที่ซูเต๋อเหยียนตัดสินใจไม่ถูกเสียงที่กังวานใสเสียงหนึ่ง จู่ๆ ก็ดังขึ้น “คุณหนูต่ง ข้าเองมีปิ่นมุกบุปผชาติอันหนึ่งที่สวยงามกว่าแก้วเจ็ดสีไม่รู้ว่าเ้าสนใจจะดูหรือไม่?”
เ้าของเสียงเป็ซูเฟยซื่อ
วาจาเอ่ยออกจากปาก ในทันทีทั้งนางแซ่หลี่กับคุณหนูตระกูลซูทั้งสองต่างขมวดคิ้ว
ซูเฟยซื่อบุตรสาวอนุตัวน้อยๆ คนหนึ่ง เหตุใดจึงสามารถเอาปิ่นมุกบุปผชาติที่งามกว่าแก้วเจ็ดสีมาได้?
“เ้าเป็ใคร?” ต่งชิงหว่านเลิกคิ้วถาม
“ข้าคือซูเฟยซื่อ คุณหนูสามของจวนอัครมหาเสนาบดี” ซูเฟยซื่อยิ้มบางๆก้าวเดินจากที่นั่ง
“ซูเฟยซื่อ? จวนอัครมหาเสนาบดีมีคุณหนูเช่นนี้เมื่อไรกัน?”ต่งชิงหว่านฉายแววสงสัยทั่วใบหน้า
“นั่นไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญกว่าคือคุณหนูต่งสนใจดูปิ่นมุกบุปผชาติในมือของข้าหรือไม่?”ซูเฟยซื่อซ่อนแววลึกลับหลังดวงตาที่กะพริบปริบ