แม่เล้าของอี๋หงย่วนตัวสั่นงันงก มองลอดผนังห้องที่พังทลายเข้าไป บังเอิญเห็นมือนายท่านร่างใหญ่ควงหมุนไปมาเบาๆ อย่างพิสดาร พุ่งเป็เส้นโค้งที่สวยงามสายหนึ่ง ปลายหมัดพุ่งกระแทกกับศีรษะเจิ้งซื่อหรงเต็มๆ ดังนั้นนางจึงอาเจียนแล้ว…
ใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายของเจิ้งซื่อหรงบิดเบี้ยวไปอย่างรุนแรง เจิ้งซื่อหรงจวบจนกระทั่งยามตายก็ยังมิเชื่อว่าตนเองจะมาสิ้นชีพในลักษณะนี้ เขาััพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ของอีกฝ่ายไม่ได้ แต่กลับััถึงพลังที่ะเิออกมาจากภายในร่างกายฝ่ายตรงข้าม พลังที่ช่างน่าสะพรึงกลัวสุดเปรียบปาน
ฝ่ายตรงข้ามเหมือนดั่งสัตว์อสูรที่มีรูปร่างเป็มนุษย์ตัวหนึ่ง การเคลื่อนไหวปราดเปรียวไร้ผู้เทียบเทียม ท่วงท่าสง่างามยิ่งนัก ยามเยื้องย่างก้าวเท้าดุจั ดั่งอสรพิษ ขณะสองแขนอ้าออกหุบเข้าก็ทำให้การโจมตีทั้งหมดของเขาถูกทำลายสูญสลายหมดสิ้น นี่คือยอดฝีมือที่บรรลุถึงขอบเขตระดับใดแล้ว?
ตอนที่หมัดฝ่ายตรงข้ามใกล้กระแทกศีรษะ เจิ้งซื่อหรงกลับชะงักหยุดลงชั่วครู่ นายเคราร่างใหญ่พูดอย่างเฉยชาขึ้นมาคำหนึ่ง “พี่ชาย[1] วิทยายุทธ์ของตระกูลเจิ้งก็มีเพียงเท่านี้เอง” และหลังจากนั้น แม้แต่โอกาสที่เจิ้งซื่อหรงจะหลบก็ยังไม่มี ศีรษะเขาถูกกระแทกแตกยับ แหลกเป็ชิ้นๆ จวบจนกระทั่งเขาตายก็ยังคิดไม่ออกว่าตนมีน้องชายผู้นี้ั้แ่เมื่อใด
“บังอาจมาแย่งสตรีกับบิดา แล้วยังกล้าลงมือต่อบิดาก่อนอีก รำคาญที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วจริงๆ!” นายเคราใหญ่จัดแจงกับคราบเืที่เลอะบนหน้าอก เช็ดมือเปื้อนโลหิตบนเสื้อจิ้งจอกสาวน้อยอย่างไร้มารยาทยิ่ง จากนั้นเขาก็ลูบคลำตามตัวเจิ้งซื่อหรงอีกหลายครั้ง หยิบเอาธนบัตรจำนวนมากใส่กระเป๋าข้างเอวตน ตลอดจนแหวนที่สวมบนนิ้วก็ยังไม่ละเว้น แล้วจึงส่ายหน้า มองดูชายหญิงคู่นั้นในห้องข้างๆ ที่ยังคงกรีดร้องอย่างดูถูกเหยียดหยาม หันศีรษะลอดผ่านผนังที่พังทลายจากไป
ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นรวดเร็วยิ่งนัก ั้แ่เจิ้งซื่อหรงลงมือจวบจนกระทั่งถูกกระแทกศีรษะแหลกยับเยินตลอดจนถูกกวาดทรัพย์สินทั้งหมดไปเรียบ ใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้นเอง รอจนยอดฝีมือของอี๋หงย่วนมาถึง เงาร่างของนายเคราร่างใหญ่ก็หายไปจากหน้าต่างข้างห้องจนไร้ร่องรอยแล้ว
ไม่มีผู้ใดกล้าก่อเื่ในอี๋หงย่วนมานานแล้ว นายเคราใหญ่ไม่เพียงฆ่าคนในอี๋หงย่วนเท่านั้น อีกทั้งยังปล้นทรัพย์สินของลูกค้าไปจนหมดสิ้น นี่มันเท่ากับตบหน้าตระกูลจี้ชัดๆ
จี้เซี่ยงตงเหลือบมองห้องที่พังทลายจนยุ่งเหยิงคราหนึ่ง รีบมาถึงเบื้องหน้าศพของเจิ้งซื่อหรง เอื้อมมือไปดึงเศษเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งออกจากมือเจิ้งซื่อหรง สีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที มีความยินดีปรากฏตรงหว่างคิ้วขึ้นวูบ นี่คือสิ่งที่เจิ้งซื่อหรงเมื่อก่อนตายะเิพลังเฮือกสุดท้ายฉีกออกมาจากอกเสื้อของฆาตกรนั่นเอง ด้านหลังเศษผ้าชิ้นนั้นมีเศษหนังแกะชิ้นหนึ่ง เพียงแค่มองที่เศษหนังแกะชิ้นนั้นแวบหนึ่ง เขาอดที่จะรู้สึกปีติยินดีไม่ได้
“บูมมม…” พลุดอกไม้ไฟกระเซ็นไปรอบทิศทาง อักษร "จี้" ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ยอดฝีมือตระกูลจี้มารวมตัวกันที่อี๋หงย่วนอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวเมืองมู่เหย่ทั้งเมืองเกิดการเคลื่อนไหวขึ้นมาแล้วอย่างกะทันหัน
……
จี้เซี่ยงตงเพิ่งจะจากไป จี้เซี่ยงหนานก็ปรากฏตัวขึ้นที่ปากทางเข้าอี๋หงย่วน เขายังนำสัตว์อสูรประหลาดที่หัวเป็หมู ลำตัวเป็สุนัขมาด้วยตัวหนึ่ง
“สัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้!” มีคนอุทานขึ้นเสียงเบาๆ ตำนานเล่าขานสัตว์อสูรนี้มีสายเืของสัตว์อสูรนางฟ้าหาขุมทรัพย์ ขอเพียงมันได้กลิ่นอายลมหายใจของคนผู้หนึ่ง ไม่ว่าคนผู้นั้นจะไปถึงที่ใด ต้องหนีไม่พ้นการติดตามของมันอย่างแน่นอน คนที่มาพร้อมกับจี้เซี่ยงหนานยังมีคนที่ดูภายนอกไม่ธรรมดาอีกสามคน นั่นก็คือเจิ้งอวี้ฟูและผู้ติดตามสองคนนั่นเอง
หลายปีมานี้ตระกูลเจิ้งและตระกูลจี้ในเมืองมู่เหย่มีการคบค้าสมาคมอยู่ไม่น้อย หลังจากพวกเขาออกจากตระกูลจ้านอย่างโกรธเคือง ก็ไปเยี่ยมเยียนตระกูลจี้ กรณีพิพาทระหว่างตระกูลด้วยกันมักจะมีอย่างต่อเนื่อง อย่างตระกูลจ้านเหล่านี้เป็หนึ่งในตระกูลใหญ่ที่แนวโน้มจะมีอำนาจครอบงำอีกสามตระกูลใหญ่ที่เหลือในเมืองมู่เหย่
เจิ้งอวี้ฟูไปเยี่ยมเยียนตระกูลจี้ก็เพราะ้าสร้างสัมพันธ์ร่วมมือกันในฐานะพันธมิตร ไม่คิดว่าขณะเจิ้งอวี้ฟูและท่านรองของตระกูลจี้คุยกันอย่างออกรส อี๋หงย่วนส่งสัญญาณเตือนภัยแจ้งเหตุด่วน นึกถึงเจิ้งซื่อหรง หลานชายกำลังพักผ่อนหย่อนใจอยู่ที่อี๋หงย่วน เจิ้งอวี้ฟูจึงถือโอกาสตามมาดูหน่อย นอกจากนี้ยังสามารถแสดงทัศนคติของตระกูลเจิ้ง นั่นคือไม่ว่าจะเกิดเื่ใดขึ้นกับตระกูลจี้ ตระกูลเจิ้งก็จะยังคงเป็พันธมิตรเช่นเดิม
จี้เซี่ยงหนานมาถึงห้องที่เจิ้งซื่อหรงเสียชีวิต สัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ยังคงวนเวียนไปรอบๆ อยู่ เสียงเจิ้งอวี้ฟูคำรามขึ้นด้วยความตื่นตระหนกและโกรธแค้น ทำให้จี้เซี่ยงหนานใจนสะดุ้งโหยง เห็นเจิ้งอวี้ฟูพุ่งพรวดไปถึงเบื้องหน้าศพไร้ศีรษะนั้น ร้องขึ้นด้วยความเจ็บช้ำ “ซื่อหรง ฝีมือผู้ใดกันแน่?!”
จี้เซี่ยงหนานรู้สึกศีรษะพองโต ตอนแรกคิดว่าเป็การท้าทายตระกูลจี้ ไหนเลยจะเคยคิดว่าผู้ตายกลับเป็คุณชายตระกูลเจิ้ง เื่ราวในคราวนี้มีความยุ่งยากแล้ว
จี้เซี่ยงหนานขยิบตาส่งสัญญาณให้คนรอบข้าง แม้ว่าแม่เล้าชราจะได้รับความใหวาดกลัว แต่ฝีปากยังคงเฉียบคม เพียงไม่กี่คำก็สามารถอธิบายต้นสายปลายเหตุของเื่ราวทั้งหมด จี้เซี่ยงหนานขมวดคิ้วมุ่น ดูแล้วเหมือนจะเป็ศึกชิงนางด้วยความหึงหวง วิธีการของฆาตกรโเี้อำมหิตยิ่งนัก ยังมีลักษณะของอันธพาลอีกด้วย คนประเภทนี้มักเป็นักเสี่ยงโชค คนพวกนี้ชมชอบไปไหนมาไหนคนเดียว เป็พวกมิจฉาชีพเดนตาย ในยามปกติ ตระกูลจี้ไม่้าไปตอแยพวกมัน พอทราบว่าผู้ตายคือนายน้อยเจิ้ง เขาเริ่มวางแผนในใจอีกครั้ง นายน้อยตระกูลเจิ้งเป็ยอดฝีมือระดับปรมาจารย์นักยุทธ์ระดับสี่ที่แท้จริง ภายใต้การลงมือของฝ่ายตรงข้ามกลับพ่ายแพ้โดยไม่สามารถโต้ตอบ ถูกชกตายในหมัดเดียว การบ่มเพาะพลังของคนร้ายนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง คนประเภทนี้ ตระกูลจี้ก็ไม่กล้าดูแคลนเช่นกัน
“ท่านรองจี้ ข้าหวังว่าตระกูลจี้จะสามารถช่วยข้าหาฆาตกรให้พบ ไม่ว่ามันเป็ผู้ใด ต้องให้มันชดใช้กลับคืนกว่าสิบเท่า!” เจตนาฆ่าฟันของเจิ้งอวี้ฟูยากปกปิด เพิ่งแยกทางกับหลานชายไม่ถึงครึ่งวันก็เกิดคดีเช่นนี้ขึ้น เขาจะอธิบายกับพี่รองว่าอย่างไร
“นายท่านสาม!” ผู้เฒ่าทั้งสองเข้าใจความรู้สึกของเจิ้งอวี้ฟูเป็อย่างดี
“ส่งข่าวให้พี่รอง เชื่อว่าพี่รองทราบว่าต้องทำอย่างไร เืของซื่อหรงยังไม่ทันแห้ง ฆาตกรยังไปไม่ไกล ยังต้องพึ่งพาสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ของท่านรองจี้ด้วย”
“พี่อวี้ฟูไม่ต้องห่วง ตระกูลจี้แสวงหาไปทั่วเมืองแล้ว ฆาตกรต้องหนีไม่พ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่ามันเป็ผู้ใด ก็จะต้องมีคำตอบให้พี่อวี้ฟู” พูดจบก็ปล่อยสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ในมือ สัตว์ตัวน้อยวิ่งไปทางหน้าต่างดุจสายลมหอบหนึ่ง นั่นคือหน้าต่างที่นายท่านร่างใหญ่หนีออกไปนั่นเอง
……
นายหนวดร่างใหญ่ออกจากอี๋หงย่วนมาอย่างรวดเร็ว ทะลุผ่านตรอกซอกซอยหลายสาย ข้ามกำแพงเข้าไปในลานเรือนแห่งหนึ่ง ปรากฏตัวอีกครั้งกลับแต่งกายด้วยอาภรณ์สีเขียวตลอดทั้งตัว เป็ชายหนุ่มรูปร่างผอมเพรียว แตกต่างกับนายหนวดเคราหยาบกร้านโดยสิ้นเชิง ยากจะเอามาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ชายหนุ่มชุดเขียวส่องดูบ่อน้ำของลานเรือนคราหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ ครั้งหนึ่ง “ดูแล้วเทคนิคการปลอมแปลงรูปโฉมนี้ไม่เลวจริงๆ น่าเสียดายที่การกลั่นกระดูกยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ มิเช่นนั้นจะสามารถแปรเปลี่ยนรูปร่างได้ตามอำเภอใจ ควบคู่กับเทคนิคการปลอมแปลงรูปโฉม เกรงว่าใต้หล้าคงไม่มีผู้ใดสามารถจับผิดได้แล้ว”
ชายหนุ่มในเสื้อผ้าขุดเขียวก็คือจ้านอู๋มิ่งนั่นเอง แต่ยามนี้ใบหน้ากลับอยู่ในสภาพของคนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะฆ่าเจิ้งซื่อหรงรวดเร็วดุจอสนีบาต แต่เขาก็ทราบว่าตระกูลจี้ไม่ธรรมดา ตระกูลจี้จะต้องให้ยอดฝีมือตามไล่ล่ามาอย่างแน่นอน ตอนนี้เขายังไม่้าเปิดศึกกับตระกูลจี้ตรงๆ
จี้เซี่ยงตงมาถึงนอกลานน้อย ขมวดคิ้วมุ่น ลานแห่งนี้เป็กิจการของตระกูลหลงแห่งเมืองมู่เหย่ ตระกูลหลงเป็หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ ไม่ได้อ่อนแอกว่าตระกูลจี้เลยแม้แต่น้อย หรือว่าฆาตกรมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหลง? ระหว่างที่ลังเลอยู่ จี้เซี่ยงตงรู้สึกถึงกลิ่นอายลมหายใจพิเศษชนิดหนึ่ง เงาร่างคนผอมเพรียวของผู้หนึ่งเดินผ่านตรอกไป ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
“น้องชายท่านนี้โปรดหยุดก่อน” จี้เซี่ยงตงก้าวไปข้างหน้า ชายหนุ่มหยุดลง ในดวงตาจี้เซี่ยงตงปรากฏร่องรอยความสงสัยแวบหนึ่ง คนที่อยู่เบื้องหน้าเขาแตกต่างกับนายหนวดเคราร่างใหญ่ที่แม่เล้าชราอธิบายอย่างสิ้นเชิง
“อา ท่านคือท่านปู่ของตระกูลจี้กระมัง ท่านมองหาผู้น้อยคงมีธุระใช่หรือไม่?” ชายหนุ่มในชุดเขียวรู้สึกประหลาดใจและยินดี คล้ายดั่งได้รับความโปรดปรานจากผู้ใหญ่ รู้สึกเป็เกียรติอย่างยิ่ง
จี้เซี่ยงตงรู้สึกค่อนข้างผิดหวัง ไตร่ตรองในใจ อาจเป็ความผิดพลาดจนเกิดภาพลวงตา ชายร่างใหญ่ที่หายไปด้านนอกลานตระกูลหลงกับชายหนุ่มคนนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกัน อีกทั้งทั่วร่างของชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่มีคลื่นแห่งพลังจิติญญาการต่อสู้แม้แต่น้อย เห็นได้ชัดก็แค่คนธรรมดาผู้หนึ่ง จี้เซี่ยงตงเห็นสีหน้าชายหนุ่มแสดงท่าทางตื่นเต้นยินดี จึงถามอย่างอดทนว่า “เ้าเห็นคนที่มีหนวดเครา รูปร่างสูงใหญ่ผ่านมาทางนี้บ้างหรือไม่?”
“คนหนวดเคราร่างใหญ่? ผู้น้อยกลับไม่เห็น ไม่ทราบตระกูลท่านจี้ขาดแคลนพ่อบ้านหรือไม่? รับผิดชอบบัญชีก็ได้ ข้าผู้น้อยเพิ่ง…”
การแสดงออกของจี้เซี่ยงตงวิเศษจริงๆ นี่คือผู้ใด ถามแค่คำเดียวบนท้องถนนก็เริ่มแนะนำตัวเอง ถามว่ายัง้าพ่อบ้าน ขาดแคลนคนรับผิดชอบบัญชีหรือไม่…เขาไม่้าที่จะพูดอะไรเพิ่มเติมกับคนผู้นี้อีกแล้ว หันกลับเดินไปทางประตูลานบ้านตระกูลหลง
“นายท่านจี้ นายท่านจี้ ข้ายังพูดไม่จบเลยนะ… ได้หรือไม่ได้ช่วยบอกข้าหน่อย…” ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะ้าทำงานที่ตระกูลจี้อย่างมาก กลับตามเขามาแล้ว
“ไสหัวไป…” จี้เซี่ยงตงรำคาญแล้ว ไฉนจึงมีคนที่มิรักษาหน้าตาเช่นนี้ด้วย ไม่รู้จักสังเกตดูสีหน้าหรือไร
ชายหนุ่มในชุดเขียวใ รู้สึกถึงรังสีอำมหิตเข้มข้นแผ่จากร่างจี้เซี่ยงตง ใจนถอยหลังไปหลายก้าว บ่นพึมพำว่า “ไม่มีก็ไม่มีสิ ไม่ต้องดุดันมากขนาดนี้ก็ได้” พูดพลางเดินอย่างโกรธๆ ออกไปทางปากตรอกแล้ว
จี้เซี่ยงตงไม่ได้เคาะประตูและข้ามกำแพงเข้าไปเหมือนเช่นจ้านอู๋มิ่ง ลานโล่งว่างเปล่า ไม่มีใครอาศัยอยู่ จี้เซี่ยงตงสีหน้าแปรเปลี่ยนแล้ว เพียงลานว่างเปล่าแห่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเพียงแค่กำลังทำให้เกิดความสับสน จึงหันกลับมาออกมาจากลาน เงาร่างของจี้เซี่ยงหนานและเจิ้งอวี้ฟูก็ปรากฏตัวขึ้นนอกลาน
“สัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ก็พามาแล้ว?” จี้เซี่ยงตงรู้สึกยินดี มีสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้แล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอดจากการติดตามได้ ขณะสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้เดินวนข้างๆ บ่อน้ำของลานบ้าน แล้ววิ่งออกจากลานไปวนอยู่สองสามรอบในบริเวณที่เมื่อครู่เขากำลังคุยกับชายหนุ่ม ใบหน้าจี้เซี่ยงตงเขียวคล้ำไปแล้ว สัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้รู้แล้วว่ากลิ่นอายของชายหนุ่มที่ฉุดรั้งเขาไว้เมื่อครู่คือก็คือลมหายใจของฆาตกร และเขาถูกชายหนุ่มคนนั้นหลอกเอาแล้ว…
จี้เซี่ยงหนานรู้สึกถึงความผิดปกติในลมหายใจของพี่ชาย อดที่จะถามไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้น?”
“ข้าเพิ่งจะโดนคนร้ายหลอกเอา ฝ่ายตรงข้ามมีความชำนาญในการปลอมแปลงรูปโฉม น้องรองดูนี่สิ” จี้เซี่ยงตงพูดพลางยื่นเศษหนังแกะที่เขาหยิบมาจากมือเจิ้งซื่อหรงให้จี้เซี่ยงหนาน
พอจี้เซี่ยงหนานเห็น อุทานใขึ้นว่า “ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์?”
สีหน้าเจิ้งอวี้ฟูแปรเปลี่ยนกะทันหันเมื่อได้ยินคำอุทานนี้
“พี่ใหญ่ เศษแผนที่นี้ได้มาจากที่ใด?” จี้เซี่ยงหนานรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย เมื่อครู่ตื่นเต้นเกินไปแล้ว ตอนนี้นึกถึงข้างกายยังมีคนของตระกูลเจิ้ง รู้สึกสำนึกเสียใจอยู่บ้าง หากตำแหน่งที่ทำเครื่องหมายบนแผนที่มีดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์ละก็ ไยมิใช่ต้องแบ่งให้ตระกูลเจิ้งส่วนหนึ่งหรอกหรือ
“สิ่งนี้ผู้ตายดึงจากอกเสื้อฆาตกรก่อนสิ้นลม ฆาตกรน่าจะเก็บซ่อนแผนที่ไว้บนหน้าอกตน โดนกระชากขาดโดยไม่ตั้งใจ แผนที่ชำรุดนี้มองไม่ออกว่าจุดสิ้นสุดอยู่ที่ใด ภูมิประเทศ้าที่ทาสีนั้นแปลกอย่างยิ่ง ยามกะทันหันข้านึกไม่ออกว่าเป็สถานที่ใด ถ้าสถานที่นี้มีดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์จริงๆ ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องหาตัวฆาตกรให้เจอ” จี้เซี่ยงตงพูดอย่างหนักแน่น
เจิ้งอวี้ฟูถอนหายใจยาวๆ คำหนึ่ง การตายของหลานชายทำให้เขาชอกช้ำใจจริงๆ แต่ถ้าเพราะสาเหตุนี้แล้วได้ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์มา สำหรับตระกูลแล้วกลับเป็ผลงานครั้งยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง
ตำนานเล่าว่าดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์เติบโตในลาวาหินหนืดใจกลางแผ่นดิน บานสะพรั่งทุกพันปี ดอกไม้นี้ช่วยให้จิติญญาแห่งการต่อสู้บรรลุพระนิพพาน ราชันาระดับเก้าดาวสมบูรณ์ ยาม้าทะลวงด่านบรรลุจักรพรรดิา จิติญญาการต่อสู้จะกลับคืนสู่นิพพานแปรเปลี่ยนเป็ิญญาจักรพรรดิ ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์เป็สมบัติวิเศษที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการแปรเปลี่ยนิญญาจักรพรรดิ บางคนก็พูดว่าหากใช้ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์ตอนบรรลุเป็จักรพรรดิา คราวหน้าจะมีโอกาสทะลวงระดับมหาจักรพรรดิไปจนถึงขั้นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นดอกบัวฟีนิกซ์์จึงได้ชื่อว่าดอกบัว "ศักดิ์สิทธิ์"
เจิ้งอวี้ฟูกำลังครุ่นคิดวางแผนเกี่ยวกับดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์ ต่อหน้าตระกูลเจิ้ง ตระกูลจี้เป็เพียงตระกูลเล็กๆ ตระกูลหนึ่ง วันใดดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์ตกอยู่ในมือ ขอเพียงแต่ตระกูลเจิ้งเพิ่มความกดดันอีกเล็กน้อย ยังต้องเกรงว่าตระกูลจี้จะไม่ใช้สองมือประคองยื่นส่งให้อีกหรือ?
[1] ในบริบทนี้คือลูกพี่ลูกน้อง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้