มือที่อยู่ข้างลำตัวของอวี๋ฉี่เจ๋อกำเข้าหากันเล็กน้อยเขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าแย้มยิ้มของอวี๋เจียว รับรู้เพียงว่าวาจาที่เพิ่งโพล่งออกไปและยังเอ่ยไม่ทันจบไม่ต่างจากเื่น่าหัวเราะเยาะยิ่งนัก
ดวงตาดอกท้อเรียวรีค่อยๆ มืดมนลง คล้ายกับถูกฉาบด้วยความเคร่งขรึมเด็ดเดี่ยวทำให้ผู้อื่นดูไม่ออกคำพูดที่นางบอกให้อวี๋จือโจวแต่งงานกับนางในวันนั้นดังอยู่ข้างใบหูของอวี๋ฉี่เจ๋อเขาจ้องอวี๋เจียวเขม็ง เอ่ยถามอย่างเชื่องช้าว่า “น่าขันหรือไม่?”
ในหัวของอวี๋เจียวเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามไม่รู้ว่าเหตุใดอยู่ดีๆ คนผู้นี้ถึงเ็ากะทันหันเช่นนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของนางชะงักค้างก่อนจะหุบลง เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ไม่น่าตลกเลยข้าไม่หัวเราะแล้วยังไม่ได้อีกหรือ? เ้าอย่าโมโหสิ”
น้ำเสียงอ่อนนุ่มทำให้มือที่กำเข้าหากันจนกลายเป็หมัดและซ่อนอยู่ในชายอาภรณ์ของอวี๋ฉี่เจ๋อคลายออกใบหน้าของเขาผ่อนคลายลงหลายส่วนเพียงแต่บรรยากาศละมุนละไมเพียงน้อยนิดระหว่างพวกเขาได้เลือนหายไปนานแล้ว
อวี๋เจียวใจฝ่อเล็กน้อย ลอบโมโหตนเองว่าไม่ควรย่ามใจจนลืมตัวหลงลืมเื่ที่เ้าของร่างเดิมเคยทำเอาไว้หยอกล้อคนยุคโบราณที่เกิดมาในระบอบศักดินาและกิริยาวาจาอยู่ในกรอบเช่นอวี๋ฉี่เจ๋ออย่างขวัญกล้าเทียมฟ้าคนทั้งสองมุ่งหน้าเดินไปยังห้องโถงอย่างเงียบเชียบโดยไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ
ในลานเรือนมีสายลมโชยมา ถึงแม้จะเป็ฤดูร้อนทว่าอวี๋เจียวกลับรู้สึกค่อนข้างหนาวเย็นอย่างไม่อาจเลี่ยง
เมื่อเดินเข้ามาในห้อง อวี๋หรูไห่รุดเข้ามาพร้อมแย้มยิ้มจับจูงมือของอวี๋ฉี่เจ๋อแล้วเอ่ยด้วยความรักใคร่เอ็นดู “นี่ก็คือเ้าห้าในจวนของเรา”ตามด้วยเอ่ยกับอวี๋ฉี่เจ๋อว่า “รีบทำความเคารพนายท่านมู่เร็วเข้า”
อวี๋ฉี่เจ๋อค่อยๆเบี่ยงกายพลางชักมือออกจากฝ่ามือของอวี๋หรูไห่อย่างสงบเยือกเย็นจากนั้นค้อมกายเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพ เอ่ยอย่างไม่ต้อยต่ำและไม่สูงส่งว่า“คารวะนายท่านมู่ขอรับ”
มู่เหยี่ยนแย้มยิ้มพลางลุกขึ้นพบว่าแม้จอหงวนน้อยสามสนามผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในฉางขุยปีนั้นจะรูปร่างผอมบางทว่าหน้าตาหล่อเหลา หากไม่ใช่เพราะบนใบหน้าเผยอาการป่วยจะต้องเป็ชายหนุ่มสง่างามที่กระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาผู้หนึ่งแน่นอน
“ไม่ต้องเกรงใจเมื่อสามปีก่อนชื่อเสียงของคุณชายห้าสกุลอวี๋เป็ที่ยกย่องทั่วทั้งฉางขุยแล้วแต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้าอยู่ชิงโจวจึงไม่มีวาสนาได้พบ ครั้นวันนี้ได้มาพบโดดเด่นเช่นที่คิดเอาไว้จริงๆ ” ในสกุลมู่มีคนเป็ขุนนางให้ความสำคัญกับการเรียนอย่างมาก มู่เหยี่ยนก็เช่นกันด้วยเหตุนี้เขาจึงค่อนข้างชื่นชมผู้ที่ใช้ความสามารถของตนคว้าตำแหน่งจอหงวนสามสนามอย่างอวี๋ฉี่เจ๋อ
อวี๋ฉี่เจ๋อต่างจากคนในสกุลอวี๋ที่คอยประจบเอาใจมู่เหยี่ยนเมื่อเผชิญหน้ากับวาจาชื่นชมของมู่เหยี่ยน เขาสุขุมเยือกเย็นยิ่งนัก“ชื่อเสียงเลื่องลือเกินความเป็จริง นายท่านมู่ชมเกินไปแล้วขอรับ”
ครั้นมู่เหยี่ยนเห็นท่าทางสุขุมใจเย็นของเขาจึงยิ่งรู้สึกชอบใจเอ่ยพลางแย้มยิ้มว่า “คุณชายห้าไม่จำเป็ต้องถ่อมตน ตลอดหลายปีที่เ้าพักรักษาตัวการเรียนหยุดชะงักหรือไม่?”
อวี๋ฉี่เจ๋อหลุบตาลง เอ่ยอย่างเชื่องช้า“เพราะล้มป่วยจนร่างกายอ่อนแอจึงอ่านตำราบ้างเป็ครั้งคราวขอรับ”
มู่เหยี่ยนได้ฟังจากมู่เนี่ยนจิ่วว่ายามนี้ร่างกายของอวี๋ฉี่เจ๋อทรุดโทรมอย่างหนักไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางไม่ลงสนามสอบแม้แต่ครั้งเดียวหลังจากคว้าตำแหน่งสามจอหงวนเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้การเรียนจะสำคัญแต่การพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายถึงจะเป็สิ่งสำคัญที่สุดด้วยความสามารถในปีนั้นของเ้า รอจนรักษาตัวให้หายดีค่อยลงสนามสอบก็ยังสามารถมีรายชื่อติดอันดับได้อีกครั้งเมื่อวันหน้าร่างกายเ้าหายดีแล้ว หากไปลงสนามสอบที่ชิงโจวก็ให้บอกข้าสักหน่อยสกุลมู่ของข้าจะต้องคอยดูแลอย่างแน่นอน”
ทันทีที่เอ่ยคำกล่าวนี้ออกมา สีหน้าของผู้คนในห้องแตกต่างกันออกไปสตรีแซ่จ้าวริษยาจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน จากที่อวี๋จิ่นซูกล่าวมาสกุลมู่มีความสนิทสนมกับข้าหลวงในชิงโจว หากได้รับการดูแลจากสกุลมู่ไม่แน่ว่าอาจได้เผยโฉมหน้าต่อหน้าผู้คุมสอบนี่ถือเป็เื่ดีที่ต่อให้ปรารถนาก็ไม่อาจได้รับ
อวี๋จิ่นซูพยายามสร้างไมตรีอันดีกับมู่เนี่ยนจิ่วก็เพราะหวังว่าจะได้รับการดูแลจากสกุลมู่ผู้ใดจะรู้ว่าคนป่วยกระเสาะกระแสะของครอบครัวรองกลับโชคดีนึกไม่ถึงว่าจะได้รับคำมั่นเช่นนี้จากนายท่านรองสกุลมู่อย่างง่ายดาย
อวี๋หรูไห่เผยสีหน้ายินดี “นายท่านมู่ให้ความกรุณาแล้วข้าขอขอบพระคุณในความหวังดีของนายท่านมู่แทนเ้าห้าในจวนของเรา”
มู่เหยี่ยนยิ่งนึกชื่นชมเมื่อพบว่าสีหน้าของอวี๋ฉี่เจ๋อไร้ซึ่งความยินดีปรีดาใบหน้ายังคงสุขุมราบเรียบ แม้คุณชายอีกสองคนจะมีชาติกำเนิดเช่นเดียวกันแต่กลับไม่สุขุมเยือกเย็นเช่นคุณชายห้าที่ล้มป่วยผู้นี้ เขาเอ่ยพลางแย้มยิ้มว่า“เ้าร่างกายอ่อนแอ รีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
