เื่ที่ฮองเฮาแคว้นจิงมีพระครรภ์ต่างถูกประกาศให้รู้ทั้งใต้หล้า เพื่อให้เหล่าราษฎรร่วมยินดี งดเว้นภาษีหนึ่งปี ทั้งยังมีการอภัยโทษครั้งใหญ่
เมื่อมีข่าวคราวเช่นนี้ทั้งแคว้นจิงต่างพากันร่วมเฉลิมฉลอง
ข่าวที่กองทัพแคว้นจิงเพิ่งจะปราชัยบนทุ่งหญ้านั้นล้วนแต่ถูกกลบฝังจนมิด แต่เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ทั้งแคว้นซีและแคว้นเชินต่างก็พากันสั่นะเื
ฮ่องเต้หรงแห่งแคว้นซีร่างท้วมสมบูรณ์นั้นกำเอนพิงตั่งนุ่ม ฉลองพระองค์บนกายวิจิตรหรูหราทั้งยังหลากสีสัน ยามมองดูจึงอดจะตาลายไม่ได้ ทว่าฮองเฮากุยที่ประทับอยู่ด้านข้างนั้นกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ฉลองพระองค์สีขาวบริสุทธิ์นั้นมีเพียงแค่ชายกระโปรงเท่านั้นที่ปักรูปหงส์ไว้ตัวหนึ่ง
ข้างกายฮองเฮายังมีเด็กน้อยร่างกลม มองแค่ใบหน้าก็ย่อมจะดูออกว่าจะต้องเป็พระโอรสของฮ่องเต้แคว้นซีอย่างแน่นอน อีกทั้งร่างนั้นยังอวบอ้วนนัก
“ช่างไร้ความสามารถ กระทั่งโอรสประสูติก็ยังมิอาจประกาศ ขุนนางพวกนั้นก็เอาแต่เต้นเร่าๆ กล่าวว่าจะเป็การเอิกเกริกเกินไป น่าขันนักที่ขุนนางเ่าั้เพียงแค่วันเกิดบุตรชายก็ยังประกาศเสียยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าราชวงศ์เสียอีก”
“ด้วยตำแหน่งของฝ่าา ฝ่าาจะใส่ใจคนเ่าั้ทำไมเล่าเพคะ พวกเราแค่ตั้งใจเลี้ยงซีเอ๋อร์ให้ดี ให้แกร่งกว่าใครก็พอเพคะ” ฮองเฮาตรัสโน้มน้าวอย่างใจเย็น
“ฮึ หากว่าเสด็จปู่ของข้ายังอยู่ เ้าพวกขุนนางสุนัขคงจะไม่กล้าเหิมเกริมถึงเพียงนี้ วันหน้าหากคนกลุ่มนี้ยังคอยกวนโทสะข้า ข้าจะปะาเก้าชั่วโคตรให้เหมือนฮ่องเต้แคว้นจิงนั่นปะไร อยากฆ่าใครก็ฆ่า!” ฮ่องเต้แคว้นซียังคงโกรธเกรี้ยว ท้องสั่นเทิ้มด้วยโทสะ
ฮองเฮากุยค่อยๆ ตบศีรษะของพระโอรสเบาๆ อีกด้านหนึ่งก็จับท้องของฮ่องเต้ไว้แล้วตบเบาๆ เช่นกัน ราวกับว่าบัดนี้นางกำลังปลอบเด็กสองคนอยู่ก็ไม่ปาน
“ว่ากระไรนะเพคะ ฮ่องเต้แคว้นจิงถึงขั้นลงมือปลิดชีพพระชายาและสนมของตนนับสิบคน หรือพระองค์ก็อยากจะฆ่าหม่อมฉันหรือเพคะ” ฮองเฮากุยมีแววไม่พอพระทัย
“กล่าววาจาเหลวไหลอะไรกัน อากุย ถ้าไม่มีเ้า วังหลวงเน่าเฟะนี่ข้าก็จะไม่อยู่ต่อ ทว่าข้าได้ยินมาว่าฮ่องเต้แคว้นจิงกับพี่สะใภ้แท้จริงแล้วก็เป็คู่รักกันมาั้แ่เด็ก ชายชาตรีต้องได้อย่างนี้ปะไร สาแก่ใจนัก”
“เพียะ” ฮองเฮายกมือขึ้นตีท้องของฮ่องเต้อย่างแรงจนเกิดเสียงดังขึ้น ท้องของฮ่องเต้หรงสั่นไหวราวกับสายน้ำอยู่ครู่หนึ่ง
“ยิ่งนานวันก็ยิ่งประหลาดนัก หากว่างนักไม่สู้อ่านตำราเสีย ฝ่าาตรัสว่าจะเป็คนสอนซีเอ๋อร์ด้วยพระองค์เองนี่เพคะ”
ฮ่องเต้ที่ถูกตีหลายคราก็ไม่ได้พิโรธ ยังคงประทับอยู่ที่เดิมอย่างเบิกบานใจ แล้วจึงก้มหยิบตำราที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาอ่าน
ทว่าเพียงพริบตา เสียงกรนเบาๆ ก็เปลี่ยนเป็ดังขึ้น
ฮองเฮากุยได้แต่ส่ายหน้า
ได้แต่ช่วยห่มผ้าให้ฮ่องเต้ แล้วจึงถอนหายใจเบาๆ นางประทับนั่งลงหน้าพลับพลา จากนั้นหยิบตำราดนตรีเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด
ด้านหลังเสียงลมหายใจทั้งสองยังคงดังขึ้นเสียงดัง
ร่างอ้วนๆ ของคนทั้งสองนั่งอยู่ข้างกัน ร่างหนึ่งเล็ก ร่างหนึ่งใหญ่ กำลังหลับสนิท ใบหน้าระเรื่อด้วยสีแดง
ช่างสงบสุขนัก
*****
วังหลวงในแคว้นเชิน สาสน์ในมือของฮ่องเต้พลันถูกเขวี้ยงทิ้งลงพื้น เสียงก่นด่าดังลั่นขึ้น
“เกินไปแล้ว เกินไปแล้ว”
“ฝ่าาไยต้องพิโรธเล่าเพคะ” สุรเสียงนุ่มนวลของฮองเฮาจ้าวตรัสถามขึ้น
“เื่ฮ่องเต้ป่าเถื่อนพระองค์ใหม่ของแคว้นจิงนั่นปะไร แต่งกับพี่สะใภ้ตนเองจนทำลายศีลธรรมให้ยุ่งเหยิงก็แล้วไปเถิด ยามนี้มีครรภ์ขึ้นมา ยังจะป่าวประกาศให้ทั้งใต้หล้าร่วมฉลอง ทั้งขุนนางของข้ายังจะมีหน้าส่งสารถามว่าจะให้ฉลองอย่างไร ฉลองกับมารดามันเถิด ต่อไปข้าจะต้องคิดบัญชีสิไม่ว่า”
ฮ่องเต้เวินพิโรธหนักจนไม่ได้สังเกตว่ายามที่ตนกล่าวถึงฮ่องเต้แคว้นจิง สตรีด้านข้างนั้นก็พลันดูเลื่อนลอยขึ้นมา
ทว่าไม่นานนักก็กลับมาเป็ปกติ
“ฝ่าาไยต้องพิโรธกับเื่เล็กน้อยเช่นนี้เล่าเพคะ เราทำตามมารยาทก็พอเพคะ ต่อไปหากมีเื่อันใดก็ทำเป็พิธีเป็พอ”
“มารยาทไร้สาระ เพียงแค่ตั้งครรภ์ ยังไม่ได้คลอดออกมาด้วยซ้ำ ใครจะไปรู้ว่าในครรภ์นั่นเป็ตัวอะไร ยังจะมีหน้ามาประกาศให้ผู้อื่นรู้ ทั้งยังจะให้คนส่งของไปบรรณาการ ช่างหลงตัวเองโดยแท้ คิดว่าแคว้นเชินของข้าเป็ตัวอะไรกัน อยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป” ฮ่องเต้ยิ่งพูดก็ยิ่งมีโทสะ เส้นเืบนหน้าผากพลันเต้นตุบๆ พลันรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา
เมื่อปวดเศียรขึ้นมา ก็รู้สึกคิดถึงนางสนมเล็ก คนโปรดของตนนัก
สนมเล็กของตนนั้นแม้ความสามารถจะธรรมดา พิณหมากอักษรวาดภาพล้วนแต่ไม่โดดเด่น ทว่าการปรนนิบัติกลับเป็เลิศ ทุกคราที่ช่วยเขากดจุดก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายนัก
ยามอยู่กับนางนั้น เขาก็รู้สึกเป็ตัวเอง
ฮ่องเต้คิดได้เช่นนั้นก็สะบัดชายฉลองพระองค์ แล้วเสด็จจากไป
ปล่อยฮองเฮาให้อยู่เื้ัเพียงลำพัง
ฮองเฮาโน้มกายลงไปเก็บสาสน์บนพื้นขึ้นมา
มือคู่งามลูบลงบนตัวอักษรบนสาสน์ ปลายนิ้วจรดลงบนตัวอักษรชื่อของฮ่องเต้องค์ใหม่ของแคว้นจิงอยู่เนิ่นนาน
มือเรียวขาวคู่งามจรดลงบนตัวอักษร ดวงเนตรทั้งสองปิดลง ลำคอระหงเชิดขึ้น นางราวกับกำลังเมามาย ใบหน้างดงามแดงระเรื่อ ลมหายใจกระชั้นถี่
*****
บนูเาไป๋กู่ ช่องว่างระหว่างกระดูกที่เรียงรายมีหญ้าเขียวงอกขึ้น
กระดูกกลายเป็ปุ๋ยให้เหล่าต้นหญ้า
บนูเานั้นมีคนมาเพิ่มมากมายนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็คนชราและเด็ก เพียงแค่ไม่นานก็มีเื่ที่ต้องทำอีกมากมาย
นอกจากจะต้องสร้างกระท่อมไม้เพิ่ม ยังต้องหลอมอาวุธกู่และทอผ้าเพื่อส่งไปเป็เครื่องบรรณาการ
เหล่าคนที่าเ็ยังคงต้องรักษาตัว คนอื่นๆ จึงวิ่งวุ่นกันนัก
เมื่อาใหญ่ผ่านพ้นไป ทุกหนทุกแห่งล้วนเจริญงอกงาม
ห้องเรียนอักษรเปลี่ยนมาใช้เป็ห้องที่หมู่บ้านไป๋กู่ไว้รวมพลประชุม เพราะยามนี้มีเด็กเพิ่มขึ้นมากมาย ในห้องเรียนแน่นขนัดไปด้วยเด็กๆ ยามนี้น่าจะมีราวห้าสิบคนแล้ว
แคว้นเชินแม้จะถูกปกครองด้วยปัญญาชน แม้จะมีสำนักศึกษาที่ดีที่สุดอย่างสำนักเชิน ทว่าปัญญาชนนั้นก็ยังนับว่าเป็สิ่งล้ำค่าและหาได้ยากยิ่ง
ราษฎรส่วนใหญ่ยังคงไม่รู้หนังสือ เด็กๆ ที่เติบโตบนท้องทุ่งหญ้านั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เหล่าคนบนูเาที่รู้หนังสือนั้นยังนับว่าเป็เื่บังเอิญนัก
แม่นางหลัวที่โดนฉุดมาก็เป็ถึงบุตรีของตระกูลใหญ่ ส่วนนายท่านสามนั้นก็เป็บัณฑิตหนุ่มในอุดมคติ
ยามนี้ยังมีราชครูกับสมาชิกในครอบครัวขุนนางต้องโทษ คนเหล่านี้เดิมทีก็ล้วนแต่อยู่ในตระกูลของชนชั้นสูง จึงได้อ่านออกเขียนได้เช่นนี้
พวกเขาราวกับตายมานับครั้งไม่ถ้วน จวบจนมาถึงูเาลูกนี้ จึงเพิ่งจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง
เพราะเพิ่งเคยพบพานกับความอยุติธรรม บัดนี้จึงได้หวงแหนความยุติธรรมนัก
ห้องที่ใช้สำหรับประชุมกว้างขวางยิ่ง ทว่ากลับมีโต๊ะไม่พอ เด็กๆ จึงได้แต่นั่งลงบนพื้น แล้วใช้ม้านั่งแทนโต๊ะ
จริงๆ แล้วเหล่าเด็กๆ ก็ไม่นั่งอยู่บนพื้นเสียทีเดียว เด็กน้อยที่ฟันหน้าหายไปสวมกางเกงเปิดเป้ายามนั่งจึงเผยให้เห็นบั้นท้าย
เมื่อนั่งลงกับพื้นก็ยังมีเบาะรองไว้ เบาะรองนี้ใช้เศษผ้าขนสัตว์มาเย็บต่อกัน ด้านในยังยัดหญ้าแห้งเอาไว้
เบาะกลมๆ นั้นยังมีกลิ่นหญ้าด้านในโชยออกมา
ผ้าขนสัตว์นั้นแสนนุ่ม ยามบั้นท้ายััก็ไม่รู้สึกระคายเคืองแม้แต่น้อย ทว่าเ้าเด็กฟันหายนั่น ยามนั่งยังทำท่าบิดบั้นท้ายไปมา ไม่อาจนั่งนิ่งได้
เห็นสิ่งใดก็นึกสงสัยไปหมด
ราชครูที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียนพลันขรึมลง
เขานั้นเป็ถึงราชครู ั้แ่เมื่อใดที่ต้องกลายมาเป็อาจารย์คอยสอนเด็กน้อยให้อ่านออกเขียนได้
คนที่นี่นับวันก็ยิ่งใช้งานเขาได้คล่องนัก
เมื่อมองไปก็เห็นเ้าเด็กที่นั่งบิดไปบิดมา เด็กที่ยังนั่งน้ำลายไหล เด็กที่เอาแต่สูดน้ำมูกไม่หยุด ทั้งกลางห้องเรียนยังมีองค์หญิงใหญ่ที่นั่งจัดกระโปรงให้เ้าลูกหมาป่านอนไปครึ่งหนึ่ง ทว่าราชครูก็ยังได้แต่อดทน
ยามนี้หลังห้องเรียนยังมีนักเรียนผมขาวที่เหลือฟันเพียงซี่เดียว กำลังนั่งพิงกำแพงรอฟังเขาสอนอยู่ มันช่าง...
บนูเานั้นมีกฎอยู่ว่าต้องเข้าเรียนในยามเช้า ตกบ่ายก็ไปทำงานต่อ
ผู้ใหญ่นั้นเลือกตามความสมัครใจ แต่เหล่าเด็กๆ เป็กฎบังคับว่าต้องเรียน
ทว่าชายชราตรงหน้านี้ดูท่าแล้วจะอายุมากกว่าเขารอบหนึ่งเสียด้วยซ้ำ ย่อมมาเรียนเพื่อแอบอู้เป็แน่ เพราะชายชรานั้นนั่งบริเวณที่มีแสงแดดให้อาบพอดี เช่นนี้ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าสุขสบายเพียงใด
ราชครูค่อยๆ เดินอ้อมไปหลังห้องเรียนช้าๆ เห็นว่าชายชรานั้นกำลังถือถ่านลงมือเขียนอักษรอยู่จริงๆ
มือเหี่ยวย่นนั้นสั่นน้อยๆ ยามที่ตั้งใจออกแรงเขียนจึงเผลอเม้มริมฝีปาก ฟันซี่เดียวที่เหลืออยู่จึงโผล่ออกมาอวดสายตา ยิ่งทำให้ชายชรานั้นดูคล้ายกับกระต่ายเหลือเกิน
ราชครู่ชี้ลงไป “ตรงนี้ยังขาดไปอีกขีดหนึ่ง”
ชายชราก็รีบขีดเพิ่มย้ำอยู่หลายคราจึงยอมหยุดมือ
เมื่อมองไปหน้าห้องเรียนก็เห็นเด็กๆ นั่งกันแน่นขนัด ชายชราพลันยกนิ้วขึ้นชี้เด็กที่นั่งบิดไปบิดมาทางด้านขวาของหลังห้อง เ้าเด็กคนนั้นก็คือเด็กน้อยที่ใส่กางเกงเปิดเป้า ก่อนจะกล่าวขึ้น “เ้าเด็กนั่นเป็หลานชายข้าเอง ตอนเล็กๆ เป็ไข้หนัก ต่อมาจึงได้ทึ่มๆ ไปสักหน่อย ข้ากลัวว่าเ้าเด็กนี่จะเรียนไม่เข้าใจ จึงได้นึกอยากเรียนไปพร้อมกัน เมื่อกลับไปจะได้สอนเ้าเด็กนี่ได้ เขานั้นไม่ได้โง่ เพียงแต่ทึ่มเล็กน้อย ตั้งใจสอนสักสามรอบ ก็น่าจะเข้าใจแล้ว”
