บทที่ 17 ช่างหน้าด้าน
แม้โม่เต้าจื่อจะคิดว่าฉินชูไม่ค่อยฉลาด แต่เขาก็รู้สึกว่าฉินชูนั้นใจกล้าบ้าระห่ำไม่เบา
มีแต่ผู้ที่ไม่ยอมรับชะตากรรมเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้!
จากนั้นโม่เต้าจื่อก็จากไปโดยไม่สนใจฉินชูอีก
เหล่าศิษย์สายนอกแห่งยอดเขาชิงจู๋ไม่เพียงแต่เสียหน้าที่หอศิษย์รับใช้ แต่ยังเสียคนไปอีก
โดยเฉพาะหลี่ปัวที่ตอนนี้กลายเป็จุดด่างพร้อยในบรรดาศิษย์สายนอกแห่งยอดเขาชิงจู๋ไปแล้ว ทุกคนที่เห็นเขาล้วนถ่มน้ำลายใส่อย่างดูถูก
บรรดาผู้ดูแลและผู้คุมกฎแห่งยอดเขาชิงจู๋ก็ได้พูดคุยเื่นี้เช่นกัน หลี่ปัวถูกผู้คนรังเกียจเหยียดหยามเข้าแล้ว ลำพังนิสัยของเขาก็ป่าเถื่อนเป็ทุนเดิม หลังจากนี้คงไม่ถูกยกย่องให้เป็หัวหน้าคณะศิษย์สายนอกอีก และคงเป็เช่นนี้ไปอีกนาน
ทว่ากรณีศึกษาของหลี่ปัวกลับไม่อาจทำให้ศิษย์สายนอกเลิกรังควานหอศิษย์รับใช้ได้ ในแต่ละวันล้วนมีศิษย์สายนอกสองสามกลุ่มเดินทางมาท้าประลอง จนกระทั่งพ่ายแพ้ก็พากันขอโทษขอโพยออกมาตามๆ กัน
ทำให้หลังๆ ศิษย์สายนอกเริ่มฉลาดขึ้นมาบ้าง พวกเขาไม่พกเข็มขัดเก็บของไปท้าประลอง แพ้ก็คือแพ้ และหลังจากศิษย์สายนอกที่พ่ายแพ้คนหนึ่งบอกกับฉินชูว่า ‘กระบี่เปรียบเหมือนชีวิตของผู้ฝึกตน’ ฉินชูก็ไม่แย่งชิงกระบี่ของผู้แพ้อีก แต่ผู้ที่แพ้ต้องจ่ายเป็โอสถจวี้หยวนหนึ่งขวด
การต่อสู้ไม่ได้มีขึ้นแค่วันสองวัน แต่มันเป็เช่นนี้ทุกวัน ลูกศิษย์สายในแห่งยอดเขาชิงหยุนพากันมาดูการต่อสู้ ผู้ดูแล ผู้คุมกฎก็มาร่วมวงชมการต่อสู้เช่นกัน แม้แต่เหล่าท่านาุโก็ยังคอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ
ฉินชูไม่เคยปฏิเสธผู้มาเยือน มือถือกระบี่กวัดแกว่งกระบวนท่าพื้นฐานกำราบศิษย์สายนอกบนยอดเขาชิงจู๋ระลอกแล้วระลอกเล่า
ศิษย์สายนอกพากันละเหี่ยใจที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับฉินชูซ้ำไปซ้ำมา
กระบวนท่ากระบี่ของฉินชูนั้นเรียบง่ายยิ่งนัก เพียงตวัดฟาดฟัน แต่กลับไม่มีศิษย์สายนอกคนใดต้านทานได้ พละกำลังของร่างกายฉินชูก็ช่างแข็งแกร่ง กระบวนท่ากระบี่ป้องกันและการต่อสู้ระยะประชิดของพวกเขาก็ไม่อาจทำให้จังหวะการต่อสู้ของฉินชูขาดห้วงไปได้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งกระบวนท่ากระบี่ของฉินชูก็ช่างหนักหน่วง พวกเขายืนหยัดได้ไม่นานก็พากันพ่ายแพ้ไปตามๆ กัน
แล้วศิษย์สายนอกก็พ่ายแพ้ไปอีกคน เขาวางขวดโอสถจวี้หยวนลงพลางพูดขึ้น “ฉินชู ข้าไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดอย่างเ้ามาก่อน ทั้งที่มีพลังความสามารถแต่กลับเป็ศิษย์รับใช้อยู่ที่นี่”
ศิษย์สายนอกคนนี้พูดแทนความใจในของศิษย์สายนอกบนยอดเขาชิงจู๋นับไม่ถ้วน พวกเขามองฉินชูเหมือนสัตว์ประหลาด พลังความสามารถของฉินชูที่สำแดงออกมาจัดว่ารุนแรงกว่าของศิษย์สายนอกเสียอีก
“คิดว่าข้าอยากเป็หรือไง ข้าอยากเข้าเป็ลูกศิษย์อย่างเป็ทางการของสำนักชิงหยุน แต่ทางสำนักไม่้าข้า ข้าไม่มีทางเลือกจนต้องมาขอข้าวกินที่หอศิษย์รับใช้เช่นนี้ คิดว่าเกิดเป็ข้ามันง่ายนักหรือยังไง” เมื่อพูดถึงเื่นี้ ฉินชูก็ละเหี่ยใจขึ้นมา แค่มาสายเพียงหนึ่งวันก็เกือบไม่มีข้าวกินเสียแล้ว
ทุกคนล้วนหมดคำจะพูด ไม่ใช่แค่บรรดาศิษย์สายนอกเพียงเท่านั้น แต่เหล่าผู้ดูแลกับผู้คุมกฎล้วนคิดเหมือนกัน การให้ฉินชูมาเป็ศิษย์รับใช้แบบนี้คือความผิดพลาด แต่ยังดีที่เขายังคงอยู่ภายในสำนัก แม้จะเป็ศิษย์รับใช้ก็ตาม หากถูกสำนักหรือกองกำลังอื่นแย่งตัวไป แบบนั้นสำนักชิงหยุนคงต้องเสียใจภายหลังแน่นอน
ต่อมาฉินชูกับไป๋อวี้ก็ส่งมอบภารกิจที่ค้างอยู่และได้แต้มคุณูปการมาไม่น้อย แต่พวกเขาไม่มีเวลาทำภารกิจแล้ว เพราะวันๆ บรรดาศิษย์สายนอกต่างขนกันมาท้าประลองที่หอศิษย์รับใช้ไม่หยุดหย่อน
แต่สิ่งที่ฉินชูไม่รู้ก็คือ บรรดาท่านาุโตำแหน่งผู้ดูแลและผู้คุมกฎทั้งหลายต่างพากันออกคำสั่งให้เหล่าศิษย์สายนอกโค่นฉินชูลงให้ได้ ทั้งนี้เพื่อเป็การฝึกฝนและขัดเกลาทักษะการต่อสู้ของพวกเขา หากผู้ใดโค่นฉินชูลงได้ ผู้นั้นจะได้สามพันแต้มคุณูปการ ถือว่าเป็รางวัลใหญ่เลยทีเดียว
สำหรับฉินชูการได้โอสถถือเป็ของกำนัล มีคนมาเป็คู่ฝึกกระบวนท่ากระบี่พื้นฐานเป็เพื่อน ถือเป็เื่ที่น่ายินดียิ่งนัก
เช้าตรู่วันต่อมา ตบะของฉินชูก็เพิ่มสูงขึ้นจนถึงขั้นจวี้หยวนระดับเจ็ด ซึ่งเป็่ตอนปลายของขั้นจวี้หยวนแล้ว และพลังการต่อสู้ของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากจัดการศิษย์สายนอกบนยอดเขาชิงจู๋ที่มาท้าต่อสู้เสร็จ ฉินชูก็ออกไปจากหอศิษย์รับใช้และมุ่งหน้าไปที่หอคัมภีร์บนยอดเขาชิงหยุนเพื่อเข้าพบโม่เต้าจื่อและฟังข้อเสนอ
“คารวะท่านผู้เฒ่าโม่” มาถึงหน้าประตู ภายใต้สายตาประหลาดใจของลูกศิษย์ที่เฝ้าประตูสองคน ฉินชูก็โค้งคารวะให้โม่เต้าจื่อ
“เ้ายังอุตส่าห์มีเวลามาอีกหรือ ข้าก็นึกว่าเ้าเล่นสนุกกับพวกศิษย์สายนอกที่เขาชิงจู๋อยู่เสียอีก” โม่เต้าจื่อยืนขึ้น
“เอ่อ... ก็แค่ทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ ถือเป็การขัดเกลาวิชากระบี่ไปในตัว” ฉินชูเอ่ยปากพูด
“จากที่ข้าหาข้อมูลมา เ้าจะไปท้าต่อสู้กับพวกศิษย์สายนอกและสายในแห่งยอดเขาชิงหยุนอย่างนั้นหรือ” โม่เต้าจื่อถามขึ้น
“ใช่ขอรับ พวกเขาทำตัวอวดเบ่งเกินไป โดยการไปหาเื่ที่หอศิษย์รับใช้บนยอดเขาชิงจู๋ ศิษย์ทนเห็นอะไรแบบนี้ไม่ได้ขอรับ” ฉินชูตอบกลับ
หลิงหยุนจื่อที่เอาแต่นั่งสมาธิอยู่ยืนขึ้นทันที “เ้าทนไม่ได้ แล้วเ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเ้าเป็ศิษย์รับใช้”
“ท่านผู้เฒ่าาุโขอรับ จากคำพูดของท่าน ศิษย์ผู้น้อยคิดว่าท่านกำลังดูถูกศิษย์รับใช้อยู่ ศิษย์รับใช้ก็เป็ลูกศิษย์ของสำนักชิงหยุนเช่นกัน แค่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบแตกต่างจากลูกศิษย์อย่างเป็ทางการเท่านั้น” ฉินชูมองหลิงหยุนจื่อ คนที่ดูถูกศิษย์รับใช้ก็เท่ากับดูถูกเขาด้วยเช่นกัน มันเลยทำให้เขารู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
หลิงหยุนจื่ออึ้งงันไปครู่หนึ่ง ไม่นึกว่าฉินชูที่เป็แค่ศิษย์รับใช้จะกล้าเถียงเขาอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ ที่ผ่านมาไม่เคยมีลูกศิษย์หน้าไหนในสำนักชิงหยุนต่อปากต่อคำกับเขาเช่นนี้มาก่อน
“หลังจากนี้เ้าอย่าริอ่านอยากขึ้นเป็ศิษย์สายนอกหรือสายใน จงเป็ศิษย์รับใช้ของเ้าต่อไปเถอะ” หลิงหยุนจื่อพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“เป็ศิษย์รับใช้ก็ดี!” ฉินชูไม่สนใจ ในเมื่อศิษย์รับใช้สามารถทำภารกิจและแลกตำราวิชายุทธ์ได้ ศิษย์รับใช้ก็สามารถลุกขึ้นผงาดได้เช่นกัน เขาไม่สนใจความแตกต่างระหว่างศิษย์รับใช้กับศิษย์สายใน หากศิษย์สายในทำตัวดูถูกคนอื่น เช่นนั้นเขาก็ไม่เกรงใจ
โม่เต้าจื่อปัดมือเป็เชิงสั่งห้ามฉินชูพูดขึ้นอีก “เ้ามาหาข้าเพื่อให้ข้าช่วย ก่อนอื่นต้องบรรลุเงื่อนไขข้อหนึ่งให้ได้ก่อน จัดการพวกศิษย์สายนอกและสายในที่เ้าท้าทายให้ได้ เ้าถึงจะมีสิทธิ์นั่งพูดคุยกับข้า”
โค้งคำนับโม่เต้าจื่อเสร็จ ฉินชูก็จากไป ในเมื่ออีกฝ่าย้าให้บรรลุเงื่อนไขก่อน ฉินชูก็ไม่มีทางเลือก เพราะมันคือวิธีเดียวที่จะทำให้โม่เต้าจื่อสนใจ
“ศิษย์พี่ เ้าเด็กนี่มันหัวแข็งชะมัด” หลิงหยุนจื่อมองแผ่นหลังของฉินชูที่คล้อยจากไป
“คนที่หัวแข็งมักหัวดี แบบนี้ไม่เลวเลย” โม่เต้าจื่อนั่งลงบนเบาะอาสนะของตัวเอง เขาเริ่มคาดหวังในตัวฉินชูขึ้นมา สำนักชิงหยุน้าลูกศิษย์ที่ทะเยอทะยานแบบนี้ เพราะว่าตอนนี้ลูกศิษย์ที่นี่กินดีอยู่ดีจนไม่รู้ว่าความกดดันคืออะไร
เมื่อกลับถึงหอศิษย์รับใช้ ฉินชูก็จัดการศิษย์สายนอกที่มาหาเื่ต่ออีกสองสามคน จากนั้นก็กลับไปฝึกตนขัดเกลากระบวนท่ากระบี่ที่ผาหินตัดต่อ ตอนนี้ เหลืออีกสี่เดือนจะถึงวันท้าประลองกับศิษย์สายนอกบนยอดเขาชิงหยุน เขา้าให้ตัวเองบรรลุตบะขั้นที่สองหนิงหยวนให้ได้ก่อน เพราะมันจะทำให้เขามั่นใจมากกว่านี้
ฉินชูไม่มีนิสัยประมาทคู่ต่อสู้ หากบนยอดเขาชิงหยุนมีพวกศิษย์สายนอกจอมบ้าคลั่งขึ้นมา เขาคงเสียหน้าน่าดู ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าไม่เป็ไร หากแพ้ค่อยกลับไปท้าสู้ใหม่ แต่ตอนนี้คิดแบบนี้ไม่ได้แล้ว โม่เต้าจื่อยื่นข้อเสนอให้เขาแล้ว หากเขาเอาชนะศิษย์สายนอกกับสายในบนยอดเขาชิงหยุนไม่ได้ โม่เต้าจื่อก็จะไม่ช่วยเหลือเขา
หลังจากนั้นฉินชูก็ออกมาจากกระท่อมที่ผาหินตัดเป็ระยะๆ เพื่อมาจัดการพวกศิษย์สายนอกบนเขาชิงจู๋ที่มาหาเื่
หลังจากเอาชนะศิษย์สายนอกคนหนึ่งเสร็จ ฉินชูก็เก็บโอสถจวี้หยวนกลับไปตามเดิม “ครั้งหน้าข้าจะใจดีไม่เอาของกำนัลแล้ว กลับไปบอกคนที่จะมาท้าสู้กับข้า ครั้งหน้าข้าขอรับแค่โอสถหนิงหยวนเท่านั้น ไม่เอาโอสถจวี้หยวนแล้ว หากไม่ทำตาม ข้าจะยึดอาวุธและจับแก้ผ้า”
ช่างหน้าด้านเสียจริง นี่เป็เสียงในใจของคนที่มุงดู แบบนี้เรียกว่าใจดีเสียที่ไหน ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าฉินชูมีโอสถจวี้หยวนมากเกินไปจนใช้ไม่หมด และเขาก็โลภมาก้าสิ่งที่ดีกว่า