รุ่งอรุณมาเยือน
อาลู่ลืมตาขึ้นก็พบว่าตนยังคงนอนอยู่บนพื้น ศีรษะก็ยังพิงโพรงหญ้าน้อยดังเดิม ทว่าร่างกายกับไม่รู้สึกหนาวแม้แต่นิด ความจริงแล้วก็เพราะในอ้อมกอดมีทารกน้อยนอนคว่ำหลับอุตุอยู่ ใบหน้าน้อยตะแคงข้างหลับไปอย่างว่าง่ายอยู่บนท้องของเด็กหนุ่ม
ฟืนไฟที่ลุกโชนเมื่อคืน เหลือทิ้งไว้เพียงกองขี้เถ้า
เมื่อเหลือบไปเห็นหม้อดำข้างกาย เด็กหนุ่มจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนตนหลับไปทั้งสภาพเช่นนี้ กระนั้นกลับจำไม่ได้ว่าตนไปอุ้มทารกน้อยมากอดไว้ในอ้อมอกั้แ่เมื่อใด
ทารกน้อยตัวเล็กนุ่มนิ่ม ดูแล้วช่างคล้ายกับเตาพกน้อยๆ นัก
อาลู่มองทารกน้อยนอนหลับสบายในอ้อมอก แก้มอ้วนๆ แนบไปกับอกของพี่ชาย แพขนตาบนดวงตาคู่น้อยดูแล้วช่างยาวกว่าใคร
เด็กหนุ่มค่อยๆ วางทารกน้อยลงบนโพรงหญ้าที่ทำไว้ เมื่อนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นว่าพื้นตรงหน้ามีรอยเท้าม้าเพิ่มขึ้นมา ซ้ำรอยเท้ายังดูลึกมากก็พลันรู้สึกฉงน เขาจำได้ว่าเมื่อวานตอนที่ตนกวาดพื้น รอยเท้านี้ดูเหมือนว่าจะยังไม่มี
เ้าม้าสีนิลตัวนั้นก็หายไปเสียแล้ว
อาลู่ผลักประตูออก
เมื่อเห็นว่าตรงหน้าเต็มไปด้วยผลึกน้ำแข็งทอดยาวสุดสายตาก็ตะลึงงัน
หญ้าเหลืองบนพื้นหญ้าถูกน้ำแข็งเกาะกุมเป็หย่อมๆ นอกกระท่อมราวกับถูกห่อหุ้มไปด้วยน้ำแข็ง ทำให้ทุ่งหญ้าทั้งผืนระยิบระยับไปด้วยแสงสะท้อนจากน้ำแข็งที่ก่อตัวเป็ชั้นๆ
ทว่าเมื่อเปิดประตูมาก็ไม่พบวี่แววของเ้าม้าอยู่ดี เ้าม้าสีนิลตัวเมื่อคืนนั้นโผล่มาราวกับความฝัน มิอาจยืนยันได้ว่าเป็เื่จริงหรือภาพลวงตากันแน่
กระนั้นเด็กหนุ่มจึงปิดประตูลง แล้วจุดไฟขึ้นใหม่ บนก้นหม้อเมื่อวานยังมีเศษหมั่นโถวเกาะกันเป็ข้าวตังอยู่ หากเพิ่มน้ำเข้าไปแล้วต้มต่อ น่าจะได้น้ำแกงไว้กินต่ออีกสักมื้อ
“อ๊ะ!” ประตูไม้อยู่ดีๆ ก็ถูกผลักให้เปิดออก
ลมหนาวจากด้านนอกพัดเอาความอบอุ่นภายในกระท่อมไปสิ้น
หน้าประตูเห็นเป็เหล่าปา ชายชราหลังค่อมยืนอยู่ราวกับิญญาที่ผุดมาจากส่วนที่มืดมิดที่สุดของโลก
เด็กหนุ่มพลันใ
“ตามข้ามา!” ชายชราออกคำสั่ง
อาลู่เมื่อได้ยินเหล่าปาออกคำสั่งก็ไม่ได้โต้แย้ง รีบเอาน้ำแกงที่ต้มไว้กรอกลงกระบอกไม้ที่เคยใส่นมแพะ จากนั้นจึงรีบแบกทารกน้อยที่ยังไม่ทันตื่นจากห้วงนิทราขึ้นหลัง แล้วออกจากกระท่อมไปทันที
อากาศภายนอกหนาวเหน็บซ้ำยังลมแรง
ชายชราเมื่อเห็นเด็กหนุ่มแบกทารกมาด้วยก็ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่ออกเดินต่อทันที
เด็กหนุ่มจึงเร่งตามหลังชายชราไป
กอหญ้าที่กลายเป็น้ำแข็งเหล่านี้เพียงมองด้วยตาก็อาจจะมองว่างดงาม ทว่าเมื่อเหยียบย่ำลงไปกลับไม่สวยงามเหมือนดั่งที่เห็น ทุกย่างก้าวที่ก้าวลงไป น้ำแข็งแหลมคมจะทิ่มแทงฝ่าเท้าราวกับเข็มก็ไม่ปาน
อรุณเริ่มทอแสง
ทั่วทั้งพื้นหญ้าเริ่มสะท้อนแสงกะพริบวิบวับ มองแล้วงามตา
ชายชราหลังค่อมราวกับพอใจกับทิวทัศน์ตรงหน้ามาก
“เ้ามีนามว่าอะไร” ทันใดชายชราก็ถามขึ้น
“อาลู่ ข้าวิ่งเร็วกว่าใคร พวกเขาเลยเรียกข้าว่าอาลู่” เด็กหนุ่มตอบ ไอร้อนจากปากกระทบกับอากาศหนาวเกิดเป็ควันลอยฟุ้ง
ทว่าชายชรากลับไม่ได้ถามถึงชื่อของทารกน้อยบนหลังอาลู่
บนูเากระดูก เด็กเล็กเช่นนี้มีชีวิตรอดจนโตเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้
คนทั้งสองยังคงออกเดินต่อ อาลู่รู้สึกว่าเท้าของตนไม่ได้รู้สึกเจ็บเช่นตอนแรกอีก แท่งน้ำแข็งเ่าั้ค่อยๆ ละลายกลายเป็เพียงน้ำ ยามเหยียบย่ำก็ไม่มีเสียงสวบสาบ มีเพียงเสียงราวกับเหยียบย่ำไปบนพื้นแฉะเท่านั้น
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างย่ำแย่เสียยิ่งกว่า
เหตุใดเหล่าปาจึงไม่ถามชื่อของน้องสาว ในใจอาลู่บังเกิดความสงสัย
ความจริงแล้วน้องสาวแท้ๆ ของเขานั้นยังไม่ทันได้ตั้งชื่อ ท่านพ่อก็จากไปเสียแล้ว ท่านแม่ก็แต่งงานใหม่ ไม่ทันได้ตั้งชื่อให้ นางก็จากไปเช่นกัน กระทั่งเื่ที่นางจากไปก็ยังไม่มีใครรู้
“น้องสาวข้าชื่อเฉินโย่ว เฉินโย่วที่แปลว่าเหล่าทวยเทพคุ้มครอง” ไม่ใช่ดาวแห่งหายนะ...อาลู่พูดเสริมขึ้นในใจ เขารั้นอยากจะตั้งชื่อนี้ให้นาง ต่อจากนี้นางจะได้มีชีวิตที่ดี
อาลู่เดินตามหลังเหล่าปาต่อ เมื่อไม่ได้ยินเหล่าปาตอบอะไร เขาจึงไม่กล่าวอะไรต่อ เมื่อเดินไปครู่หนึ่งจึงปรับสายผ้าอ้อมที่รัดอยู่เล็กน้อย ััได้ว่าทารกน้อยบนหลังน่าจะตื่นแล้ว อาลู่รู้สึกได้ว่าเ้าหนูน้อยกำลังดิ้นไปมา
ขาทั้งสองของเด็กหนุ่มหนาวจนแทบเป็น้ำแข็ง ทว่าร่างกายกลับไม่รู้สึกหนาว กระแสความอบอุ่นจากทารกน้อยบนหลังช่วยคลายหนาวให้เด็กหนุ่มไม่น้อย
ทุกครั้งตอนที่อาลู่หยุดปรับสายผ้าอ้อมที่รัดนั้น ชายชราหลังค่อมก็ชะลอฝีเท้าให้ช้าลงราวกับไม่ตั้งใจ รอจนเด็กหนุ่มปรับสายรัดเรียบร้อยจึงจะออกเดินราวกับบินอีกครั้ง
คนทั้งสองเดินมาเป็ระยะเวลาหนึ่ง
ทันใดก็ได้ยินเสียงดังกึกก้องแว่วมา
ราวกับมีกองทัพนับพัน ม้านับหมื่นตัวกำลังวิ่งมา
อาลู่พลันชะงักฝีเท้า
ชายชราเองก็หยุดนิ่งเช่นกัน
“บนเขานี้ม้าพยศนัก โดยเฉพาะาาม้า หากเ้าไม่ระวังตัวให้ดี จะถูกมันเหยียบตายเสียเปล่าๆ ประเดี๋ยวก็มองซ้ายมองขวาให้ดี” ชายชราอธิบายให้เด็กหนุ่มฟัง
อาลู่รู้สึกว่าเหล่าปาดูออกจะตื่นเต้น เพราะก่อนหน้าน้ำเสียงของชายชราล้วนเต็มไปด้วยความราบเรียบ ทว่าเมื่อพูดถึงม้า ศีรษะของชายชราก็ยื่นออกไปด้านหน้าเล็กน้อย ทำให้เห็นว่าลำคอของเขานั้นยาวมาก ซ้ำหลังที่คดงอนั้นก็ยิ่งดูชัดเจนขึ้น
“เข้าใจแล้วขอรับ ขอบใจท่านอาปามาก”
อาลู่ยามยังเลี้ยงสัตว์ให้กับตระกูลต้าปาซือนั้นนับได้ว่าเป็คนฉลาดคนหนึ่ง ซ้ำยังปากหวาน ทำงานขยันขันแข็ง เพียงแต่อายุน้อยเกินไป ทั้งยังมีน้องสาวป่วยเป็โรค จึงทำให้โดนขับไล่ออกมา
เหล่าปาเมื่อได้ยินเด็กหนุ่มเรียกตนว่าอา ก็ทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง
เขาทั้งหลังค่อม กระทั่งผมยังขาวไปทั้งหัว คนเห็นแล้วคงจะคิดว่าเขาอายุสักห้าสิบกว่า หรือกระทั่งจะเรียกเขาว่าปู่ก็ไม่น่าแปลกใจ กระนั้นแท้จริงแล้วเขานั้นอายุยังไม่ถึงสามสิบเสียด้วยซ้ำ
เหล่าปานั้นรูปร่างไม่สูง ความสูงของเขาแทบจะพอๆ กับเด็กหนุ่มที่ยังไม่โตเต็มวัยอย่างอาลู่
ยามยืนอยู่บนทางลาด แล้วมองเงาแผ่นหลังของ ทั้งสองก็ดูแล้วคล้ายคลึงกันเล็กน้อย
เพียงแต่เหล่าปา ชายหลังค่อมดูราวกับกำลังแบกหลังคดงอที่ปูดออกมาของตนอยู่
ส่วนอาลู่นั้นก็กำลังแบกห่อผ้าอ้อมที่ทำให้หลังดูโปนขึ้นมาเช่นกัน
หลังของคนทั้งสองล้วนดูราวกับกำลังแบกบางอย่างอยู่
แสงอาทิตย์สาดลาดลง
ทำให้เงาที่ทอดมาดูราวกับเป็คนหลังค่อมสองคนกำลังยืนอยู่
เงาคล้ายกันสองเงาทอดยาวลงบนผืนหญ้า
ฝูงม้าพลันปรากฏตัว
ในตอนแรกม้าท่าทางสง่างามตัวหนึ่ง เริ่มเดินย่ำเหยียบผ่านเงาของพวกเขาเข้ามา ก่อนที่ม้าฝูงใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนจะย้ำเท้าเดินตามมาเช่นกัน
เด็กหนุ่มอ้าปากค้างด้วยความใ
เหล่าปาเมื่อเห็นท่าทีของเด็กหนุ่ม มุมปากพลันปรากฏรอยยิ้ม ตอนที่เขาได้พบม้าจำนวนมากเช่นนี้ก็แทบหุบปากที่อ้าค้างด้วยความตะลึงไม่ได้เช่นกัน เพราะใครจะคาดคิดว่าบนูเากระดูกจะมีม้ามากมายขนาดนี้
แม้อาลู่จะใที่ได้เห็นม้าจำนวนมากเช่นนี้ ทว่าสาเหตุที่เขาอ้าปากค้างด้วยความตะลึงนั้นกลับเป็าาม้าที่สามารถเหยียบคนตายได้ที่เหล่าปาพูดถึง าาม้าที่วิ่งนำฝูงมาตัวแรกนั้นคือเ้าม้าสีนิลที่เล่นกับน้องสาวตนเมื่อคืน ไม่ผิดแน่ มันคือเ้าม้าหัวปูดตัวนั้น เขายังเห็นกับตาว่างน้องสาวตบหัวมันเล่นเสียตั้งหลายที