อาสามเจิ้งได้รับความโปรดปรานมาั้แ่เล็ก และเป็ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ มิหนำซ้ำปัจจุบันยังรับตำแหน่งเ้าหน้าที่รัฐในอำเภอเลยมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เจิ้งเฉวียนกังแม้จะเป็น้องชายเหมือนกัน เขายังเคารพพี่ชายและพี่สะใภ้ แต่อาสามเจิ้งกลับไม่ไว้หน้าพี่ชายคนโตเลยแม้แต่น้อย
เขาคร้านจะสนใจป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้ง จึงหันหน้าไปเอ่ยกับเพื่อนร่วมงานตนเองโดยตรง “เจิ้งเทียนหู่น่าจะอยู่ในห้อง พวกเราไปถามด้วยกันเถอะ”
เขารู้ห้องที่เจิ้งเทียนหู่พักอยู่ จึงนำหลายคนเข้าไปโดยไม่สนใจสีหน้าป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งเลยสักนิด
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งจะห้ามก็ไม่ทันแล้ว เธอรีบไล่ตามไปทันที
เจิ้งสยาก็อยากตามไปด้วย แต่โดนคนขาพิการแซ่หลิวดึงแขนไว้ก่อน เขาว่า “อาสะใภ้ ในเมื่อที่บ้านยังมีธุระอยู่ ผมกับเสี่ยวสยาค่อยมาเยี่ยมพี่เทียนหู่วันหลังนะครับ”
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งหันมาถลึงตาใส่เขา ทำท่าอยากจะพูดบางอย่าง แต่ฝั่งน้องสามีดันพาตำรวจเข้าประตูไปแล้ว ด้วยกลัวคนพวกนี้ทำลูกชายเธอตื่นใ ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งจึงรีบเดินตามเข้าประตูไป
เจิ้งสยามองแม่ตัวเองเข้าบ้านตาค้าง ใจพลันกระวนกระวาย ตำรวจมากขนาดนี้ เธอก็ห่วงพี่ชายไม่ต่างกัน แต่คนเป็สามีดันจับตัวเธอแน่น ไม่ยอมให้ไป
“เสี่ยวสยา เรากลับกันก่อนเถอะ” คนขาพิการแซ่หลิวพูดกับภรรยา
เจิ้งสยาเกิดความลังเล เหลือบมองข้างหลังบ่อยครั้ง “แต่ว่า…”
พอเห็นภรรยาตัวเองสองจิตสองใจ หลิวก่วงเฉวียนจึงเอ่ยเตือนสติ “แต่อะไรกัน อาสะใภ้ก็เพิ่งเห็นด้วยว่าเราควรกลับก่อนไม่ใช่เหรอ อีกอย่างเธอออกเรือนแล้ว ลูกสาวแต่งงานก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป เื่ของบ้านเดิมวันหลังเรายุ่งให้น้อยลงดีกว่า”
ความขัดแย้งระหว่างเขากับสกุลเจิ้งยังไม่ทันแก้ไข! คราวนี้เขาหวังดีพาภรรยากลับมาเยี่ยมพี่ชาย
ผลสุดท้ายไม่เพียงแย่ลง ยังโดนพูดฉีกหน้ายกใหญ่ เห็นพวกเขารังแกง่ายกันเหลือเกิน! อีกอย่าง ตำรวจมาเยอะขนาดนี้ แค่ดูก็รู้แล้วว่าเื่ใหญ่ เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้นหลบให้เร็วเป็การดี
ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยวด้วยหรอก! สิ้นเสียง
ก็ลากเจิ้งสยากลับทันที
เจิ้งสยาเป็คนนิสัยนุ่มนิ่มหัวอ่อน พอสามีบอกให้กลับ แม้จะไม่อยาก แต่ก็จำยอมตามไปอยู่ดี
อาสามเจิ้งตรงไปหาเจิ้งเทียนหู่ทันทีที่เข้ามา เห็นเจิ้งเทียนหู่แม้จะตื่นอยู่ แต่สภาพจิตใจดูไม่ค่อยดีนัก ความตั้งใจเดิมที่จะถามเื่ผีสาวตรงๆ จึงถูกวางไว้ชั่วคราวก่อน เขาเปลี่ยนใจถามเื่ร่างกายแทน “เทียนหู่ ร่างกายเป็ยังไงบ้าง?”
เจิ้งเทียนหู่ทั้งโดนเจิ้งหยวนข่มขู่และฟาดไปสองฉาดใหญ่ ไม่มีที่ให้ระบายความโกรธ จำต้องกดข่มไว้จนในหัวยุ่งเหยิง เขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวข้างนอกก็ฟังไม่ชัดว่าพูดอะไรกัน พอเห็นอาสามเจิ้งพาคนเข้าห้องมา เขาถึงตระหนักว่าคนที่มาคราวนี้คือตำรวจ
แต่ต่อให้ตำรวจมาแล้วจะมีประโยชน์อะไร ตำรวจช่วยเขาจับผีได้หรือไง!
เจิ้งเทียนหู่ถามด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย “อาสาม มาได้ยังไงกันครับ?” เขามองตำรวจหลายนายข้างหลัง “พวกคุณมาทำไมกันเหรอ?”
อาสามเจิ้งนั่งลงริมเตียงเจิ้งเทียนหู่ ก่อนเอ่ยถามว่า “พวกเรามาเพราะเื่ของนายเมื่อวาน เทียนหู่ นายไปกระท่อมร้างตรงตีนเขาชิงซานเมื่อวันก่อนทำไม? ไปั้แ่ตอนไหน? แล้วเกิดอะไรขึ้นที่นั่นบ้าง? นายยังจำได้ไหม”
“อาสาม อามาสอบปากคำผมเหรอ?” เจิ้งเทียนหู่กลอกตามองบน
พูดด้วยน้ำเสียงไม่สุภาพอย่างยิ่ง
แม้อาสามเจิ้งจะโกรธท่าทางของเจิ้งเทียนหู่อยู่บ้าง แต่เขายังคงสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ได้ และเอ่ยเสียงจริงจัง “เื่นี้สำคัญมาก หัวหน้าของสถานีพวกเราให้เรามาตรวจสอบ หู่จื่อ นายน่าจะอยากรู้นะว่าใครทำร้ายนาย? เจอเื่ไร้เหตุผลขนาดนี้ ฉันไม่เชื่อหรอกว่านายไม่โกรธ”
เขาโกรธอยู่แล้ว! แต่ที่มากกว่าความโกรธคือหวาดกลัว! แต่เผชิญเื่นี้ นอกจากยอมรับว่าตัวเองซวยแล้วจะทำอันใดได้อีก?!
“สหายเจิ้งเทียนหู่ หวังว่านายจะให้ความร่วมมือกับการสืบสวนของตำรวจ…” อยู่ๆ ตำรวจใบหน้าดำแบนก็เอ่ยแทรกบทสนทนากะทันหัน เขาผิวดำคล้ำ แล้วยิ่งทำหน้าบึ้งตึง เลยดูน่าเกรงขามกว่าอาสามเจิ้งมาก เขาเอ่ยว่า “หากนายไม่ให้ความร่วมมือ พวกเราจำเป็ต้องพานายไปสอบสวนที่สถานีตำรวจ แต่นายยังป่วยอยู่ คงไม่ค่อยอยากตามพวกเรากลับสถานีหรอกมั้ง?”
เจิ้งเทียนหู่ถูกตำรวจนายนี้ขู่เข้าแล้ว เขาเหลือบมองอาสามเจิ้งพยายามส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ เมื่อเห็นอาสามเจิ้งไม่ตอบรับความ้าของตน ทั้งยังไม่ปฏิเสธคำพูดของตำรวจหน้าดำนายนั้น เจิ้งเทียนหู่ก็ด่าเฮงซวยในใจและพูดอย่างอิดออด “พวกคุณจะถามอะไร ก็ถามมาแล้วกัน”
ตำรวจใบหน้าดำแบนถาม “เมื่อคืนวันก่อนนายไปทำอะไรที่กระท่อมผุพังหลังนั้น?”
เจิ้งเทียนหู่เลียริมฝีปากแห้งผาก แววตาพลันไหววูบ“…กะ ก็ไม่ทำไม กลางคืนนอนไม่หลับเลยออกไปเดินเล่น เดินๆ อยู่ก็ถึงที่นั่นแล้ว”
ตำรวจทั้งหลายขมวดคิ้ว ชัดเจนว่าไม่เชื่อคำพูดนี้
ตำรวจนายเดิมตัดสินใจถามต้อน “ดึกดื่นนอนไม่หลับเลยไปเดินเล่นที่นั่นงั้นเหรอ? แต่ฉันจำได้ว่าอากาศคืนนั้นไม่ค่อยดีเท่าไรนี่? เหมือนฝนจะตกด้วยหรือเปล่านะ?” เขาเว้น่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “สหายเจิ้งเทียนหู่
นายบอกความจริงกับพวกเราเถอะ!”
เขาก็อยากบอกความจริง! แต่เขาพูดความจริงได้หรือไง?!
ในเมื่อยังมีคุณอาแซ่เดียวกันสองคนยืนอยู่ตรงหน้า! หากเขาเปิดเผยเื่ที่ตัวเองต้องตาต้องใจพี่สะใภ้ออกไป
ไม่เพียงเฝิงิเยว่ที่ซวย เขาก็จบไม่สวยเหมือนกัน!ซ้ำร้ายยังมีเจิ้งหยวนคอยจับจ้องเขาอยู่
ถ้าเจิ้งหยวนฟ้องร้องเขากับหวังเฉี่ยวเอ๋อร์จริงๆ
เขาจะต้องปรนนิบัติหวังเฉี่ยวเอ๋อร์อีกครั้งหรือเปล่า? ถ้าอย่างนั้นปล่อยเขาตายไปเสียยังดีกว่า!
เทียบกับหวังเฉี่ยวเอ๋อร์แล้ว การข่มขู่ของตำรวจสองสามคนนับเป็กระไรได้
ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางบอกความจริงหรอก
เจิ้งเทียนหู่พยายามตอบเสียงหนักแน่น “เป็ความจริงครับ”
ถึงกระนั้น นายตำรวจหน้าดำคนเดิมยังคงจ้องจับผิด “นายคิดว่าเราจะเชื่อเหรอ?”
แต่เจิ้งเทียนหู่หน้าหนายิ่งกว่าอิฐปูน “…หากพวกคุณไม่เชื่อผม งั้นมาถามผมที่นี่ทำไม?”
เมื่อถูกยอกย้อน ตำรวจนายนั้นจึงนิ่งอึ้งไปอึดใจหนึ่ง
หลังสูดลมหายใจลึกสองเฮือกข่มโทสะ ชายใบหน้าดำแบนก็ซักไซ้ต่อ “งั้นนายไปที่นั่นกี่โมง? พบเจออะไรที่นั่นบ้าง? มีใครทุบตีนายจนสลบหรือเปล่า?” นี่เป็การคาดเดาที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว “นายลองคิดดูดีๆ สิ
ก่อนหน้านี้ล่วงเกินใครไปใช่ไหม?”
“ผมจะล่วงเกินใครได้เล่า! ผมแค่บังเอิญเจอผี!” เจิ้งเทียนหู่พูดพร้อมเบิกตากว้าง “ผมเห็นกับตาตัวเอง!”
ชายใบหน้าดำแบนขมวดคิ้ว โพล่งถามต่อทันที “นายเห็นอะไร?”
“ผมเห็นผี! เป็หวังเฉี่ยวเอ๋อร์คนนั้น ผมเธอยาวเฟื้อย ใบหน้าซีดขาว
แถมยังมีเืตรงปาก! ยิ่งไปกว่านั้น
เธอไม่จำเป็ต้องเดิน พวกคุณรู้ไหม เธอลอยมา ลอยอยู่บนหมอก! เธอพูดได้ทั้งที่ไม่เปิดปาก แล้วยังเรืองแสงได้ด้วย!” เจิ้งเทียนหู่หวาดผวาทุกทีที่นึกถึงตอนนั้น
ก่อนหันมาเอ่ยกับตำรวจทั้งหลายเหมือนนึกบางอย่างออกกะทันหัน “จริงสิ
มีตัวอักษรมงคลสีแดงนั่นอีก! เธอเขียนตัวอักษรมงคลสีแดงไว้บนตัวผมพวกคุณรู้ไหม
สุดท้ายผ่านไปวันหนึ่ง ตัวอักษรมันก็หายไปแล้ว!” เขาพูดพลางลุกพรวดขึ้นมานั่งก่อนเลิกเสื้อตัวเองขึ้น “พวกคุณดู พวกคุณดูสิ! ไม่มีรอยสีแดงสักกะนิด!”
ตำรวจหลายนายสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย แววตามีความประหลาดใจปนขลาดกลัว
“ผมได้ยินแม่บอกว่าในบ้านหลังนั้นเขียนตัวอักษรมงคลเต็มไปหมด พวกคุณลองไปดูสิ ตัวอักษรมันยังอยู่ไหม? หายไปเหมือนกับบนตัวผมหรือเปล่า?”
ตำรวจไม่ได้พูดอันใด ทว่าความหมายบ่งบอกชัดเจนแล้ว
“พวกคุณไปดูมาแล้วใช่ไหม?” เจิ้งเทียนหู่คว้าแขนของอาสามเจิ้ง ถามเสียงร้อนรนกระวนกระวายใจ
“มันหายไปเหมือนกันใช่ไหม?”
อาสามเจิ้งไม่ตอบ กลับเป็ตำรวจใบหน้าดำแบนคนนั้นที่ยังพอสามารถข่มความหวาดผวาในใจไว้ได้อยู่เอ่ยเสียงขึงขังว่า “สหายเจิ้งเทียนหู่ นายต้องรู้ก่อนว่าบนโลกนี้มันไม่มีผี! ผีสางเทวดาล้วนเป็ความเชื่องมงายทั้งนั้น! หากนายพูดแบบนี้อีกเท่ากับเผยแพร่ความเชื่อสมัยยุคศักดินาอย่างโจ่งแจ้ง
ฉันสามารถจับนายได้นะ”
เขาเอ่ยเช่นนี้ แต่ดูเหมือนตนเองจะไม่มีความมั่นใจแล้ว
เจิ้งเทียนหู่ทำหน้าประมาณว่า ‘ผมรู้อยู่แล้วว่าจะเป็แบบนี้’ เขาใจลอยครู่หนึ่ง ถึงกระนั้น ก็ไม่กล้าสารภาพเื่เฝิงิเยว่อยู่ดี เพราะกลัวว่าจะเป็การยั่วยุคนบ้าอย่างเจิ้งหยวนยิ่งกว่าเดิม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้