บทที่ 42 เส้นทางต่างกัน
หยิบโอสถขึ้นมาวิเคราะห์อยู่พักหนึ่ง ฉินชูก็แยกออกว่าขวดไหนเป็โอสถถอนพิษ ขวดไหนเป็โอสถสมานแผล เขารู้จักพืชสมุนไพรหลายชนิด แค่ดมกลิ่นก็สามารถแยกแยะสรรพคุณของโอสถได้แล้ว
หลังจากเก็บโอสถใส่ในแหวนมิติเก็บของ ฉินชูก็ชักกระบี่ออกมาฝึกฝนต่อ
กระบี่ที่เขาใช้ตอนนี้ยังคงเป็กระบี่ที่ลู่หยวนมอบให้ และยังไม่คิดจะใช้กระบี่ขั้นที่สี่ที่ได้มาจากหลิ่วเจ๋อ
หากตบะยังไม่ถึงขั้นที่สาม แล้วดันทุรังใช้อาวุธขั้นที่สี่ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะไม่สามารถปล่อยพลังปราณออกสู่นอกร่างกายได้ จึงไม่สามารถดึงเอาพลังแฝงที่ซ่อนอยู่ในอาวุธชิ้นนั้นออกมาได้
ในขณะที่วันๆ ฉินชูเอาแต่ฝึกตนอย่างขะมักเขม้น ชื่อเสียงของเขาก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วสำนักชิงหยุนกว้างขึ้นเรื่อยๆ ในสายตาคนนอก ฉินชูเป็คนเหี้ยมโหดไร้ความปรานี ดูจากกรณีที่ฆ่าอู๋เฉิงอย่างไม่ลังเล ทางปรมาจารย์ผู้ดูแลยอดเขาหลักมองกรณีของอู๋เฉิงว่า ตายแล้วก็ตายไป แต่เหล่าลูกศิษย์ยอดเขาหลักรู้ดีว่าอู๋เฉิงเป็คนของเฉียนชิงและเป็คนจากราชวงศ์เฉียนเช่นเดียวกัน การที่ฉินชูฆ่าอู๋เฉิงถัดจากหลิ่นเจ๋อแบบนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฉินชูกลายเป็ศัตรูคู่แค้นของเฉียนชิงเต็มตัวไปแล้ว เป็ความแค้นที่แลกด้วยชีวิตเท่านั้น การเผชิญหน้าระหว่างพวกเขาทั้งสอง จะช้าจะเร็วก็ขึ้นอยู่กับเวลาและโอกาสเท่านั้น
เหล่าผู้าุโทรงคุณวุฒิของสำนักชิงหยุนทั้งหลายล้วนจำชื่อฉินชูได้ขึ้นใจ เพราะฉินชูเป็ผู้บรรลุวิชากระบี่พื้นฐานอย่างแตกฉานและมีพร์ที่จะบรรลุวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนหลิงได้อย่างสมบูรณ์
เหล่าผู้ฝึกตนระดับล่างไม่ได้รู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนหลิง เพราะเื่นี้เป็เพียงตำนานเล่าขานสำหรับพวกเขาเท่านั้น แต่ผู้าุโทรงคุณวุฒิของสำนักชิงหยุนทั้งหลายไม่ใช่คนเขลา ปรมาจารย์ผู้ดูแลยอดเขาและผู้าุโทรงคุณวุฒิหลายคนต่างมองออก แต่เนื่องจากสถานะของพวกเขา ทำให้ไม่สามารถไปที่ยอดเขาชิงหยุนและถามอย่างตรงไปตรงมาเหมือนเหลยอินได้
ซูซานเหอกับจางจี้นั่งอยู่ด้วยกัน
“ไอ้สวะนั่นไม่สนใจสีหน้ายอดเขาหลักของพวกเราแม้แต่น้อย เป็เพราะมัน มันทำให้ความน่าเคารพ ความน่าเกรงขามของพวกเราในสายตาลูกศิษย์ลดลง” จางจี้พูดอย่างเคียดแค้น ฉินชูหักหน้าเขาอย่างป่นปี้ด้วยการฆ่าหลิ่วเจ๋อ
“หลิ่วหนานกับศิษย์สายหลักอีกสองสามคนยอมลดตบะตัวเองให้จำกัดอยู่ที่ขั้นที่สามระดับสมบูรณ์ เพื่อเข้าร่วมการสำรวจโบราณสถานชิงหวาง ครั้งนี้ฉินชูกับพวกลูกศิษย์จากยอดเขาชิงจู๋ต้องตายสถานเดียว!” ใบหน้าของซูซานเหอฉายแววสังหาร แผนการลดระดับตบะของพวกหลิ่วหนานถูกใจเขาเป็ยิ่งนัก และเขาก็รู้ดีว่าแผนการนี้เป็แผนของเฉียนชิง
เฉียนชิงเป็ศิษย์สายหลักอันดับหนึ่ง เป็ลูกศิษย์คนสำคัญของสำนักชิงหยุน ดังนั้นซูซานเหอจึงเข้าใจและให้ความร่วมมือมาโดยตลอด หากเฉียนชิงได้เลื่อนยศสูงขึ้น สำนักจะต้องได้รับการค้ำจุนจากราชวงศ์เฉียนอย่างแน่นอนและมีความเป็ไปได้อย่างสูงที่เฉียนชิงจะได้เป็ว่าที่เ้าสำนักคนต่อไป
“นี่เป็ข่าวดี หากไอ้สวะนั่นไม่ตาย ยอดเขาที่เหลืออีกหกยอดเขาจะเอามันเป็เยี่ยงอย่าง แต่ถ้ามันตาย จะถือว่าเป็การเชือดไก่ให้ลิงดู!” จางจี้ตบโต๊ะอย่างพอใจ
“ข้ามีเื่หนึ่งที่กังวล เหมือนว่าเ้านั่นจะบรรลุวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนหลิงได้แล้ว อีกทั้งกระบวนท่าของมันคล้ายมีร่องรอยและกลิ่นอายจากเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ของท่านผู้เฒ่าาุโโม่...” ซูซานเหอพูดขึ้นอย่างเป็กังวล
“หากเป็คนที่ท่านผู้เฒ่าาุโโม่สนใจ คงไม่มีทางเป็ศิษย์รับใช้อยู่แบบนี้ อีกอย่าง หากมันตายที่โบราณสถานหวางชิง นั่นก็เป็ชะตากรรมของมัน ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น” จางจี้พูดขึ้น ต่อให้ตอนนี้จะรู้ว่าฉินชูบรรลุวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนหลิงแล้ว จางจี้ก็้าจะฆ่าฉินชูให้ได้อยู่ดี
ฝึกตนผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ระหว่างนั้นฉินชูก็ยังคงไปทำภารกิจที่ยอดเขามี่หยุนเพื่อสะสมแต้มคุณูปการอยู่ตลอด ตบะของเขาจึงบรรลุขั้นหนิงหยวนระดับเก้าแล้ว
นับั้แ่ฉินชูเข้ามาอยู่ในสำนักชิงหยุนตราบจนวันนี้ก็เป็เวลาหนึ่งปีเต็มพอดี บัดนี้เขาอายุสิบหกปีบริบูรณ์
นึกย้อนถึง่หนึ่งปีที่ผ่านมาของตัวเอง ฉินชูก็นึกถึงผู้เฒ่าที่เลี้ยงดูเขามา หลังจากผู้เฒ่าจากไป ฉินชูก็ไม่รู้เลยว่าผู้เฒ่าไปอยู่ที่ไหน ภายในใจพลันนึกห่วงขึ้นมา แม้จะรู้ว่าผู้เฒ่าแข็งแกร่งทรงพลัง แต่ภายในใจก็อดกังวลไม่ได้
“ลูกพี่เรียกข้างั้นหรือ” ไป๋อวี้ที่มาถึงผาหินตัดพูดขัดห้วงความคิดของฉินชู เพราะก่อนหน้านี้ฉินชูใช้ให้เอ้อพั่งไปตามไป๋อวี้มา
“ข้ามีเื่อยากจะบอกเ้าเอาไว้ อีกสองสามวันทางสำนักจะมีพิธีฝึกฝนคนที่จะเข้าร่วมการสำรวจโบราณสถานชิงหวางที่ข้าจะไปเข้าร่วม เ้าอยากไปด้วยหรือไม่ ต้องบอกไว้ก่อนว่าอันตรายมาก อีกทั้งยังมีคนในสำนักที่จ้องจะฆ่าข้าอยู่ไม่น้อย สถานการณ์ก็ยิ่งอันตรายขึ้นไปอีก” ฉินชูถามไป๋อวี้ที่เป็เพื่อนสนิทที่สุดในสำนักของเขา หากมีโอกาสเขาก็อยากจะช่วยเหลือไป๋อวี้ให้เก่งขึ้นและต่อสู้เคียงข้างกัน
“อันตราย? ลูกพี่คิดว่าข้าเป็พวกกลัวอันตรายหรือยังไง” ไป๋อวี้คลี่ยิ้ม เขาไม่ได้ไปไหนมาไหนกับฉินชูสักพักแล้ว เขาอยากจะออกไปทำภารกิจกับฉินชูเต็มทน
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะแนะนำเ้าให้ท่านปรมาจารย์ผู้ดูแลยอดเขา ข้าเชื่อว่าเขาจะเปิดทางให้เ้า” ฉินชูตบไหล่ไป๋อวี้ ตลอดเวลาที่ติดตามฉินชู ไป๋อวี้พัฒนาขึ้นมาก ก่อนหน้านี้ครึ่งปีไป๋อวี้ได้บรรลุตบะขั้นที่สาม พลังการต่อสู้แข็งแกร่งไม่เป็รองศิษย์สายในเลยก็ว่าได้
หลังจากพูดกับไป๋อวี้เสร็จ ฉินชูก็มาหาหลัวเจินที่ตำหนักหลักบนยอดเขาชิงหยุนเพื่อเสนอต่อหลัวเจินว่าตัวเองอยากพาไป๋อวี้ร่วมเดินทางไปที่โบราณสถานชิงหวางด้วย
“ได้ เ้าหมอนั่นหน่วยก้านไม่เลว น่าจะฝึกฝนขัดเกลาเขาให้เก่งขึ้นได้อยู่ แต่ว่าเขาไม่เหมือนกับเ้า เ้ามีเส้นทางของเ้าเอง แต่เขาจำเป็ต้องเข้าร่วมการฝึกตนตามวิถีดั้งเดิมของสำนัก ไปบอกเขาด้วย” หลัวเจินมองหน้าฉินชูพลางเอ่ย
เป็เพราะฉินชู หลัวเจินจึงเริ่มสนใจความเคลื่อนไหวของหอศิษย์รับใช้มากขึ้น ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าไป๋อวี้เองก็เป็พวกอัจฉริยะหายากคนหนึ่งเหมือนกัน
“รับทราบขอรับ แล้วศิษย์จะบอกเื่นี้กับเขา” ฉินชูพยักหน้า เขาหวังว่าสหายของตัวเองจะได้รับโอกาสพัฒนาตัวเองเพิ่มขึ้น
เมื่อหลัวเจินอนุญาต ฉินชูก็จากไปและมุ่งหน้าไปที่หอคัมภีร์บนยอดเขาหลัก เขาอยากพบกับโม่เต้าจื่อ เนื่องจากเคล็ดวิชากระบี่กายสิทธิ์อยู่ในมือเขามานานแล้ว ถึงเวลาต้องคืนให้กับเ้าของแล้ว
แต่เมื่อมาถึงด้านหน้าหอคัมภีร์ ฉินชูกลับเจอแค่หลิงหยุนจื่อ
หลังจากหลิงหยุนจื่อบอกทาง ฉินชูก็มาถึงศาลาหลังหนึ่งที่เป็ที่พักของโม่เต้าจื่อ
ฉินชูมาถึงที่พักของโม่เต้าจื่อได้อย่างราบรื่น ถ้าหลิงหยุนจื่อไม่บอกก็ไม่มีใครรู้ว่าโม่เต้าจื่ออยู่ไหน ถึงมีคนรู้ ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เพราะเป็คำสั่งต้องห้ามของทางสำนักว่าห้ามเข้าใกล้ที่พักของโม่เต้าจื่อ โม่เต้าจื่อมักจะใช้วิชาพยากรณ์อยู่บ่อยครั้ง จึงห้ามถูกรบกวนเป็อันขาด
แต่หลิงหยุนจื่อรู้ว่าฉินชูมาหาโม่เต้าจื่อด้วยเหตุผลอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่ห้าม
ฉินชูเข้ามาพบโม่เต้าจื่อในศาลาที่เก่าคร่ำครึ โม่เต้าจื่อชี้ไปที่เบาะอาสนะด้านหน้าตัวเองเพื่อสั่งให้ฉินชูนั่งลง
ฉินชูหยิบเคล็ดวิชากระบี่กายสิทธิ์ออกมา ก่อนยืนมันออกไปให้โม่เต้าจื่อด้วยมือทั้งสองข้าง “ขอบพระคุณท่านผู้เฒ่าาุโเป็อย่างสูงที่เมตตาศิษย์ผู้น้อยคนนี้”
“เ้าเก็บมันไว้เถิด นอกจากเ้าแล้ว ไม่มีใครสามารถฝึกมันได้อีกแล้ว และข้าก็ไม่คิดจะถ่ายทอดให้ใคร” โม่เต้าจื่อพูดกับฉินชู
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินชูก็ตัดสินใจเก็บเคล็ดวิชากระบี่กายสิทธิ์เอาไว้ แม้เขาจะจำได้แล้ว แต่การมีตำราติดตัวเอาไว้ย่อมดีกว่าไม่มี
“เ้าบรรลุวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนหลิงได้อย่างแตกฉาน เท่ากับว่ามีรากพื้นฐานแห่งวิถีกระบี่ที่ลึกซึ้ง แต่จำเป็ต้องขัดเกลาต่อไป เ้ารู้จักวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนอี้หรือไม่ ก่อนหน้านี้มีอัจฉริยะในสำนักชิงหยุนคนหนึ่งสามารถเข้าถึงวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนอี้ได้ และตอนนี้นางก็แข็งแกร่งกว่าเ้า เว้นเสียแต่เ้าจะบรรลุตบะขั้นที่สาม” โม่เต้าจื่อเล่าให้ฉินชูฟัง
“นางเป็ใคร” ฉินชูเอ่ยปากสอบถาม
“ลูกศิษย์จากยอดเขาหลัก ซั่งซูอวี๋” โม่เต้าจื่อตอบ