“อินอิน อยากอยู่กับพ่อแม่ หรืออยากกลับไปบ้านเกิดกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดจ๊ะ”
แสงแดดฤดูร้อนส่องเข้ามาในห้องรับแขกของบ้านเดี่ยวหลังนี้ อู๋อู๋กังวลใจ มองบุตรสาวที่ตนเองเลี้ยงดูมาถึงสิบหกปีด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น ห้องรับแขกในขณะนี้มีสายตานับสิบคู่ของคนตระกูลหลิงและตระกูลซูกำลังจับจ้องไปยังจุดเดียว บนโซฟาสไตล์ตะวันตกตัวกว้างมีสาวน้อยร่างเพรียวบางนั่งขดตัวอยู่ ยกมือสองข้างกอดเข่าแล้วเอาศีรษะซุกลงไป เธอช่างดูโดดเดี่ยวและอ่อนแอยิ่งนัก
“อินอิน ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ แม่อยู่ที่นี่”
อู๋อู๋ก้าวไปข้างหน้า โอบเด็กสาวอย่างกระตือรือร้น ท่าทางเครียดราวกับว่าเด็กสาวในอ้อมกอดของเธอคือสมบัติหายาก
ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนหายใจไม่ออก ทำให้ซูอินฉางลองลืมตา เมื่อเห็นแสงระยิบระยับ ภาพผู้คนมากมายก็เข้ามา
ซูเจี้ยนจวิน เมิ่งเถียนเฟิน หลิงจื้อเฉิง…ยังมี…สายตาของเธอหันไป เหมือนในความทรงจำไม่มีผิด เธอเห็นคนคนนั้นนั่งอยู่ที่มุมโซฟา หลิงเมิ่ง
ภาพเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าเหมือนกับที่เธอเห็นในความทรงจำนับครั้งไม่ถ้วน
ชีวิตอันแสนสั้นของซูอินฉางถูกแบ่งเป็สอง่
เมื่อสิบหกปีก่อน เธอเป็บุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลหลิงที่ร่ำรวย ครอบครัวสุขสันต์ ไร้ความกังวล จนเมื่อเธออายุสิบหกปี ก่อนสอบเข้าชั้นมัธยมปลาย โรงเรียนในเมืองทุกแห่งจะมีการตรวจร่างกาย อู๋อู๋ซึ่งทำหน้าที่รับผิดชอบตรวจร่างกายครั้งนี้จึงได้พบกับเด็กสาวจากชนบทโดยบังเอิญ ซูเมิ่ง ใบหน้าทั้งสองคนเหมือนกันราวกับแกะสลักออกมาจากที่เดียวกัน ทำให้ใครต่อใครอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย หลังจากตรวจดีเอ็นเอ ความจริงเกี่ยวกับการอุ้มเด็กสลับตัวกันจึงถูกเปิดเผย
แน่นอนว่าหลิงเมิ่งจะต้องกลับมายังตระกูลหลิง แต่ทุกอย่างในส่วนของเธอกลับซับซ้อนยุ่งเหยิงไปหมด
นอกจากบุตรสาวคนโตแล้ว สามีภรรยาตระกูลซูยังมีบุตรชายอีกหนึ่งคน สำหรับพวกเขาบุตรสาวแปลกหน้าถือเป็สิ่งที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ ในทางกลับกัน ตระกูลหลิงเลี้ยงดูเธอมาหลายปี ทำให้พวกเขาเกิดความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง ทุกคนในตระกูลต่างอาลัยอาวรณ์เธอ
ฝ่ายหนึ่งปรารถนาจะขับไล่ อีกฝ่ายปรารถนาจะรับเธอไว้ หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้หารือและถามความยินยอมของเธอ ผลลัพธ์คือเธอเลือกที่จะอยู่กับตระกูลหลิงต่อไป
ตอนนั้นเธอคิดว่าเื่ราวได้จบลงแล้วใน่รอยต่อสั้นๆ สุดท้ายทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกลับบอกว่าเธอนั้นไร้เดียงสามากเพียงใด บิดามารดาผู้ให้กำเนิดและบิดามารดาบุญธรรมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อเธอยอมถอยให้หนึ่งก้าว อีกฝ่ายกลับได้คืบจะเอาศอก ผลักเธอให้ถอยไปทีละก้าวจนถึงหน้าผา สุดท้ายจึงจบลงด้วยโศกนาฏกรรม
ั้แ่อายุสิบหกจนถึงยี่สิบห้าปี ทุกครั้งที่เธอพยายามระงับความเสียใจเพื่อยอมถอยให้หลิงเมิ่ง ในสมองของเธอมักจะฉายภาพเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้นมาเสมอ
ตระกูลหลิงและตระกูลซูนั่งอยู่ในห้องรับแขกของบ้าน อู๋อู๋ถามด้วยความคาดหวัง อยากรู้ว่าเธอ้าอยู่กับฝ่ายใด
สิบปีมานี้ ไม่ใช่แค่หนึ่งครั้งที่เธอจินตนาการว่า หากวันนั้นเธอเลือกอีกทางหนึ่ง มันจะแตกต่างกันหรือไม่ อย่างน้อยในตอนที่คนอื่นๆ ร้องขอให้เธอยอม เธออาจสามารถยืนขึ้นและะโปฏิเสธด้วยเสียงอันดัง เพราะเธอมิได้อาศัยอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น พึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้คนจึงจะสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ เธอมีท่าทีสง่าผ่าเผยและมั่นใจ
“อินอิน”
น้ำเสียงร้อนรนของอู๋อู๋ดึงให้เธอกลับสู่ความเป็จริง ความรู้สึกเจ็บที่แขนเนื่องจากอีกฝ่ายออกแรงจับแน่นจนเกินไปกำลังบอกเธอว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าไม่ใช่ความฝัน
เธอได้กลับมายังเมื่อสิบปีก่อน ตอนที่ได้เลือกตามที่คาดหวังไว้หลายต่อหลายครั้ง
เมื่อเงยหน้า เธอมองไปรอบๆ ห้องรับแขกนี้อีกครั้ง
มีโต๊ะน้ำชาวางคั่น ด้านซ้ายมีคนของตระกูลหลิงที่แต่งตัวดี ท่วงท่าไม่ธรรมดา เสริมให้การตกแต่งสไตล์ยุโรปของบ้านยิ่งดูหรูหรามากขึ้น ทว่าตระกูลซูที่อยู่ด้านขวา…เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาเตรียมตัวมาเป็อย่างดีเพื่อร่วมการพบปะกันในวันนี้ เสื้อผ้าของพวกเขายังมีจีบเสื้อที่เพิ่งรีด แต่ลักษณะของพวกเขายังคงกลิ่นอายของชาวชนบทที่เข้ามาในเมืองใหญ่
คนทั้งสองฝั่งมาจากโลกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เมื่อชาติก่อนเธอเลือกอยู่กับตระกูลหลิงต่อ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากความหวาดกลัวที่จะต้องใช้ชีวิตอย่างยากจนข้นแค้น
ทว่าหลังจากที่ได้รับความยากลำบากเป็เวลาสิบปี ความคิดในใจเธอได้เปลี่ยนไปนานแล้ว หากเทียบกับได้การอยู่ดีกินดี ตัวเธอปรารถนาที่จะมีจิตใจเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน และไม่รู้สึกละอายใจใดๆ ทั้งสิ้น
“อินอิน บอกแม่มาว่าลูกจะอยู่กับใคร”
อู๋อู๋คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่หน้าโซฟา มองเธออย่างกระตือรือร้น ไม่ว่าจะเป็ตอนก่อนอายุสิบหกปีหรือหลังจากนี้ “มารดา” ผู้นี้ ปฏิบัติต่อเธอด้วยท่าทีเรียบเฉยมาโดยตลอด แต่สิ่งที่แตกต่างคือ แววตาที่มารดาผู้นี้มองเธอก่อนอายุสิบหกปีนั้นเต็มไปด้วยท่าทีหวาดระแวงและเ็า แต่หลังจากที่ได้พบกับบุตรสาวแท้ๆ ของตนเอง เธอแสดงท่าทีรังเกียจและผลักไสเธออย่างไม่ปิดบัง
ระหว่างที่ทำอาหารเมื่อคืน และการพูดจาโน้มน้าวในเช้าวันนี้ เป็สอง่เวลาที่เธอจำได้ถึงความอบอุ่นระหว่างมารดาและบุตรสาว
หากไม่ชอบเธอ เหตุใดต้องเกลี้ยกล่อมเพื่อให้เธออยู่ด้วย
ชาติก่อนเธอเป็คนกลาง ถูกคนรอบข้างล้างสมองว่าเธอจะต้องกตัญญูต่อตระกูลหลิง โดยที่เธอไม่กล้าแสดงความคิดต่อต้านใดๆ ในใจเธอคิดแต่ว่าเป็เพราะตนเองไม่ดีจึงถูกอู๋อู่รังเกียจ แต่เมื่อได้หลุดออกมาจากวงจรอุบาทว์ เธอก็เริ่มสงสัยท่าทีของอู๋อู๋
แบบนี้มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาวิเคราะห์ ทิ้งความสงสัยไว้ในใจ เธอจับพนักวางแขนของโซฟาเพื่อประคองตัวเองให้ลุกขึ้น ยืนนิ่งสักครู่เพื่อคลายอาการเหน็บชาหลังจากที่นั่งมานาน ก่อนจะสาวเท้าไปยังเบื้องหน้าตระกูลซู เผชิญหน้ากับคู่สามีภรรยาวัยกลางคนที่นั่งอยู่กลางโซฟา ชายผิวแทนมีนามว่า ซูเจี้ยนจวิน หญิงซึ่งดูมีอายุมากกว่าเล็กน้อยที่อยู่ถัดไปจากเขามีนามว่า เมิ่งเถียนเฟิน เป็บิดามารดาที่ให้กำเนิดเธอ ท่านั่งบนโซฟาช่างแตกต่าง แต่ถึงแม้ท่วงท่าจะแตกต่างกัน แต่ไม่ได้แสดงท่าทีไร้มารยาท พวกเขานั่งบนโซฟาแค่ครึ่งก้น เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา มือของทั้งคู่ก็วางลงบนหัวเข่าด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ก้มศีรษะราวกับเด็กประถมที่ทำการบ้านไม่เสร็จจนถูกครูจับได้
“พวกคุณ…”
ริมฝีปากของซูอินขยับ สีหน้าสับสน ทั้งที่เจอเื่ต่างๆ มากมาย แต่ในเวลานี้เลี่ยงไม่ได้ที่เธอจะรู้สึกเห็นใจหลิงเมิ่ง เธอถอนหายใจ รวบรวมความคิดที่ผสมปนเป ถามในสิ่งที่เคยถามกับตนเองนับครั้งไม่ถ้วนเมื่อชาติก่อน
“ไม่้าหนูเหรอ”
คู่สามีภรรยาเบื้องหน้าเงยหน้ามองพร้อมกันด้วยท่าทีดุดัน แววตาแสดงออกว่าไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ความรู้สึกที่ชัดเจนเช่นนั้นซูอินสามารถััได้ ในตอนนั้นเธอรู้สึกโล่งใจไปพร้อมกัน ความรู้สึกกังวลใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อเสียงกระแอมของอู๋อู๋ดังขึ้น
เมิ่งเถียนเฟินที่กระตือรือร้นเห็นสายตาที่มองมาของอู๋อู๋ เธอจึงดึงสติกลับมาและเอ่ยช้าๆ ว่า “อินอิน ตระกูลหลิง…ดีมากเลยนะลูก มีห้องใหญ่โตให้อยู่ มีเสื้อผ้าสวยๆ ให้ใส่ แต่บ้านของพวกเรา…อย่าว่าแต่น้องชายอีกคนของลูกเลย แม้แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่มีเมิ่งเมิ่งคนเดียว พวกเราก็ยังไม่สามารถซื้ออะไรดีๆ ให้เธอเลย”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเมิ่งเถียนเฟินก็สะอื้นเล็กน้อย หลังจากที่รู้ว่านำลูกมาผิดคน เธอก็อดแอบไปดูที่โรงเรียนไม่ได้ ตอนนั้นเป็เวลาชักธงขึ้นเสาของเช้าวันจันทร์ หันหน้าเข้าหาแสงอาทิตย์ สาวน้อยยืนอยู่บนโพเดียมเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ มีใบหน้างดงามซึ่งได้มาจากเธอและเจี้ยนจวิน ไม่ใช่สิ รวมข้อดีจากตระกูลซูและตระกูลเมิ่งต่างหาก สุนทรพจน์นั้นช่างไพเราะน่าฟัง แม้แต่คนที่ไม่ได้รับการศึกษาสูงอย่างเธอยังรู้สึกได้รับกำลังใจอย่างมาก อีกทั้งภาษากลางก็ชัดไม่น้อยไปกว่าเหล่าผู้ประกาศในโทรทัศน์
เด็กสาวที่มีข้อดีไปเสียทุกอย่างคือบุตรสาวแท้ๆ ของพวกเขา
เธอ้าได้บุตรสาวคืน แต่ต่อมาคำพูดของอู๋อู๋ก็ทำให้เธอตระหนักถึงความเป็จริง เมื่อมองอินอินกับเมิ่งเมิ่ง ทั้งคู่เป็เด็กผู้หญิงเหมือนกัน เหตุใดอินอินถึงมีความเป็เลิศเช่นนี้ นั่นก็มาจากการปลูกฝังเลี้ยงดูของตระกูลหลิงน่ะสิ!
ตระกูลหลิงเลี้ยงดูเธอมานานจนเกิดความผูกพัน อาลัยอาวรณ์ปรารถนาจะให้เธออยู่ที่นี่ต่อ ซึ่งเป็โชคดีของอินอิน
“พวกคุณไม่เคยเลี้ยงดูอินอินแม้แต่วันเดียว แต่ก็ควรรู้ไว้ หากคุณรักลูกของตัวเองและอยากให้สิ่งดีๆ กับเธอ ก็ควรให้เธออยู่ที่ตระกูลหลิงต่อ”
อู๋อู๋เอ่ยเช่นนั้น ในเวลานั้นเธอยากที่จะยอมรับ แต่เมื่อใจเย็นลงก็จำใจต้องยอมรับ เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั้นสมเหตุสมผล
เธอพยายามสะกดความกระตือรือร้นในใจ ก่อนจะแข็งใจเอ่ยออกไป “อีกไม่นานน้องชายของลูกก็จะต้องเข้าเรียน ครอบครัวของเราไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กสองคนได้ ลูกอยู่ที่ตระกูลหลิงต่อเถิด…”
พูดแต่ละคำออกมามีแต่ “น้องชาย” พวกเขาจะทอดทิ้งบุตรสาวเพื่อบุตรชายของตนเองหรือ การแสดงออกเช่นนี้พบเห็นได้ทั่วไปในยุค 90 หากซูอินเป็เพียงเด็กสาววัยสิบหกปีที่ไร้เดียงสา เธอก็คงยอมเชื่อ แต่ในตัวเธอกลับมีจิติญญาที่เป็ผู้ใหญ่ ในตอนนี้สองสามีภรรยาเงยหน้าขึ้นมา ซึ่งพวกเขาคิดว่าคำพูดนั้นคงมากพอที่จะให้เธอตัดสินใจ โดยไม่มีสิ่งใดทำให้ไขว้เขว
“หนูรู้แล้ว”
เธอเดินกลับมาที่หน้าโซฟาเดี่ยว มองทั้งสองฝ่ายก่อนจะเอ่ยช้าๆ “หนูเลือกพ่อกับแม่”
ในขณะที่อู๋อู๋แสดงท่าทีกระตือรือร้น เธอก็กล่าวอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “พ่อกับแม่ที่ให้กำเนิดค่ะ”
รอยยิ้มบนริมฝีปากของอู๋อู๋หยุดชะงักและเอ่ยอย่างตกตะลึง “หลิงอิน…เธอ…”
จากนั้นเมื่ออู๋อู๋รับรู้ว่าน้ำเสียงของตนเองผิดปกติไป ก็รีบปรับน้ำเสียงและเอ่ยอย่างอ่อนโยน “อินอิน เมื่อวานแม่คุยเื่นี้กับลูกแล้วไม่ใช่หรือ เมื่อเช้าลูกก็รับปากแล้วว่าจะอยู่ที่นี่”
เปลี่ยนหน้าไวราวกับอุปรากรเสฉวนของจีน ทำให้ซูอินยิ่งมั่นใจในการเลือกของตนเอง
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ตนเองเจอ ยิ่งรู้สึกมองหน้าตระกูลหลิงไม่ติด ระหว่างที่เธอกำลังเตรียมเผชิญหน้ากับคนที่ไร้ความจริงใจและพยายามเปลี่ยนเื่ เธอก็หันไปเห็นหลิงเมิ่งที่อยู่ตรงมุมหนึ่งกำลังมองมาที่เธอ ความอิจฉาริษยาในดวงตาของอีกฝ่ายคือสิ่งที่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชาติก่อนผุดขึ้นมาในแววตาเธอเหมือนกับภาพยนตร์ เธอเคยคิดจะยอมถอยให้คนเหล่านี้ แต่พวกเขาเคยนึกถึงเธอบ้างไหม
เธอกลั้นหายใจก่อนเอ่ยออกมาตรงๆ “หนูคิดว่ามันแปลก ทำไมจู่ๆ คุณแม่ถึงทำดีกับหนูแบบนี้คะ”
อู๋อู๋ชะงัก ซูอินจึงเอ่ยต่อ “หนูโตมากับคุณย่า ถึงแม้ั้แ่เล็กคุณแม่จะมาเยี่ยมหนูบ่อยๆ แต่กลับไม่เคยอุ้มหนูสักครั้ง ทุกทีที่มองหนู แม้จะค่อนข้าง…พูดยังไงดีล่ะ เหมือนกับว่ารังเกียจหนู ในเวลานั้นหนูยังไม่เข้าใจและเคยแอบไปร้องไห้ ต่อมาคุณย่าบอกว่าหากหนูสอบได้ที่หนึ่งคุณแม่จะดีใจ หนูจึงตั้งหน้าตั้งตาเรียน สอบได้ที่หนึ่งทุกครั้ง แต่แม่ก็ยังคงไม่ชอบหนูอยู่ดี ในตอนนั้นหนูไม่เข้าใจมาตลอด แต่ตอนนี้หนูเข้าใจดีแล้ว นี่คือความสัมพันธ์ทางสายเืที่กล่าวไว้ในตำนาน มารดาคือผู้ให้กำเนิด จะเป็บุตรของตนเองหรือไม่นั้น ผู้เป็มารดาสามารถรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณ”
ในห้องรับแขกเงียบลง สายตาของทุกคนมองไปที่ซูอิน ความสิ้นหวังฉายแววขึ้นมาในดวงตาของอู๋อู๋
“หนูอยากรู้ว่าการที่ถูกแม่รักมันเป็ยังไง ดังนั้นหนูอยากกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่ให้กำเนิดหนู”
เมิ่งเถียนเฟินที่อยู่ทางซ้ายมือในยามนี้มีน้ำตาไหลอาบหน้า เธอคิดมาตลอดว่าอินอินเป็ที่รักของตระกูลหลิง คิดไม่ถึงเลยว่าการที่เธอเป็เด็กเพียบพร้อม ไม่ได้เกิดจากการบ่มเพาะเลี้ยงดูด้วยความเอาใจใส่ แต่เกิดจากการกระทำของเด็กคนหนึ่งที่้าเรียกร้องความสนใจจากผู้เป็มารดาเท่านั้น
“หนูไม่อยากอยู่ที่ตระกูลหลิงอีกต่อไป พวกคุณยอมรับหนูได้ไหม หนูได้ยินมาว่ามัธยมปลายปีนี้มีการเปิดห้องอบรมโอลิมปิก หากสอบเข้าได้ก็จะได้เรียนฟรี…”
ไม่ต้องรอให้ซูอินพูดจบ เมิ่งเถียนเฟินก็ดึงเธอเข้ามากอดจนแน่น ด้วยความกระตือรือร้น
“กลับบ้าน อินอินพวกเรากลับบ้านกันเถอะ ลูกวางใจได้ ต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็ก[1] แม่ก็จะทำให้หนูได้เรียนหนังสือ”
----------------------------------------------------------------------
[1] ทุบหม้อขายเหล็ก หมายถึง ทำทุกอย่าง ยอมเสียสละทุกอย่าง