เซี่ยโม่กลับเข้าไปในห้องพัก พอเห็นว่าน้องชายหลับสนิท เธอจึงขึ้นไปนอนตรงริมเตียง หยิบหนังสือวิชาภาษาและวรรณคดีของชั้นมัธยมต้นปีที่สองจากโกดังสินค้าออกมาอ่าน ทว่าอ่านไปได้สักพักใจเธอก็ลอยไปถึงชาติที่แล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากเธอตาย ทนายของเซี่ยฟู่กุ้ยสู้คดีจนได้ผลการตัดสินออกมาอย่างไร
เธอหลับตานึกภาพโกดังสินค้า หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดข่าวดู
ในข่าวบอกว่ายังคงสู้คดีกันอยู่ อีกหลายวันถึงจะมีผลการพิพากษาออกมา
จากนั้นลองค้นหาอีบุ๊กชุดหนังสือวิชาคณิตฯ ฟิสิกส์ และเคมีที่เธออยากได้ในอินเทอร์เน็ต
แล้วก็หาเจอเสียด้วย
เธอรู้สึกดีใจเหลือเกิน หากหาซื้อหนังสือไม่ได้ อย่างน้อยก็สามารถซื้อในอินเทอร์เน็ตแทนได้
นาทีนั้นเซี่ยโม่นึกอะไรขึ้นมาได้ เธอลองค้นหาดู ปรากฏว่ามีความรู้ไม่น้อยที่สามารถนำมาใช้ในยุคนี้ได้
ยกตัวอย่างเช่น ความรู้เื่อุปกรณ์ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ การสื่อสารเทคโนโลยีทางการแพทย์ หรือแม้แต่เทคโนโลยีการแปรรูปอาหาร
ตอนนี้เธอคงต้องลองศึกษาดูไปก่อน สองปีหลังจากนี้ถึงค่อยนำมาใช้
มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์คือต้นกำเนิดของทุกสิ่ง ในอนาคตเธอไม่จำเป็จะต้องสร้างแค่เครือซูเปอร์มาร์เก็ต เธอสามารถนำอินเทอร์เน็ตมาสู่ยุคนี้เพื่อให้ประเทศชาติพัฒนาได้เช่นกัน
เมื่อมีโอกาสกลับชาติมาเกิดใหม่ นอกจากปกป้องดูแลคนในครอบครัวให้ดีแล้ว เธอสามารถทำได้อีกหลายอย่าง
ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น และโดยไม่รู้ตัวเธอก็ผล็อยหลับไป
เช้าวันต่อมา เซี่ยโม่ลืมตาตื่น ขณะกำลังขยับตัวลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยของเธอก็ลืมตาตื่นขึ้นมา “พี่ครับ ผมอยากไปชิ้งฉ่อง”
เธอพยักหน้า “ได้ งั้นเดี๋ยวพี่ให้เราขี่หลัง”
น้องชายส่ายหน้า “ไม่ต้องครับ ผมเดินเองได้ พี่ช่วยพยุงก็พอ”
หลายวันที่ผ่านมา ร่างกายของเซี่ยเฉินเฟิงยังไม่ค่อยแข็งแรงดีนัก จึงได้แต่นอนบนเตียงอยู่ตลอด หากวันนี้กลับเป็ฝ่ายพูดเองว่าอยากลงจากเตียง หมายความว่าอาการดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่?
เธอสวมเสื้อคลุมและใส่รองเท้าให้น้องชาย ก่อนจะพยุงลงจากเตียง
ตอนเริ่มเดิน ขายังคงไม่มีแรง แต่พอเดินไปได้สองสามก้าว กำลังก็เริ่มมา
“พี่ครับ ต้องรอให้ผมหายดีก่อนใช่ไหมถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้” เซี่ยเฉินเฟิงเงยหน้าถามพี่สาว
เธอพยักหน้า รู้สึกสงสารน้องชายจับใจ “ใช่ แต่พี่เห็นว่าร่างกายเราตอนนี้หายดีแล้ว คุณปู่จ้าวเคยบอกว่า พรุ่งนี้เราก็น่าออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว คุณปู่เดาแม่นจริงๆ”
“คุณปู่จ้าวเก่งที่สุดอยู่แล้ว” เฉินเฟิงตัวน้อยยิ้มพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ผมได้ออกจากโรงพยาบาลพรุ่งนี้ก็ดีเหมือนกัน ผมคิดถึงคุณตาคุณยายจะแย่อยู่แล้ว”
เธอเองก็มั่นใจว่า คุณตาคุณยายต้องคิดถึงเฉินเฟิงเช่นกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะโรคหัวใจของคุณยายกำเริบหลังจากเกิดเื่ ตอนนี้พวกท่านทั้งสองน่าจะมาคอยอยู่ดูแลเฉินเฟิงที่โรงพยาบาล
หลังจากน้องชายทำธุระในห้องน้ำเสร็จเรียบร้อย ระหว่างเดินกลับห้อง เซี่ยโม่บังเอิญเจอผู้ป่วยกับญาติผู้ป่วยหลายคน ทุกคนเห็นเธอก็เอ่ยถาม “สาวน้อย เด็กคนนี้คือน้องชายเธอเหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“พวกเธอสองพี่น้องช่างน่าสงสารจริงๆ”
พอเห็นว่ามีคนอยู่เยอะ เธอเลยตัดสินใจเล่าเื่ที่เกิดขึ้นให้ฟัง “ความจริงแล้วผู้หญิงที่หาเื่ฉันเมื่อวานเป็น้องสาวแท้ๆ ของแม่เลี้ยง จะว่าไปแล้วเื่มันก็ยาว…”
ยังมีเื่ก่อนหน้านี้อีกหรือ!
สีหน้าของทุกคนต่างอยากรู้อยากเห็นกันถ้วนทั่ว “สาวน้อย ที่แท้พวกเธอก็เป็ญาติกัน?”
เธอพยักหน้า “เมื่อวานฉันกลัวจะเป็การรบกวนทุกคนก็เลยไม่ได้สืบสาวราวเื่ไปมากกว่านี้ ความจริงแล้วหลังจากแม่เลี้ยงแต่งเข้ามา เธอก็คลอดลูกชายคนหนึ่ง เธอเลยเอาน้องชายของฉันไปทิ้ง…”
เธอเล่าเื่ให้ฟังโดยสังเขป ทุกคนต่างส่งเสียงฮือฮาอย่างใ
บนโลกนี้มีแม่เลี้ยงแบบนี้ด้วยหรือเนี่ย ยิ่งไปกว่านั้นคือมีพ่อแบบนี้อยู่ด้วย ถึงว่าทำไมเมื่อวานผู้หญิงคนนั้นถึงมาโวยวายกับเด็กสาว ที่แท้พี่น้องนิสัยเหมือนกันนี่เอง
“แล้วต่อมาล่ะ” ใครคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ
เธอนำทั้งสองเื่มาต่อกัน ก่อนจะเล่าออกไป “พอแม่เลี้ยงกับหลานชายถูกจับ น้องสาวของเธอก็เลยแค้นฉัน จงใจปัดหม้อโจ๊กของฉันลงพื้นเพื่อเอาคืน”
ทุกคนที่ยืนฟังอยู่พอจะเข้าใจเื่ราวทั้งหมดแล้ว ก่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น “พี่น้องคู่นี้นี่หน้าไม่อายจริงๆ”
ทุกคนมัวแต่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงเื่นี้ จึงไม่ได้สังเกตเห็นหวางเมิ่งเมิ่งที่เดินออกมาจากห้องน้ำ
บทสนทนาที่ทุกคนพูดคุยกัน เธอได้ยินั้แ่ตอนอยู่ในห้องน้ำแล้ว
เธอเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าพี่สาวกับหลานชายถูกจับตัวไปแล้วเช่นกัน
หวางเมิ่งเมิ่งเดินออกจากห้องน้ำอย่างกรุ่นโกรธ แววตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ เธออยากจะจับเด็กสาวมาถลกหนังเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“นังเด็กชั่ว เธอนี่ใจร้ายจริงๆ ถึงกับกล้าจับพี่สาวกับหลานชายของฉันเชียวเหรอ” เธอะโเสียงแหลม
เซี่ยโม่หาจุดบกพร่องของประโยคนี้เจออย่างรวดเร็ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงจนปัญญาว่า “คุณพูดอะไรของคุณ ฉันนี่นะจะมีปัญญาไปจับพี่สาวกับหลานชายของคุณ พวกเขาเข้าไปขโมยของในบ้านฉัน แถมทำร้ายน้องชายฉันจนได้รับาเ็สาหัส เกิดเื่แบบนี้ขึ้นฉันไม่ควรแจ้งตำรวจเหรอ คุณอยากแก้แค้นฉันแทนพี่สาวกับหลานชายก็เลยมาโยนหม้อโจ๊กฉันทิ้ง แล้วก็สั่งให้พี่น้องผู้ชายของคุณมาทำร้ายฉันใช่ไหม”
หวางเมิ่งเมิ่งโมโหจนแทบจะกระอักเืออกมาอยู่รอมร่อ
“ฉันจะไปรู้ได้ไง ฉันรู้แต่ว่าทั้งหมดนี้เป็แผนของเธอ”
เด็กสาวโต้กลับ “แผนของฉัน? ฉันเป็คนลากเขาเข้าไปในบ้านและสั่งให้ขโมยของในบ้านของฉันงั้นเหรอ คุณพูดอะไรของคุณเนี่ย”
ทุกคนที่ฟังอยู่ต่างพยักหน้าเห็นด้วย “แบบนี้มันไร้เหตุผลเกินไปแล้ว”
เห็นทุกคนพากันพูดจาเข้าข้างเธอ เซี่ยโม่จึงไม่อยากต่อความยาวกับอีกฝ่ายอีก เธอจูงมือน้องชายเพื่อพาเดินกลับห้อง
หวางเมิ่งเมิ่งที่ในใจเต็มไปด้วยความเคียดแค้น วิ่งพุ่งเข้าใส่เซี่ยโม่กับน้องชาย
เซี่ยโม่รู้สึกเหมือนมีลมหอบหนึ่งกำลังพุ่งมาทางด้านหลัง เธอเห็นท่าไม่ดีเลยกอดน้องชายแล้วะโหลบ
หวางเมิ่งเมิ่งชนเข้ากับผู้หญิงรูปร่างอวบอ้วนคนหนึ่ง ก่อนจะกระเด็นล้มลงไปที่พื้น
ทุกคนแยกย้ายกันกลับห้องพัก รวมถึงผู้หญิงที่ถูกชน เดินพร้อมกับบ่นพึมพำไปด้วยว่า “โอ๊ย เจ็บเอวจริงๆ…”
เซี่ยโม่จูงมือน้องชายพาเดินกลับห้องเช่นกัน
ตอนวิ่งชน หวางเมิ่งเมิ่งไม่ทันระวังข้อเท้าก็เลยพลิก เธอนั่งร้องไห้อยู่กับพื้น พี่น้องผู้ชายที่บ้านถูกตำรวจจับ แม่สามีก็คิดจะให้สามีหย่ากับเธอ หากโชคดีที่พี่สะใภ้ช่วยพูดเอาไว้ พอคิดจะเล่นงานเด็กนั่นอีกครั้ง ข้อเท้ากลับมาพลิก ตอนนี้รู้สึกเจ็บจนแทบขยับขาไม่ได้ เธอจะทำอย่างไรดี
รอจนทุกคนกลับห้องพักกันไปหมดแล้ว หวางเมิ่งเมิ่งเอามือยันกำแพง พยายามพยุงตัวขึ้นยืน จากนั้นเดินกะเผลกกลับไปที่ห้องพักของตัวเอง
“เฉินเฟิง รู้ไหมว่าทำไมพี่ถึงเล่าเื่ทั้งหมดให้ทุกคนฟัง” เซี่ยโม่ถามหยั่งเชิงน้องชายหลังกลับเข้าห้องพักแล้ว
เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยตอบด้วยเสียงไม่ดังนัก “รู้ครับ เพราะพี่อยากให้ทุกคนพูดคุยถึงเื่นี้ อยากให้ทุกคนเห็นใจ และอยากทำลายชื่อเสียงคนพวกนั้น”
เซี่ยโม่มีสีหน้าตื่นตะลึง น้องชายเธอฉลาดมาก ในอนาคตต้องเป็คนที่มีไหวพริบดีเยี่ยมแน่นอน
อายุเท่านี้ก็รู้ทันคนแล้ว ต่อไปไม่มีทางถูกใครรังแกได้
เธอยิ้มอย่างพึงพอใจ “เื่นี้เป็ความลับ อย่าเอาไปบอกใครละ”
เซี่ยเฉินเฟิงทำหน้าบึ้ง หากคนตรงหน้าไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ เขาคงไม่บอกความจริง
“เอาละ เลิกโมโหได้แล้ว อยากไปกินข้าวที่โรงอาหารกับพี่ไหม หรือจะรออยู่ที่นี่”
“ผมอยากไปด้วย” เฉินเฟิงตัวน้อยรีบยกมือ
เธอจูงมือน้องชาย ขณะที่อีกมือถือกล่องข้าวลงไปชั้นล่าง จุดหมายคือโรงอาหารของโรงพยาบาล
ระหว่างทางมีคนทักทายพวกเธอสองพี่น้องไม่ขาดสาย เหมือนเธอกับน้องกลายเป็คนดังก็ไม่ปาน
กินข้าวกลางวันเสร็จแล้วพวกเธอก็กลับขึ้นมาบนห้องพัก หลังจากนั้นมีคนนำทั้งขนมและผลไม้มาให้พวกเธอสองพี่น้องมากมาย
“โบราณกล่าวไว้ว่า ความยุติธรรมอยู่ในใจ ขอบคุณทุกคนมากนะคะ” เธอกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ เพราะรู้ดีว่าทุกคนสงสารพวกเธอสองพี่น้อง
คุณปู่ที่เป็ญาติของคนไข้เตียงข้างๆ เอ่ยเตือนอย่างหวังดี “พวกเธอสองพี่น้องมีชีวิตที่ลำบาก ต่อไปก็อยู่ให้ห่างจากพี่น้องจิตใจดำมืดคู่นั้นล่ะ”
เธอพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ทราบแล้วค่ะ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้