พ่อบ้านจี้มาถึงเรือนโฉวงจี๋อย่างรวดเร็ว “เสี่ยวโหวเหฺย ท่านเรียกหาบ่าวหรือขอรับ?” เวลานี้เขาได้ยกให้หลี่ลั่วเป็นายเหนือหัวแล้ว พ่อบ้านใหญ่ของจวนโหว หลี่ลั่วเป็เ้าของของจวนโหว เ้านายของเขาไม่ใช่หลี่ลั่วหรือไร? เขากระจ่างแจ้งนานแล้ว อีกทั้งเขาอายุเยอะแล้ว เขายังคาดหวังให้ตำแหน่งพ่อบ้านนี้สืบทอดให้บุตรชายของเขา
“ท่านมาแล้ว ข้าอยากขอให้ท่านช่วยหาเรือนสักหลัง ไม่ต้องใหญ่นัก เรือนห้องเดียวก็เพียงพอ” หลี่ลั่วกล่าว “ตำแหน่งทำเลดีสักหน่อย เรือนที่มีห้องเดียวนี้ราคาประมาณเท่าใด?”
“หากเป็ตำแหน่งทำเลที่ดีสักหน่อย เรือนห้องเดียวนี้ราคาประมาณแปดร้อยตำลึงขอรับ” พ่อบ้านจี้กล่าว คนมีเงินโดยส่วนใหญ่มักจะไม่ซื้อเรือนห้องเดียว เข้าประตูใหญ่ประตูเดียวแล้วมีเพียงเรือนเดียว โดยมากให้ครอบครัวเดียวอาศัยอยู่ และหากมีแขกไปมาจะเป็การไม่สะดวก ไม่รู้ว่าเสี่ยวโหวเหฺย้าทำอันใด
“เช่นนั้นสองห้องเล่า?” หลี่ลั่วถามอีก
“ราคาอยู่ที่หนึ่งพันแปดร้อยถึงสองพันสองร้อยตำลึงขอรับ” พ่อบ้านจี้ตอบอีก
“เช่นนั้นซื้อเรือนสองห้องเถิด ถึงเวลานั้นโรงงานงานฝีมือของร้านอาหารเพื่อการกุศลต้องย้ายไปที่นั่น ยังมีสิ่งของบริจาคของร้านช่วยเหลือเพื่อการกุศลที่มีจำนวนมากขึ้น จำเป็จะต้องมีสถานที่แยกออกมา” หลี่ลั่วกล่าว
“ขอรับ”
“ใช่แล้ว เวลานี้บ้านการกุศลมีทั้งหมดสามร้านค้าด้วยกัน ร้านช่วยเหลือเพื่อการกุศลมีพี่ใหญ่คอยดูแลอยู่ ร้านอาหารว่างเพื่อการกุศลข้าอยากจะยกให้จี้ซิ่นเป็ผู้ดูแลชั่วคราว ท่านคิดว่าอย่างไร?” หลี่ลั่วถาม
ในใจพ่อบ้านจี้ยินดียิ่งนัก แต่คำว่าชั่วคราวสองคำนี้เขาฟังแล้วไม่ใคร่กระจ่างแจ้งนัก “จี้ซิ่นจะไม่ทำให้โหวเหฺยผิดหวังขอรับ แต่ว่าความหมายของคำว่าชั่วคราวคือ?”
หลี่ลั่วพอใจกับการไถ่ถามอย่างตรงไปตรงมาของพ่อบ้านจี้ ย่อมดีกว่าการไม่พูดไม่จาปิดบังเอาไว้ดีกว่านัก “ต่อไปข้าต้องไปจวนฉีอ๋อง พ่อบ้านจี้ท่านอายุมากแล้ว จี้ซิ่นเป็ผู้ช่วยมือดี ต่อไปต้องอยู่ในจวนโหวเป็ผู้ช่วยพี่ใหญ่แน่นอน หากจี้ซิ่นสืบทอดตำแหน่งของท่าน เช่นนั้นเขาจะไปช่วยที่ร้านไม่ได้ ท่านว่าอย่างไรเล่า?”
“โหวเหฺยคิดพิจารณาได้ละเอียดถี่ถ้วนขอรับ”
“ท่านมีบุคคลที่คิดว่าเหมาะสมจะนำเสนอหรือไม่? ให้เขามาติดตามจี้ซิ่นชั่วคราว ให้จี้ซิ่นสอนเขา รอจนกระทั่งเขาทำงานได้เองลำพังแล้ว จี้ซิ่นก็สบายขึ้นแล้ว” หลี่ลั่วกล่าวอีก
“ขอรับ บ่าวทราบแล้ว บ่าวจะคิดหาผู้เหมาะสมขอรับ”
“อืม ออกไปได้”
วันรุ่งขึ้น
หลี่ลั่วนำสมุดบัญชีของร้านช่วยเหลือเพื่อการกุศลเข้าวังหลวง ปรากฏว่ากลับถูกคนนำไปยังตำหนักเฉียนชิง นี่เป็ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้นี่นา “กงกงท่านนี้ วันนี้ไม่ได้ไปพบฝ่าาที่ห้องทรงพระอักษรหรือไร?”
“เมื่อวานฝ่าาทรงพระประชวร วันนี้ไม่ได้เข้าประชุมขอรับ” กงกงตอบ
“ฝ่าาทรงพระประชวรรึ” หลี่ลั่วคาดไม่ถึง จ้าวหนิงฮ่องเต้ในใจเขานั้นรูปร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามเช่นนั้น กับการเจ็บป่วยดูเหมือนจะไปด้วยกันไม่ได้
กงกงท่านนั้นคุ้นเคยกับหลี่ลั่วอยู่เช่นกัน ล้วนเป็คนที่ไห่กงกงฝึกฝนออกมา เมื่อเหลือบซ้ายแลขวาเห็นว่าไม่มีคนแล้วจึงแอบกระซิบว่า “่เวลาหลายวันนี้ของทุกปี ฝ่าาจะทรงประชวร”
“หลายวันนี้มีความหมายพิเศษอันใดหรือ?” หลี่ลั่วถาม
“ห้าปีก่อน หลี่โหวเหฺยเสียชีวิตในเวลานี้ ความวุ่นวายภายในเมื่อเจ็ดปีก่อนก็เกิดขึ้นใน่เวลานี้เช่นกันขอรับ” กงกงอธิบาย
ดังนั้นฝ่าานั้นเป็ไข้ใจ หลี่ลั่วคิดว่าตนเองนั้นช่างอกตัญญูเสียนี่กระไร หากไม่ใช่กงกงท่านนี้ชี้แนะ เขายังไม่รู้เลยว่าวันครบรอบวันตายของบิดาตนใกล้จะมาถึงแล้ว
ด้านหน้าตำหนักเฉียนชิง ฮองเฮา ฉินกุ้ยเฟย เจาอี๋ และเฉียนเฟย วังหลังทั้งสี่ของจ้าวหนิงฮ่องเต้ยืนอยู่ที่นั่น เมื่อเห็นหลี่ลั่วมาแล้ว ฮองเฮาจึงกวักมือเรียกเขาเป็คนแรก “หลี่เสี่ยวโหวเหฺย”
“กระหม่อมถวายบังคมฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ คารวะเหนียงเหนียงทุกท่าน” หลี่ลั่วทำความเคารพ
“หลี่เสี่ยวโหวเหฺยไม่ต้องมากพิธีรีตอง” ฮองเฮากล่าว “หลี่เสี่ยวโหวเหฺยมาเยี่ยมฝ่าาเป็การเฉพาะกระมัง”
“กระหม่อมละอายใจนัก เมื่อสักครู่เพิ่งจะรู้ว่าฝ่าาทรงพระประชวร แม้กระหม่อมจะเกรงว่าเป็การรบกวนเวลาพักผ่อนของฝ่าา แต่เมื่อมาแล้วย่อมไม่สามารถไม่มาเยี่ยมไข้ได้พ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วกล่าว “เหนียงเหนียงอยู่ที่นี่คือ?”
“ฝ่าาวันนี้พระอารมณ์ไม่ดี เปิ่นกงจึงไม่อยากรบกวน แต่ก็กังวลฝ่าา” ฮองเฮากล่าว
“เหนียงเหนียงโปรดวางพระทัย กระหม่อมจะดูแลฝ่าาเป็อย่างดีพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วพูดแล้วเดินตามกงกงเข้าไป
วันเช่นวันนี้ ต่อให้เป็องค์ชายทั้งสามฝ่าาล้วนไม่อยากพบหน้า ทว่ากลับยอมพบหน้าหลี่ลั่ว ช่างเหนือคาดจริงๆ ทว่าวันนี้ในหลายปีที่ผ่านมาฉีอ๋องอาศัยอยู่ในวังบูรพา ปีนี้ฉีอ๋องไม่อยู่
“หลี่เสี่ยวโหวเหฺยเป็บุตรชายของหลี่ซวี่เพคะ” ฉินกุ้ยเฟยพูดเสียงเบา
ฮองเฮาตกตะลึง และแจ่มแจ้งในทันใด ใช่สิ หลี่ซวี่นั้นเป็หนึ่งในคนข้างกายที่ฝ่าาเสียดายอย่างยิ่งมิใช่หรือ?
“เสี่ยวโหวเหฺย ข้าจะพาท่านไปพักผ่อนที่ห้องข้างๆ สักครู่หนึ่ง ฝ่าากำลังปรึกษาหารือเื่สำคัญกับบรรดาขุนนาง” ผู้ที่ออกมารับหลี่ลั่วคือไห่กงกง
“ขอบคุณไห่เหฺยเหฺยขอรับ” ห้องข้างๆ ที่ว่าก็คือห้องที่อยู่ติดกับห้องที่พวกเขากำลังปรึกษาหารือกันอยู่ มีฉากกันลมกั้นอยู่ หลี่ลั่วยังคงได้ยินเสียงที่พวกเขาปรึกษากัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงของจ้าวหนิงฮ่องเต้ น้ำเสียงของฮ่องเต้เมื่อทรงพิโรธนั้นน่าเกรงกลัวยิ่งนัก
“เื่ของโค่วฉีถึงตอนนี้ก็ยังสืบไม่ได้ กรมยุติธรรมมีไว้ทำอันใด?” จ้าวหนิงฮ่องเต้เขวี้ยงฎีกาลงบนพื้นอย่างฉุนเฉียว “คุกหลวงของกรมยุติธรรมผู้ใดล้วนเข้าไปได้รึ? ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถวางยาพิษได้รึ? เช่นนั้นจะมีกรมยุติธรรมเอาไว้เพื่ออันใดกัน?”
เสนาบดีกรมยุติธรรมรีบคุกเข่าลง เก็บฎีกาขึ้นมาทว่าตัวคนกลับไม่ได้ลุกขึ้นด้วย “เป็เฉินที่มองข้ามไปพ่ะย่ะค่ะ ผู้ที่วางยาพิษเป็ทหารชั้นผู้น้อยของกรมยุติธรรม เฉินได้ตรวจสอบดูแล้ว เขาอยู่ในกรมยุติธรรมเป็เวลาหกปี ตลอดมาไม่มีปัญหาใดๆ ไฉนเลยจะรู้ว่าครั้งนี้...ต่อมาเมื่อสืบพบว่าเป็เขานั้น เขาได้กินยาพิษฆ่าตัวตายเสียแล้ว เป็การฆ่าตัวตายพ่ะย่ะค่ะ มิใช่ถูกคนฆ่า”
“ครอบครัวของเขาเล่า? ครอบครัวของโค่วฉีเล่า?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ถาม
“คนในครอบครัวของเขาไม่รู้เื่ของเขาพ่ะย่ะค่ะ จนกระทั่งเกิดเื่ขึ้น มารดาในวัยชราของเขาถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อลงทันที ส่วนโค่วฉี คนในครอบครัวของเขาเฉินได้ให้คนไปซีเป่ยเพื่อตรวจสอบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมยุติธรรมตอบ นี่คือกลลวง ใครๆ ก็รู้ แต่ปัญหาก็คือไร้ซึ่งเบาะแสใดๆ
“โค่วฉีนั้นพุ่งเป้ามาที่อวี๋เจิ้นซี เวลานี้อวี๋เจิ้นซีหายตัวไป โค่วฉีเป็ผู้ที่เกี่ยวข้องมากที่สุด” จ้าวหนิงฮ่องเต้ปวดพระเศียรอย่างรุนแรง
“เมื่อโค่วฉีออกมาจากซีเป่ยนั้น แม่ทัพน้อยอวี๋ยังไม่เกิดเื่พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมยุติธรรมกล่าว
“ฮึ” จ้าวหนิงฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็นขึ้นครั้งหนึ่ง “ให้โค่วฉีมาร้องเรียน พวกเขาคิดว่าเจิ้นจะจับกุมอวี๋เจิ้นซี ดังนั้นจึงรอให้อวี๋เจิ้นซีถูกจับกุมตัวมาเมืองหลวง ไหนเลยจะรู้ว่ากลับมาถูกจงหย่งโหวทำให้เสียเื่เล่า”
หลี่ลั่วที่ถูกเรียกฐานะจงหย่งโหวอยู่ด้านในได้ยินเื่นี้ สะท้านไปทั้งหัวไหล่ หวาดกลัวเล็กน้อย
“จงหย่งโหวฉลาดเฉลียวมีปฏิภาณไหวพริบพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมยุติธรรมกล่าว ฉลาดเฉลียวจริงๆ ความผิดฐานร้องเรียนผู้บังคับบัญชาข้ามขั้นนั้นได้ตัดทางหนีทีรอดของโค่วฉี “อีกทั้งจงหย่งโหวยังเข้าใจกฎหมายบ้านเมืองของเราอย่างถ่องแท้พ่ะย่ะค่ะ” ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น พวกเขาล้วนถูกข่าวที่อวี๋เจิ้นซีสมคบคิดกับศัตรูทำให้ตกตะลึงไปแล้ว ผู้ใดเลยจะคิดได้ว่าการร้องเรียนผู้บังคับบัญชาเป็ความผิดกระทงหนึ่ง
หลี่ลั่วย่อมเข้าใจกฎหมายบ้านเมืองของแคว้นเป็อย่างดี ในฐานะคนในยุคปัจจุบันที่มีอุดมการณ์และมีเป้าหมาย เขาต้องรู้ขอบเขตกฎหมายของประเทศนั้นๆ อย่าว่าแต่กฎหมายของแคว้น แม้กระทั่งเื่ภายในครอบครัวของเหล่าขุนนางใหญ่เขาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้เช่นกัน เขาได้บันทึกเป็สมุดบันทึกออกมาตั้งนานแล้ว
แต่ทว่า...หลี่ลั่วภาคภูมิใจเล็กๆ พวกเขาไม่รู้ก็เท่านั้นเอง
“บุตรชายของหลี่ซวี่ ย่อมต้องฉลาดเฉลียว” จ้าวหนิงฮ่องเต้คิดว่าตนได้หน้าไปด้วย อย่างไรก็นับว่าเขาเป็ผู้เลี้ยงดูเติบโตมา อีกทั้งเขายังส่งคนไปคุ้มกันอย่างลับๆ
แต่ไม่ได้ให้เงินเป็การช่วยเหลือหลี่ลั่ว นี่อาจนับได้ว่าเป็บททดสอบอย่างหนึ่ง
“ฝ่าา โค่วฉีมาร้องเรียนแม่ทัพน้อยอวี๋น่าจะมีสองจุดประสงค์ จุดประสงค์แรกมีคน้าลงมือกับค่ายทหารซีเป่ย อีกจุดประสงค์หนึ่งคือมีคน้าอำนาจทางทหารของซีเป่ยพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมยุติธรรมกล่าวอีก
“อืม พูดต่อไป” จ้าวหนิงฮ่องเต้คิดเช่นนี้เหมือนกัน
“หากมีคน้าลงมือกับค่ายทหารซีเป่ย เป็ไปได้หรือไม่ว่าอาจเป็คนของฝูชิวพ่ะย่ะค่ะ?” เสนาบดีกรมยุติธรรมถาม
“ความหมายของเ้าคือ ผู้ที่สมคบคิดกับศัตรูอาจจะเป็โค่วฉีรึ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ขมวดพระขนง
“หากเป็จุดประสงค์แรก ย่อมสงสัยได้ว่าโค่วฉีเป็ผู้สมคบคิดกับศัตรู แต่เวลานี้แม่ทัพน้อยอวี๋หายตัวไป ดังนั้นเฉินจึงสงสัยว่าจะเป็จุดประสงค์ที่สอง มีคน้ายึดอำนาจทางทหารของซีเป่ยพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมยุติธรรมกล่าวอย่างขวัญกล้า
“หากเป็เช่นนี้ เ้าสงสัยผู้ใด?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ถาม
เสนาบดีกรมยุติธรรมก้มหน้าลงต่ำ ไม่กล้าพูด ความแคลงใจนี้หากพูดออกไปต้องหัวหลุดออกจากบ่าเป็แน่ แต่หากเขาไม่พูดจ้าวหนิงฮ่องเต้มีหรือจะไม่รู้? หากพูดว่ามีคน้าอำนาจทางทหารของซีเป่ย เช่นนั้นก็เพื่อ้าต่อกรกับจวิ้นเฉิน ผู้ใดคิดจะต่อกรกับจวิ้นเฉินเล่า? เ้าใหญ่? เ้ารอง? หรือเ้าสาม?
ไม่ว่าผู้ใดล้วนสงสัยในตัวอีกฝ่าย ทว่าไม่มีหลักฐาน “เ้าจงแอบสืบอย่างลับๆ ต่อไป”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ทางด้านศาลต้าหลี่เล่า?” จ้าวหนิงฮ่องเต้มองไปที่ต้าหลี่ซื่อชิง “เ้าพบนักฆ่าเื่นั้นไปถึงไหนแล้ว? ได้รับาเ็ไม่เป็ไรกระมัง?”
ต้าหลี่ซื่อชิงส่ายหน้า “เฉินไม่เป็อันใดพ่ะย่ะค่ะ คืนนั้นเฉินออกมาจากศาลต้าหลี่ คนเ่าั้ได้ติดตามเฉินทันที เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ร่องรอยของเฉิน ยังดีที่กองทหารม้าห้าเมืองลาดตระเวนผ่านมาพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อต้าหลี่ซื่อชิงพูดนั้นคิ้วขมวดกันแน่น
หลี่ลั่วฟังจากด้านใน ถามไห่กงกงว่า “ไห่เหฺยเหฺย การลาดตระเวนของกองทหารม้าห้าเมืองมีเวลาที่แน่นอนหรือไม่ขอรับ?”
“เสี่ยวโหวเหฺยไฉนจึงถามเช่นนี้เล่า?” ไห่กงกงไม่เข้าใจ
“หากอีกฝ่ายรู้เวลาที่แน่นอนของต้าหลี่ซื่อชิง ไฉนจึงเลือกเวลาที่กองทหารม้าห้าเมืองออกลาดตระเวนมาลงมือเล่า? ดังนั้นข้าจึงแปลกใจ เวลาลาดตระเวนของกองทหารม้าห้าเมืองนั้นกำหนดชัดเจนแน่นอนหรือไม่ หากกำหนดเวลาแน่นอน เช่นนั้นการเผชิญหน้ากับนักฆ่านี้แปลกประหลาดนัก หากไม่ได้กำหนดเวลาแน่นอน เช่นนั้นจึงคาดเดาได้ว่าผู้ที่ไปทำหน้าที่ลอบสังหารดวงซวยเอง” หลี่ลั่วกล่าว
ทั้งๆ ที่เป็ปัญหาที่เคร่งเครียดอย่างยิ่ง แต่เมื่อหลี่ลั่วเอ่ยคำว่าซวยออกมานั้น ไห่กงกงพลันหัวเราะขึ้นมา แต่เขายังคงอธิบายว่า “เวลาลาดตระเวนของกองทหารม้าห้าเมืองมิได้กำหนดไว้แน่นอนขอรับ เวลาการลาดตระเวนในแต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นผู้ที่บุกเข้ามาลอบสังหารต้าหลี่ซื่อชิงจึงไม่รู้ว่าคืนนั้นกองทหารม้าห้าเมืองจะออกลาดตระเวนผ่านบริเวณนั้นในเวลาดังกล่าว” ไห่กงกงกล่าว
เป็เช่นนี้เองหรือ...เช่นนั้นหลี่ลั่วก็ไร้คำพูดแล้ว
ณ ค่ายทหารซีเป่ย
เวลาของกู้จวิ้นเฉินนั้นค่อนข้างเป็ระเบียบแบบแผน ั้แ่ตื่นนอนกระทั่งเข้านอน ยืมคำพูดของหลี่ลั่วก็คือคล้ายเครื่องจักร ตรงเวลาอย่างยิ่งยวด
เมื่อมาถึงซีเป่ย ทุกวันเมิ่งเต๋อหลางต้องหาปลาปักเป้า แต่ซีเป่ยหาปลาปักเป้าได้ยาก ดังนั้นเพื่อถอนพิษให้กับกู้จวิ้นเฉิน เมิ่งเต๋อหลางจึงยุ่งวุ่นวายทั้งวัน
อวี๋เจิ้นซีหายตัวไป ทำให้การระแวดระวังภัยของค่ายทหารซีเป่ยเพิ่มสูงขึ้นอีก
แต่ต่อให้เป็เช่นนี้ พวกเขายังคงได้เผชิญหน้ากับนักฆ่า
คืนวันนี้ มีควันไร้สีไร้กลิ่นสายหนึ่งถูกทิ้งเข้ามาในกระโจมของกู้จวิ้นเฉิน ต่อมามีเงาร่างของคนผู้หนึ่งลอบเข้ามาอย่างไร้ซุ่มเสียง แต่ยามที่เขาดึงดาบออกมาเพื่อจะแทงกู้จวิ้นเฉินนั้น กู้จวิ้นเฉินที่อยู่บนเตียงก็ลุกพรวดขึ้นมา
“เ้าไม่ได้ต้องพิษรึ?” อีกฝ่ายตกตะลึง หลงกลเสียแล้วหรือ? ครั้นเมื่อเขาหันกายจะหลบหนีนั้นกระบี่ของกู้จวิ้นเฉินรวดเร็วกว่า แทงจากด้านหลังออกไป สองคนต่อสู้กันภายในกระโจม “เ้ามีวรยุทธ์รึ?” ฉีอ๋องผู้ถูกพิษมาหกปีมีวรยุทธ์? ก่อนหน้านี้ไฉนจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน
ความเคลื่อนไหวภายในกระโจมดึงความสนใจจากผู้คน จวิ้นอีและเมิ่งเต๋อหลางรีบทะยานเข้าไปในกระโจม คนทั้งสองกำลังฟาดฟันกัน
“จับเป็ไม่ได้ก็จับตาย” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
“พ่ะย่ะค่ะ”
วรยุทธ์ของเมิ่งเต๋อหลางนั้นเหนือกว่ากู้จวิ้นเฉินและจวิ้นอี วิชามวยกุมารโยคะ[1]ที่ฝึกมาหลายสิบปีของเขามีพลังวัตรมากมายมหาศาลที่เหลือเชื่อ ต่อให้มือสังหารอยากจะหลบหนี เขาก็ไม่ให้โอกาสนั้นกับอีกฝ่าย
“มีผู้บุกรุก อารักขาท่านอ๋อง”
“เร็วเข้า” ทหารที่อยู่ด้านนอกะโโหวกเหวกโวยวายขึ้น ชั่วพริบตาก็รู้สึกได้ว่ามีกลุ่มคนเข้ามาจากด้านนอก
กู้จวิ้นเฉินพุ่งตัวไปที่ประตู “ยกเขาให้พวกท่าน” พูดแล้วก็เดินออกไปด้านนอกกระโจม
“ถวายบังคมฝ่าา ฝ่าาไม่เป็อันใดใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ฝ่าาพวกกระหม่อมจะเข้าไปช่วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง” กู้จวิ้นเฉินขวางประตูเอาไว้ “ข้างในมีจวิ้นอีก็เพียงพอแล้ว พวกเ้าเข้าไปมีแต่จะเกะกะเสียเปล่าๆ รออยู่ด้านนอก” ไฉนมือสังหารจึงปรากฏขึ้นกะทันหัน? ซ้ำยังไร้ซึ่งข่าวคราวใดๆ มีเพียงคำอธิบายเดียว ที่นี่มีไส้ศึก ทำให้มือสังหารรู้แผนที่ของค่ายทหาร ไม่เช่นนั้นแล้วท่ามกลางกระโจมมากมายมือสังหารจะรู้ได้อย่างไรว่ากระโจมหลังไหนเป็กระโจมของเขา?
เช่นนั้น กลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้าตนในเวลานี้ ผู้ใดคือไส้ศึก? หากพวกเขาแห่กันเข้าไป ท่ามกลางผู้คนมากมาย มือสังหารต้องหนีรอดไปได้แน่นอน อีกฝ่ายคิดการณ์อย่างฉลาดนัก น่าเสียดายที่กู้จวิ้นเฉินไม่ได้ให้โอกาสนี้แก่เขา
ถ้าหากว่ามีไส้ศึกละก็ ถ้าเช่นนั้นการหายตัวไปของพี่ชาย...เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของกู้จวิ้นเฉินก็เริ่มมืดครึ้มไม่กระจ่างใสอีกต่อไป
คนด้านนอกยำเกรงต่อท่าทีเคร่งครัดของกู้จวิ้นเฉิน ไม่กล้าเข้าไป
“ฝ่าา” หลี่จงิ หลี่ต้าน และรองแม่ทัพอีกหลายคนมาถึงทันที “เหตุใดจึงมีนักฆ่าได้เล่า?” หลี่จงิกล่าว
กู้จวิ้นเฉินส่ายหน้า “จวิ้นอีอยู่ด้านในไม่มีอันตราย พวกเ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ อย่าให้ใครบุกเข้าไปได้ หลี่จงิและหลี่ต้าน เ้าทั้งสองส่งคนไปดูรอบๆ ด้านทั้งสี่ทิศ ดูว่ามีสิ่งของต้องสงสัยหรือคนต้องสงสัยหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ” หลี่จงิและหลี่ต้านรีบนำคนจำนวนหนึ่งออกลาดตระเวนทั้งสี่ด้าน
หากจะกล่าวว่าที่นี่มีไส้ศึก เช่นนั้นรองแม่ทัพทั้งห้าที่อยู่เบื้องหน้านี้ล้วนน่าสงสัยทั้งสิ้น ผู้ที่ไม่น่าสงสัยก็คือคนที่ตนพามาเอง จวิ้นอี เมิ่งเต๋อหลาง หลี่จงิ และหลี่ต้าน
ปัง...
มีคนกลิ้งหลุนๆ ออกมาจากในกระโจม ทั้งร่างเต็มไปด้วยเื มือข้างหนึ่งหักไปแล้ว กลิ้งอยู่บนพื้น จวิ้นอีลอยตัวออกมา เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนมืออีกข้างหนึ่งของเขา “ฝ่าา จับได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ตัดเส้นเอ็นขาของเขา” กู้จวิ้นเฉินกล่าว จากนั้นจึงค่อยๆ เดินเข้าไป
ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง ตัดเส้นเอ็นขาของเขาหรือ? ฉีอ๋องพูดโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี นี่...นี่ฉีอ๋องอายุสิบสี่เท่านั้นไม่ใช่หรือไร
“พ่ะย่ะค่ะ” จวิ้นอีไม่เคยคลางแคลงใจต่อคำสั่งของกู้จวิ้นเฉิน ต่อมาได้ยินเพียงเสียงร้องโหยหวนของมือสังหาร
“ไม่ได้ซ่อนยาพิษไว้ในปากหรือ?” กู้จวิ้นเฉินถาม
“มีพ่ะย่ะค่ะ หมอเทวดาเมิ่งให้เขากินยาถอนพิษก่อนที่เขาจะกัดยาพิษจนแตกละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” จวิ้นอีตอบ
“พาตัวไป พรุ่งนี้ค่อยสอบสวน ทุกคนกลับไปได้แล้ว เพื่อเป็การป้องกันการซุ่มโจมตีของนักฆ่า ทหารที่เข้าเวรต้องมีสติ” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
“พ่ะย่ะค่ะ”
มือสังหารถูกควบคุมตัวไปแล้ว กระโจมของกู้จวิ้นเฉินไม่อาจพักอาศัยได้แล้ว เขาจึงย้ายไปที่กระโจมของจวิ้นอี ขันทีที่ติดตามมารับใช้รีบเก็บกวาดกระโจมของจวิ้นอี
“ท่านอ๋องไฉนจึงไม่สอบสวนคืนนี้พ่ะย่ะค่ะ?” จวิ้นอีสงสัยอยู่บ้าง
ยังไม่ได้รอให้กู้จวิ้นเฉินตอบ เมิ่งเต๋อหลางก็เข้ามา “ข้าเพิ่งไปเดินหามารอบหนึ่ง นี่คือสิ่งของที่ฝ่ายตรงข้ามนำมาทำให้ท่านอ๋องสลบ ของเล่นเล็กๆ น้อยๆ” เมิ่งเต๋อหลางหัวเราะเสียงเย็นครั้งหนึ่ง เขาเรียนวิชาแพทย์เพราะ้าช่วยเหลือคน รังเกียจวิธีการเช่นนี้เป็ที่สุด “ท่านอ๋องอยากจะรวบตัวพวกเขาทั้งหมดในคืนนี้”
“อาจไม่เป็เช่นนั้นก็ได้” กู้จวิ้นเฉินกล่าว “หากคืนนี้พวกเขาไม่มาช่วยคน ย่อมไม่มีทางรวบตัวพวกเขาได้ จากที่ฝ่ายตรงข้ามรู้กระโจมของข้าโดยที่พวกเราไม่รู้ตัว ไส้ศึกย่อมรู้ว่าข้าเริ่มสงสัยแล้ว เขาเพียงแต่ไม่แน่ใจว่าท่ามกลางผู้คนมากมาย ข้าสงสัยผู้ใด”
“แต่คนมากมายขนาดนั้น ท่านอ๋องย่อมคาดเดาได้ไม่ง่ายนัก” เมิ่งเต๋อหลางกล่าว
“เป็เช่นนั้นจริงๆ ดังนั้น ป้องกันระวังเอาไว้” พูดถึงตรงนี้กู้จวิ้นเฉินพลันขมวดคิ้ว “ไส้ศึกผู้นั้น ย่อมวางแผนคนของพี่ชาย ไส้ศึก สายลับ มือสังหาร...โค่วฉี...ผู้ที่อยู่เื้ัวางแผนเพื่อจุดประสงค์แรกก็คือซีเป่ย คิดแตะต้องซีเป่ยเท่ากับแตะต้องข้า แต่ยามนี้เขารอไม่ไหวแล้วแม้กระทั่งซีเป่ยก็ไม่สนใจ มาแตะต้องข้าก่อน ด้วยเหตุใดเล่า?”
“หรือว่าในเมืองหลวงเกิดเื่อันใดขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จวิ้นอีกล่าว
เื่ที่เมืองหลวงได้ส่งฉุนหยางอ๋องมาที่นี่ ทางนี้ยังไม่ได้รับข่าวคราว ดังนั้นจึงคาดเดาไม่ออก
“คืนนี้ให้ระมัดระวังเื่การป้องกันเอาไว้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อถึงกลางดึก ยังไม่ได้รอให้ไส้ศึกผู้นั้นของกู้จวิ้นเฉินปรากฏกาย เสียงกลองพลันดังขึ้น
“แย่แล้ว แคว้นฝูชิวบุกโจมตี แคว้นฝูชิวบุกโจมตีแล้ว”
“รีบไปรายงานท่านอ๋อง แคว้นฝูชิวบุกโจมตี”
“แคว้นฝูชิวยังกล้าบุกโจมตีรึ? พวกเรากับพวกเขารบกันมาหลายสิบปี พวกเขาไม่ได้เอาเปรียบพวกเรา เวลานี้กลับกล้าบุกโจมตี”
“ฝูชิวเป็เมืองที่ยากต่อการโจมตี แต่ง่ายต่อการป้องกัน พวกเขารบไม่ชนะพวกเรา จึงได้แต่ทำเื่ชั้นต่ำพรรค์นี้”
กู้จวิ้นเฉินกำลังนอนหลับสะลึมสะลือพลันถูกปลุกให้ตื่นขึ้น “ฝูชิวโจมตีหรือ?” ภายในสมองของเขาปรากฏลำแสงของความคิดพาดผ่าน ส่งมือสังหารมาสังหารเขาก่อน และต่อมาฝูชิวบุกโจมตี เหตุไฉนจึงบังเอิญเช่นนี้ได้เล่า นี่มัน...ได้วางแผนการเอาไว้เนิ่นนานแล้ว เช่นนั้นหากกล่าวว่าไส้ศึกอยากสังหารเขาโดยร่วมมือกับฝูชิวเล่า? ไส้ศึกเป็คนของฝูชิวหรือ? ไม่ เื่ทั้งหมดไม่ได้ง่ายดายเช่นนี้
กู้จวิ้นเฉินรีบไปที่กระโจมหลักเพื่อปรึกษาหารือเื่สำคัญ รองแม่ทัพทั้งห้าต่างมาถึงแล้ว เมื่อเห็นเขาจึงรีบถวายบังคม “ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องมากพิธี” กู้จวิ้นเฉินเดินไปด้วยและพูดไปด้วย “เมื่อก่อนหากฝูชิวบุกโจมตีพวกเ้าแก้ไขปัญหานี้อย่างไรกัน”
“รับศึกพ่ะย่ะค่ะ” หนึ่งในรองแม่ทัพกล่าว
“การเตรียมรับศึกนั้นแน่นอนอยู่แล้ว พวกท่านมีกลยุทธ์ศึกแล้วหรือ?” กู้จวิ้นเฉินถาม
คนทั้งหมดต่างมองกันไปมองกันมาอยู่ครู่หนึ่ง
“พูด” กู้จวิ้นเฉินหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“กลยุทธ์ในแต่ละครั้งย่อมไม่เหมือนกัน ชั่วพริบตาไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนพ่ะย่ะค่ะ” มีรองแม่ทัพท่านหนึ่งตอบ
“เมื่อก่อนที่ข้าน้อยติดตามหลี่โหว ก็ได้เจอกับการบุกโจมตีมาไม่น้อยครั้งเช่นกัน ฝูชิวมักจะทำเื่ราวเช่นนี้เสมอ ประการแรกพวกเราทำอันใดพวกเขาไม่ได้ พวกเขาจึงลำพองใจนัก เป็พวกเขาที่รบไม่ชนะพวกเรา จึงไม่อยากให้พวกเราได้อยู่กันอย่างสงบสุข” หลี่จงิกล่าว “คนส่วนหนึ่งเหลือไว้ที่กระโจม อีกส่วนหนึ่งคุ้มกันค่ายทหารแนวหลังของพวกเราเพื่อป้องกันศัตรู อีกส่วนหนึ่งเตรียมรับศึก”
“แบ่งกำลังเป็สามทาง หลี่จงิบังคับบัญชา” กู้จวิ้นเฉินไตร่ตรองคำพูดของหลี่จงิผ่านความคิดของตน แล้วยกอำนาจหน้าที่ในการสั่งการให้เขาในทันที
ทว่า รองแม่ทัพทั้งห้ากลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
“มีอะไร?” กู้จวิ้นเฉินเลิกคิ้ว
“ตราอาญาสิทธิ์อยู่ในมือของแม่ทัพอวี๋ ไม่มีคำสั่งทางทหาร รับศึกไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” รองแม่ทัพที่นิ่งเงียบผู้หนึ่งตอบ
[1] ถงจื่อกง (童子功) หรือวิชามวยกุมารโยคะ ผู้ฝึกต้องรักษาพรหมจรรย์และคุณอันบริสุทธิ์ วิชานี้เมื่อฝึกถึงขั้นสูงสุดแล้วจะสามารถกดแรงกระตุ้นให้สัประยุทธ์ ลดความปรารถนาที่จะต่อสู้ เมื่อไม่คิดต่อสู้ ชีวิตก็ยืนยาว