ระหว่างทางกลับหวังตัวจวี๋เห็นว่าการวิวาทกันในครั้งนี้ตนช่วยอะไรไม่ได้เลยอีกทั้งอาจิ่วก็กลับมาแล้ว คาดว่าคงจะไม่มีเื่อะไรที่ตนต้องทำแล้ว เนื่องจากเ้าหมอนี่อยากกลับไปจนใจจะขาดแล้วจึงรีบบอกอวี๋เคอว่า้าไปหาโม่ชิง และรีบรุดกลับไปอย่างว่องไวจนไม่เห็นแม้แต่เงา
อวี๋เคอไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำถึงแม้เขาจะได้รับาเ็จากการต่อสู้กับหลิงกวงเมื่อครู่ แต่ก็ไม่ได้หนักหนาสักเท่าไรอีกอย่างรถม้าของตนก็ยังจอดอยู่ทางฝั่งของสำนักฉิงชาง ตราบใดที่เขาขึ้นรถไปแล้วย่อมไม่ต่างจากผู้ฝึกตนนับพันนับหมื่นคนที่อยู่ในแดน์มากนักเพียงอยู่ในรถอย่างสบายใจ เดินทางอีกไม่กี่วันก็ไปถึงแดนปีศาจแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็ต้องมีหวังตัวจวี๋อยู่ด้วยก็ได้แทนที่จะให้เ้าบ้านี่มานั่งคุ้มกันตนในรถม้าเหมือนถูกฝังเข็มสู้ปล่อยเขากลับไปจะดีกว่า
อวี๋เคอก้มหน้าลงและสังเกตเห็นว่าบนเสื้อตรง่อกของตนมีเืซึมออกมาและยิ่งดูเด่นมากขึ้นเมื่ออยู่บนเสื้อผ้าสีเรียบ เขาขมวดคิ้ว พร้อมกับบอกให้อาจิ่วหันไปอีกทางส่วนตนเองก็หยิบเสื้อคลุมสีอ่อนอีกตัวออกมาจากในแหวนหยก ขณะที่กำลังจะเปลี่ยนมันทันใดนั้นเขาก็หยุดลงทันที เพราะจู่ๆ ก็นึกถึงอวี๋เคอในเนื้อเื่เดิมที่มักชอบใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะสีแดงและสีม่วงเป็หลัก ตอนที่เป็เยี่ยวั่งจือ เขาย่อมสามารถสวมใส่อะไรก็ได้ตามความปรารถนาของตัวเองแต่เมื่อได้กลับมาเป็อวี๋เคออีกครั้งจึงไม่สามารถแต่งกายและทำนิสัยแบบนี้ตามใจตัวเองได้อีก
เขาถอนหายใจ แล้วนำเสื้อคลุมสีพื้นเก็บกลับไปจากนั้นก็หยิบเสื้อคลุมสีแดงสดแสบตาที่ดูเย้ายวนใจออกมาใหม่ กัดฟันสวมคลุมไปบนร่างเมื่อใส่เสร็จแล้วก็รู้สึกว่าตนเองช่างเหมือนผู้หญิงไม่น้อยเลยจริงๆ จึงกระแอมออกมาสองครั้งอย่างกระอักกระอ่วนแล้วบอกให้อาจิ่วหันกลับมาดูว่าใช้ได้หรือไม่
แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อเด็กน้อยเห็นอวี๋เคอแต่งกายเช่นนี้ดวงตาเล็กก็เปล่งประกายในทันที อวี๋เคอถูกจ้องจนรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลังก่อนจะรีบหมุนตัวเดินไปยังเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่สำนักฉิงชาง ขณะที่กำลังเดินอยู่ก็พูดขึ้นว่า “อาจิ่ว รีบตามมาพวกเราต้องรีบกลับกันแล้ว ไม่อย่างนั้นจิ่นเฉิงคงได้ไปตามตัวหวังตัวจวี๋มาบีบคอจริงๆแน่”
“นายท่าน!ท่านใส่แบบนี้แล้วดูดีกว่ามากเลยขอรับ! สีแดงนี่ดูเหมาะกับท่านมากกว่า!งามเสียจนทำเอาข้าตะลึงไปเลย! ” อาจิ่วรีบตามอวี๋เคอไปก่อนจะไปยืนบนไหล่เขาอย่างมั่นคง แล้วเอ่ยปากชมเขา
อวี๋เคอจิ้มไปที่จะงอยปากของอาจิ่วหนึ่งทีก่อนจะยิ้มพร้อมกับดุว่า “คำว่างามเป็คำที่อธิบายถึงรูปลักษณ์ของผู้หญิง จากนี้หากเ้าจะชมข้าก็ควรใช้คำว่าหล่อเข้าใจหรือไม่? ”
“หล่อ? หล่อหมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ? ” อาจิ่วไม่ได้เกิดในยุคปัจจุบันจึงไม่เข้าใจความหมายของคำว่าหล่อเป็ธรรมดา ตอนนี้เมื่อได้ยินอวี๋เคอพูดขึ้นจึงอยากรู้อยากเห็นเป็อย่างยิ่งจึงทำตาปริบๆ รอคอยคำตอบจากอวี๋เคอ
“...เอ่อ เ้าเพียงแค่จำไว้ว่าหากต่อไปอยากจะชมข้าก็ให้ใช้คำว่า “หล่อ” คำนี้ก็พอส่วนเื่อื่นพูดไปแล้วเ้าก็ไม่เข้าใจหรอก”
ท่าทางเย้าแหย่เด็กน้อยอย่างโจ่งแจ้งของอวี๋เคอทำให้อาจิ่วโกรธจนแก้มป่องก่อนจะขดตัวอยู่บนไหล่ของอวี๋เคอพร้อมกับอิงไปที่คอของเขาอย่างเง้างอน แล้วพึมพำว่า “ฮึ่ม!นายท่านมักจะตัดบทข้าเช่นนี้ทุกครั้งเลย รอจนวันหนึ่งที่ข้าแปลงกายได้ข้าจะต้องเปลี่ยนมาเป็คนตัวสูงเท่าผู้ใหญ่อย่างแน่นอนถึงตอนนั้นท่านจะไม่ปฏิบัติต่อข้าเหมือนเด็กน้อยอีกแล้ว! ”
อวี๋เคอยิ้มอย่างไม่สนใจเขาแล้วตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไป ตอนนี้พลังปราณที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายยังคงสมานอาการาเ็อย่างต่อเนื่องเนื่องจากสูญเสียพลังไปบางส่วนตนจึงไม่สามารถอวดดีเหมือนตอนที่เพิ่งมาถึงได้อีกแล้วจึงต้องอาศัยขาทั้งสองข้างของตนเองเดินกลับไปอย่างมั่นคง
ไม่รู้ว่าหากซ่งฉียวนไม่เห็นตนจะเป็อย่างไรและไม่รู้ว่าเขาจะคุ้นชินกับการอาศัยอยู่ที่สำนักฉิงชางหรือไม่และก็ยิ่งไม่รู้ด้วยว่าการกราบอาจารย์ของเขาจะราบรื่นไหมเมื่อนึกถึงท่าทางเด็ดเดี่ยวของซ่งฉียวนที่คุกเข่าอยู่ด้านนอกประตูและสาบานว่าจะไม่กราบอาจารย์คนที่สองอวี๋เคอยังคงรู้สึกกังวลอยู่จริงๆว่าเด็กคนนี้จะต้องดื้อดึงและโอหังไปจนถึงที่สุดเป็แน่...
“น้องชายฉียวน!เ้าพูดอะไรสักอย่างสิ! นี่ก็นานมากแล้ว สีหน้าของเ้านี่ทำให้ข้าเป็ห่วงจริงๆ ! ” เฉิงเซียงเครียดจะตายอยู่แล้ว ทั้งสองคนถูกจัดให้เป็ศิษย์ฝ่ายในเหมือนกันและที่พักแห่งนี้ก็ต้องถูกแบ่งให้อยู่ร่วมกันพอดี ตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็ชะตาฟ้าลิขิตบวกกับความสงสัยของเขาที่มีต่อซ่งฉียวนอยู่ก่อนแล้วจึงค่อนข้างพอใจกับการจัดแบ่งนี้
แต่ผ่านมาแล้วหนึ่งหรือสองชั่วยามคนผู้นี้กลับไม่สนใจที่จะถามอะไรตนเลย แม้แต่คำพูดคำเดียวก็ไม่หลุดออกมาจากปากทั้งสองคนนั่งมองหน้ากันอยู่ในเรือนไม้ด้วยความอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก
ปกติแล้วเด็กหนุ่มอายุเท่านี้ควรจะคึกคักมากไม่ใช่หรือ? แล้วก็ควรจะร่าเริงมีชีวิตชีวาและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานนี่นา? เป็ไปได้ไหมว่าเขาได้เพื่อนร่วมห้องปลอมมาคนหนึ่ง? เช่นนั้นก็ดี จิ้งจอกหนึ่งตัว กับ “คนใบ้” หนึ่งคน ก็นั่งจ้องหน้ากันแบบนี้จนหลับไปเลยแล้วกัน!
“ฮ่าๆๆๆ ...” เฉิงเซียงกำลังนั่งแกว่งขาอยู่บนเตียงอย่างเบื่อหน่ายทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะแปลกๆ ของซ่งฉียวนดังขึ้นมา เขาใจนหัวใจเต้นแรงเมื่อมองไปกลับพบว่าใบหน้าของซ่งฉียวนนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซึ่งต่างจากสีหน้าที่แข็งกระด้างเมื่อครู่ราวกับเป็คนละคน
เฉิงเซียงกลืนน้ำลายลงคออย่างอดไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างระแวดระวังว่า “เ้า... หัวเราะอะไรหรือ? ”
ซ่งฉียวนนั่งอยู่ริมเตียงแล้วใช้สองมือค้ำไปด้านหลังพร้อมกับเอียงศีรษะยิ้มและพูดใส่คนตรงหน้าว่า “เฉิงเซียง เ้ายังคงมากเื่เช่นนี้เสมอเลยนะ”
คำพูดนี้ของเขาราวกับเหมือนรู้จักเฉิงเซียงมานานมากแล้วเมื่อเฉิงเซียงได้ยินก็อดขนลุกในใจไม่ได้
เมื่อซ่งฉียวนเงยหน้ามองหลังคาสีน้ำตาลที่เหมือนกันกับของเรือนไม้ที่หุบเขาิญญาแววตาของเขาก็หม่นหมองลง แล้วพูดต่อว่า “หากท่านอาจารย์ยังอยู่ข้าก็อาจจะยังมีอารมณ์พูดคุยเื่ในวันวานกับเ้าได้ แต่ท่านอาจารย์ผิดสัญญาตอนนี้ข้าก็เลยอารมณ์ไม่ดีจริงๆ ขอเ้าจงอย่ากวนใจข้าอีกจะดีกว่า”
ซ่งฉียวนมีความทรงจำทั้งหมดจากชาติที่แล้วดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเฉิงเซียงจะเป็ผู้ช่วยคนสำคัญคนหนึ่งของตนในอนาคตแต่นิสัยของคนผู้นี้ยังคงน่ารำคาญเหมือนเช่นเคย จึงทำให้เขาทนไม่ได้
เฉิงเซียงตกตะลึงกับสิ่งที่ซ่งฉียวนพูดทำให้ความรู้สึกขนหัวลุกที่อยู่ในใจยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีกเห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้เพิ่งจะอายุเพียงสิบสองปี แต่กลับทำให้เขามีความรู้สึกในแบบที่เกิดความขี้ขลาดก่อตัวขึ้นมาในจิตใจและมักจะทำตามในสิ่งที่เขาพูดโดยไม่รู้ตัวเหมือนในตอนนี้ที่เขาไม่กล้าชวนคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคุยอีกแล้วจึงล้มตัวลงนอนบนเตียงของตัวเองไป แล้วพลิกตัวหันหลังไปกัดผ้าปูที่นอนใส่ซ่งฉียวน
ฮือ ฮือ ฮือ แล้วต่อไปนี้ควรจะทำอย่างไรดีเล่า?
ในที่สุดซ่งฉียวนก็ทำให้บรรยากาศเงียบสงบจนได้แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดีเพราะบริเวณทรวงอกเกิดอาการเ็ปอย่างรุนแรง เสียงสะท้อนในหัวเต็มไปด้วยคำสัญญาของอาจารย์ที่ได้ให้ไว้กับตนที่เชิงเขา
สัญญาเป็มั่นเป็เหมาะว่าจะรอข้าอยู่ที่นี่? แล้วตอนนี้ตัวท่านไปอยู่แห่งใดกัน?
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้อารมณ์ของซ่งฉียวนก็เริ่มเกรี้ยวกราด เปลวไฟอันชั่วร้ายลุกโชนขึ้นมาภายในจิตใจโดยสัญชาตญาณพร้อมกับแผดเผาดวงตาทั้งสองของเขาจนแดงก่ำ อารมณ์โกรธและเศร้าโศกขั้นสุดขีดส่งผลให้พลังปราณทั่วทั้งร่างกายเริ่มเดือดพล่านจากนั้นปราณอันชั่วร้ายสีแดงเข้มก็ค่อยๆ แผ่กระจายออกมาจากภายในร่างกาย แล้วโอบล้อมรอบเขาเอาไว้โดยสมบูรณ์
เสียงในใจของซ่งฉียวนบอกว่าไม่ดีแน่เพราะนี่คือสัญญาณในการถือกำเนิดของปีศาจในใจ!
เฉิงเซียงที่แกล้งทำเป็หลับอยู่ตอนนี้ก็พลิกตัวกลับมาแล้วเช่นกันเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้เข้าก็ใจนเตลิดในทันที แล้วรีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเ้า? ”
ซ่งฉียวนรู้ว่าตนเองต้องจัดการเื่นี้โดยเร็วอย่างเงียบเชียบที่สุดจะปล่อยให้คนอื่นในสำนักฉิงชางรู้เื่นี้ไม่ได้เด็ดขาดมิฉะนั้นคงยากที่จะรับประกันได้ว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบบางอย่างต่อสถานะของตนที่สำนักฉิงชางในอนาคตเพราะปีศาจในใจเป็ข้อห้ามร้ายแรงที่สุดต่อการดำรงอยู่ของผู้ฝึกตน
“ไม่มีอะไร เ้าไปเฝ้าประตูให้ดีแล้วอย่าให้เื่นี้แพร่งพรายออกไป เดี๋ยวข้าจะจัดการเอง”
เมื่อเฉิงเซียงได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่มากจึงไปเฝ้าประตูอย่างว่าง่ายจริงๆ
ซ่งฉียวนััได้ว่าภายในร่างกายดูเหมือนมีเปลวไฟอันชั่วร้ายลูกหนึ่งกำลังลุกโชนอยู่เข้าแผดเผาจนสติของเขาแทบจะขาดสะบั้น ในหัวเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความเดือดดาลที่มีต่ออาจารย์นี่มันท่าจะไม่ค่อยดีเอาเสียเลย
เขารีบนั่งขัดสมาธิเตรียมพร้อมแล้วตั้งจิตให้แน่วแน่ จากนั้นเคลื่อนพลังปราณทั่วร่างกายให้หมุนวนด้วยความเร็วสูงแล้วดึงเอาปราณิญญาจากฟ้าดินพุ่งเข้าใส่ร่างกายของตน ทว่า้าที่จะใช้จังหวะตอนที่ปีศาจจู่โจมในใจนี้ทะลวงเข้าสู่ขั้นจู้จีแล้วบรรลุเข้าสู่ขั้นจินตัน!
ซ่งฉียวนทำเช่นนี้ย่อมต้องมีแผนของตัวเองเช่นกันถึงแม้ปีศาจในใจนี้จะเป็แรงต้าน แต่ความจริงแล้วก็เป็แรงผลักดันในการขับเคลื่อนพลังบำเพ็ญเพียรให้ก้าวหน้าเช่นกันเขาเพียงแค่ต้องครองสติให้ตื่นรู้แล้วเปลี่ยนพลังของปีศาจที่อยู่ในใจนี้ให้กลายเป็พลังปราณของตนเอง เพียงเท่านี้ก็จะสามารถทะลวงผ่านขั้นจู้จีที่กักขังเขาเอาไว้เป็เวลาครึ่งปีด้วยวิธีนี้ได้ในทันทีและก้าวเข้าสู่ขั้นจินตันได้ในพริบตา!
แต่การที่อยากจะครองสติเอาไว้ก็ไม่ใช่เื่ง่ายขนาดนั้นเช่นกันเพราะในสมองมีแต่ฉากคำโกหกที่อาจารย์เคยพูดกับเขาฉายแวบเข้ามาเป็ฉากๆ ตอนอยู่ที่หน้าประตูสำนักก็มองไม่เห็นถึงความปวดร้าวและความเคียดแค้นของอาจารย์ใน่เวลานั้นเลยบวกกับความคิดที่ไม่อาจเอื้อมอันลึกลับของเขาที่มีต่อท่านอาจารย์แล้วทำให้สติของเขาเกิดฟุ้งซ่านขึ้นมาทีละนิด...
“ในเมื่อเ้าไม่อยากไปสำนักฉิงชางด้วยตัวเองเช่นนั้นข้าก็จะไปกับเ้า แล้วอยู่กับเ้าที่สำนักฉิงชางเลยดีหรือไม่? ”
“ข้าจะต้องมาถึงก่อนเ้าอย่างแน่นอน”
“ข้าจะรอเ้า”
“อื้อๆๆๆ !!! ” ความเ็ปอันแสนสาหัสทำให้ซ่งฉียวนคำรามเสียงต่ำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ปีศาจในใจนั้นแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก เสียงหึ่งๆ ในสมองดังขึ้นขณะที่เขาไม่สามารถควบคุมสติสัมปชัญญะเอาไว้ได้และกำลังจะตบะแตกอยู่นั้นหินสีเขียวบนหน้าอกก็พลันเปล่งแสงจางๆ ออกมา และกำลังปลอบประโลมจิตใจของเขาอย่างอบอุ่นสามารถข่มระงับปีศาจในใจนั้นลงไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“คิดเสียว่าเป็ของขวัญที่อาจารย์มอบให้เ้าก็แล้วกัน”
ทันใดนั้นประโยคนี้ก็ดังก้องขึ้นมาในหัวราวกับว่ารอยยิ้มของท่านอาจารย์อยู่ใกล้แค่เอื้อม
หางตาของซ่งฉียวนแดงก่ำเขาสงบสติอารมณ์ลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซ้ำยังเรียกสติกลับคืนมาได้แล้วเขายังคงหมุนวนพลังปราณอย่างรวดเร็วจนในที่สุดก็ทำให้ปราณสีทองหลายเส้นที่ไหลเวียนอยู่ภายในจุดตันเถียนหลั่งไหลหลอมรวมกันขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งค่อยๆ ก่อตัวเป็วงแหวนจินตันวงหนึ่งที่มีขนาดเท่าไข่นกพิราบอยู่ในนั้นแต่บนจินตันเม็ดนี้กลับมีรอยทมิฬสีเืบางส่วนติดอยู่แลดูชั่วร้ายและแปลกประหลาดมาก...
ซ่งฉียวนลืมตา แล้วถอนหายใจยาวๆก่อนจะนำมือไปลูบบนหินสีเขียวก้อนนั้น แล้วก้มหน้าหัวเราะขึ้นมาเบาๆ