หลังออกจากเมืองเหอผิง โหยวเสี่ยวโม่ก็ถูกหลิงเซียวหาโอกาสสวดเขาชุดใหญ่
เชื่อคนแปลกหน้าง่ายดาย หากคนนั้นเขามีบางอย่างแอบแฝงจะทำไง? หลอกขายเ้า แล้วไปช่วยเขานับเงินหรือไง?
ดังนั้นหลิงเซียวจึงอาศัยโอกาสนี้ให้บทเรียนเขา
หัวข้อบทเรียนก็คืออย่าได้เชื่อคนที่ทำดีกับเราโดยไม่มีสาเหตุ เพราะพวกเขามีวัตถุประสงค์อื่น
โหยวเสี่ยวโม่ยังเข้าใจแค่ครึ่งเดียว แต่เขาก็เข้าใจว่าโลกสองโลกนั้นต่างกัน แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือ ทำไมต้องไปตั้งแง่กับคนที่อยากทำดีกับเรา จากที่เขารู้ ใช่ว่าทุกคนบนโลกจะเป็คนเลวไปซะหมด ดังนั้นจึงโยนคำถามกลับให้หลิงเซียว
“ศิษย์น้องเล็ก ที่นักฝึกตนมีพลังสยบฟ้าเพียงใช้ฝ่ามือ พลังเหนือคนธรรมดา เพราะพวกเขาเดินเส้นทางผิดกฎ์ เส้นทางนี้มันโหดร้ายอันตรายกว่า ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือต้องฝึกฝนพลังตัวเอง เ้าก็น่าจะรู้ ความสามารถใช่ว่าอยากเพิ่มขั้นก็ทำได้เลย นักฝึกตนทุกคนมีความสามารถต่างกัน คนที่คุณสมบัติและศักยภาพด้อย พวกเขาต้องคอยแย่งชิงเข่นฆ่าสารพัดสิ่งเพื่อให้เลื่อนขั้นพลัง ทีนี้เ้าเข้าใจรึยัง?”
หลิงเซียวไม่ชอบพูดจาอ้างอิงคุณธรรมใหญ่โต ดังนั้นในสายตาเขาจึงมองว่ากำปั้นหมายถึงศีลธรรมทั้งหมด แต่หากทำให้โหยวเสี่ยวโม่กระจ่างได้ เขาก็ยินดีที่จะพูดซ้ำ
พอพูดแบบนี้ โหยวเสี่ยวโม่ก็เข้าใจขึ้นเป็กอง
คนที่เกิดมาต่างกัน กฎก็ต่างกัน
ชีวิตเมื่อก่อนของเขา เป็โลกที่ธรรมดา ผู้คนไขว่คว้าเพียงแค่กินอิ่มนอนอุ่น อาจจะมีพวกที่เห็นแก่เงินและอำนาจอยู่บ้าง แต่จากขีดจำกัดของโลก พวกที่ปีนขึ้นถึงจุดสูงสุด มากสุดก็แค่ได้สลักชื่อลงจุดสูงสุดบนเจดีย์ทองคำแค่นั้น
หากยกตัวอย่าง เจดีย์ทองคำของโลกสูงหนึ่งเมตร เจดีย์ทองคำของแผ่นดินหลงเสียงคงสูงถึงพันเมตรหมื่นเมตรได้ ทั้งสองล้วนมีความแตกต่าง
ดังนั้น ความคาดหวังของคนก็ไม่เหมือนกัน โลกก็ยิ่งซับซ้อน คนก็ยิ่งหลงลืมความเป็มนุษย์
แต่ว่า…
“ศิษย์พี่หลิง พูดก็ส่วนพูด ท่านอย่าเอาแต่ซุกมือในเสื้อข้าได้มั้ย?” โหยวเสี่ยวโม่กัดฟันเอ่ย
ทั้งๆ ที่เขาทั้งสองกำลังคุยกันเื่ศีลธรรมของโลก บรรยากาศตึงเครียดเช่นนี้ หมอนี่กลับเอามือล้วงเข้ามาที่หน้าอกเขาหน้าไม่อาย ในความเป็จริงเขาแทบอยากไว้อาลัยกับแง่การมองโลกที่พึ่งถูกทำลายไป แต่หลิงเซียวกลับไม่ให้โอกาสนั้นกับเขา ทั้งๆ ที่เป็่น่าเศร้าสลดอยู่แท้ๆ
“ไม่ได้” หลิงเซียวก้มหน้ามองเขา มุมปากยิ้มเ้าเล่ห์ ไม่ว่าโหยวเสี่ยวโม่จะออกแรงดึงอย่างไร มือที่ล้วงอยู่บนหน้าอกก็ไม่มีทางหลุดออกมา
โหยวเสี่ยวโม่สูดหายใจลึก ถลึงตาโตมองเขา แต่ก็รู้สึกไม่เหี้ยมพอ ยกเท้าขึ้นเตะเข้าที่ขาเขาทีหนึ่ง ปรากฏว่า “โอ๊ย”เสียงร้องน่าสมเพช โหยวเสี่ยวโม่หน้างอกอดขาตัวเอง เกือบน้ำตาเล็ด
“ท่านๆๆ ขาท่านทำมาจากอะไรกันแน่?”
เขามีความรู้สึกเหมือนเตะเข้ากับกำแพงเหล็ก เ้าบ้านี่ ไม่เพียงแต่รังแกเขาด้วยมือแล้วก็ปาก แม้แต่ขาก็ยังรังแกเขาอีกหรือ
หลิงเซียวเกือบหลุดขำกับท่าทีเขา โอบกอดร่างเขาไว้แล้วเอ่ยตีหน้าตาย “ที่จริงทำจากเนื้อ”
โหยวเสี่ยวโม่พลันทำตาโต ท่าที “ข้าไม่เชื่อ”
“เดี๋ยวศิษย์พี่ช่วยนวดให้” หลิงเซียวเอ่ยหน้ายิ้มกริ่ม
โหยวเสี่ยวโม่ไม่สบอารมณ์ขึ้นเรื่อยๆ ท้ายสุดทนไม่ไหว ะโออกมา “ท่านจะบ้าหรือไง ทั้งๆ ที่ข้าเจ็บขา แล้วมานวดหน้าอกข้าทำไมกัน? อกข้าไม่ได้เจ็บสักหน่อย”
ทันใดหลิงเซียวก็ท่าทางใ แล้วรีบเอ่ยขอโทษ “ข้าขอโทษ ข้าลืมไปน่ะ ครั้งหน้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
ยังมีครั้งหน้า? ไม่มีทางเสียหรอก! จ้องมองรอยยิ้มเ้าเล่ห์ ดูอย่างไรก็หมั่นไส้ โหยวเสี่ยวโม่ตัดสินใจว่าจะไม่ยอมเชื่อเขาอีกต่อไป
เสียงก่นด่าเบาๆ ออกมาเรื่อยๆ รถม้าก็มาเข้าสู่เขตแดนเมืองชิงแล้ว โหยวเสี่ยวโม่ไม่ทันสังเกต ว่าครั้งนี้เขาไม่รู้สึกเวียนหัวเลย
เมืองชิงเป็เมืองที่เจริญหลักๆ ติดอันดับหนึ่งในสามของฝั่งใต้
รถม้าออกมาได้ครึ่งทาง จนแล้วจนรอดโหยวเสี่ยวโม่ก็ทนไม่ไหว หลิงเซียวไม่ได้คิดจะใช้รถม้าตลอดทั้งทาง พอถึงกลางทางก็ไล่ม้าเพลิงอัคคีกลับไป จากนั้นเรียกนกขนส่งมาพาพวกเขาไปเมืองชิงต่อ
ความเร็วของนกขนส่งไวกว่าม้าเพลิงอัคคีอยู่มาก ไม่ถึงครึ่งวันพวกเขาก็มาถึงเมืองชิง มองจากที่ไกลๆ พื้นที่ของเมืองชิงกว้างใหญ่กว่าเมืองฮุยจี๋เสียอีก ดูกว้างใหญ่ไพศาลน่าตื่นตาตื่นใจ ยืนดูจากที่สูงยังมองไม่เห็นปลายสุดของเมืองด้วยซ้ำ ถึงว่าสำนักชิงเฉิงถึงเทียบเคียงสำนักเทียนซินได้ อำนาจบารมีใหญ่โตจริง
เนื่องจากพวกเขาต้องทำเวลา จึงไม่มีเวลาเดินเล่นในเมือง
หลิงเซียวให้นกขนส่งร่อนลงในป่านอกเมือง จากนั้นอุ้มโหยวเสี่ยวโม่ที่เจ็บขาเข้าเมือง แต่ก่อนเข้าเมือง หลิงเซียวก็เปลี่ยนใบหน้าของเขาทั้งสอง
ตอนไปเมืองฮุยจี๋นั้นไม่จำเป็ต้องปลอมหน้าก็ได้ เพราะเมืองฮุยจี๋อยู่ไกลจากสำนักเทียนซินค่อนข้างมาก แต่เื่อะไรเกิดขึ้นก็คงไปไม่ถึงหูสำนักเทียนซิน แต่เมืองชิงนั้นต่างกัน
เมืองชิงเป็พื้นที่ของสำนักชิงเฉิง ในเมืองมีแต่คนของสำนักชิงเฉิงเฝ้าดูอยู่ ทุกวันต้องมีการลาดตระเวน ตรวจตราเข้มงวดห้ามแหกกฎ แต่คนที่สัญจรไปมาที่นี่ หากมีข่าวอะไรแพร่ออกมา ก็จะไปถึงสำนักเทียนซินได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นต้องระมัดระวัง
สถานที่โด่งดังที่สุดของเมืองชิงคือหอหมื่นสมบัติ ซึ่งมีการจัดประมูลเดือนละครั้ง แต่ของล้ำค่าพิเศษจะมีจัดขายขึ้นสามเดือนครั้ง
เดือนนี้ที่จัดประมูลขาย เป็สามเดือนที่จะมีครั้ง
แต่ต่างจากโรงประมูลเจ็ดดวงดาราอยู่บ้าง เพราะโรงประมูลเจ็ดดวงดารานั้นถูกกฎหมาย เปิดกว้างเป็สาธารณะ ใครก็เข้าออกได้ แต่หอหมื่นสมบัตินั้นเป็สถานที่ส่วนตัว หากไม่มีบัตรเชิญจากสำนักชิงเฉิงก็เข้าไม่ได้
“ศิษย์พี่หลิง เราไม่มีบัตรเชิญจะเข้าไปยังไงดี?”
โหยวเสี่ยวโม่ลนลานเมื่อรู้ว่าต้องใช้บัตรเชิญ รีบเอ่ยถาม เขาลืมไปว่าหากไม่มีบัตรเชิญหลิงเซียวคงไม่พาเขามา อีกทั้งหากไม่มีบัตรเชิญจริง เขาก็คงหามาได้แน่นอน
หลิงเซียวเอ่ย “ความสามารถของถังฮุยแม้จะไม่นับว่าเป็หนึ่ง แต่ก็นับว่าเป็รองอยู่ อีกอย่างกิจการของเขานั้นครอบคลุมพื้นที่โดยกว้าง ที่สำคัญคือเขามีเงิน สำนักชิงเฉิงยังไงก็ต้องส่งบัตรเชิญให้เขาอยู่แล้ว”
เมื่อผู้ช่วยฉีรู้ข่าวว่าหลิงเซียวจะไปร่วมงานประมูลที่หอหมื่นสมบัติ ไม่รีรอรีบส่งบัตรเชิญให้เขา ท่าทางน้อมรับบัญชาทำให้หลิงเซียวพอใจมาก
แม้จะปลอมใบหน้า แต่ทั้งสองก็ยังเป็เป้าสายตาอยู่
ด้วยเหตุที่โหยวเสี่ยวโม่ถูกหลิงเซียวอุ้มอยู่ หากหลิงเซียวอุ้มผู้หญิงอยู่ นั่นคงไม่เป็ที่ดึงดูดสายตา แต่ที่แปลกคือ เขาอุ้มเด็กหนุ่มอยู่
หน้าโหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้หนาเพียงนั้น เมื่อถูกสายตาจดจ้องก็ดิ้นจะลงมาให้ได้ เพราะที่จริงขาเขาก็ไม่ได้เจ็บขนาดนั้นแล้ว
หลิงเซียวรู้ว่าเขาหน้าบางจึงยอมปล่อย เมื่อวางเขาลงก็จะลากเขาไปยังหอหมื่นสมบัติ แต่โหยวเสี่ยวโม่กลับยืนอยู่กับที่ หลิงเซียวหันกลับไปดูเห็นเขาทำหน้าตื่นเต้นมองไปยังร้านแห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือร้านยานั่นเอง
“ศิษย์พี่หลิง ข้าอยากเข้าไปขายยาเซียนตันหน่อย หรือไม่ ท่านยืนรอข้าตรงนี้สักเดี๋ยวดีกว่า?”
โหยวเสี่ยวโม่หันมาบอกกับหลิงเซียว หากไม่ใช่เพราะเห็นร้านยานี้ เขาคงลืมไปว่าตัวเองยังมีอีกเื่ต้องทำ หากการประมูลเริ่มขึ้น เงินจะไม่พอก็เท่ากับว่ามาเสียเที่ยว
หลิงเซียวกระตุกคิ้วขึ้น รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงลากเขาเดินไป พลางอธิบาย “ไม่ต้องขายยาเซียนตัน ข้ามีเงิน”
โหยวเสี่ยวโม่ชะงัก เอ่ยถาม “ท่านมีได้ยังไง?”
จากที่เขารู้ หลิงเซียวนั้นจนกว่ายาจกอย่างเขาเสียอีก ดังนั้นทุกครั้งที่ต้องใช้เงิน เขาก็ไม่เคยคาดหวังจากหลิงเซียวเลย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงควักกระเป๋าตัวเองอยู่เสมอ
“ถังฮุย” หลิงเซียวพ่นออกมาสองคำอย่างง่ายๆ โดยไม่หันมามอง
เมื่อได้ยินชื่อนี้ โหยวเสี่ยวโม่ก็รู้สึกแอบอิจฉา ใครบางคนลงมือเพียงครั้งเดียว ก็ได้เหมือนทองอันกว้างใหญ่ (ทรัพย์สมบัติของถังฮุย) หันกลับมาดูตัวเอง ขายยาเซียนตันแต่ละที ได้แค่เงินทองหลักหมื่น มากสุดก็แค่ยี่สิบล้าน หลังจากนั้นยังจ่ายออกไปอีกสิบล้าน
เมื่อเปรียบเทียบกันรังแต่จะเจ็บใจเปล่าๆ!
แต่ว่า ท้ายสุดโหยวเสี่ยวโม่ก็ใช้ยาเซียนตันแลกกับเงินของหลิงเซียว ถุงเก็บของไม่ใหญ่มาก แต่ด้านในจุเต็มไปด้วยทอง เขานับอย่างคร่าวๆ เยอะกว่าของเขาหลายเท่า…
เมื่อเห็นเงินทองพวกนี้ ในหัวสมองของโหยวเสี่ยวโม่เหลือเพียงห้าพยางค์คือ อิจฉา ชื่นชม เกลียด!
ครึ่งชั่วยามผ่านไป พวกเขาก็ไปถึงหน้าหอหมื่นสมบัติ
ที่เหนือความคาดหมายคือ หอหมื่นสมบัติไม่ได้ดูเตะตาเหมือนโรงประมูลเจ็ดดวงดารา ทางเข้าออกดูลึกลับ คนไม่รู้จักคงเดินผ่านอย่างไม่สนใจ แต่ผู้คนที่เดินไปมาก็ไม่เยอะเท่าไหร่
หน้าทางเข้าหอหมื่นสมบัติไม่มีเวรยามเฝ้า มีเพียงผ้าม่านสีดำนิ่งไม่ไหวติง
หลิงเซียวไม่ได้ลังเล พาตัวโหยวเสี่ยวโม่เดินตรงเข้าไป
ด้านในไม่ได้มืดอย่างที่โหยวเสี่ยวโม่คิด กลับกัน สว่างมาก อีกทั้งยังเห็นเวรยามที่ยืนเฝ้าอยู่จุดทางเข้าด้านใน เมื่อพวกเขาเดินผ่าน หนึ่งในเวรยามถามหาบัตรเชิญ
หลิงเซียวหยิบบัตรเชิญออกมาให้พวกเขา
เวรยามดูแล้วยื่นคืนให้หลิงเซียว จากนั้นถามพวกเขาว่า้าที่บังรึเปล่า
หลิงเซียวขอที่บังสีดำมาสองอัน จากนั้นยื่นอันหนึ่งให้โหยวเสี่ยวโม่ เพราะว่าหอหมื่นสมบัติจะจัดให้ผู้เข้าร่วมประมูลทั้งหมดรวมตัวอยู่ในโถงใหญ่ ดังนั้นทุกคนจะสามารถเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นโถงใหญ่ได้ชัดเจน หากว่าไม่้าให้คนอื่นเห็นภาพลักษณ์ที่แท้จริงของตัวเอง ที่บังจึงจำเป็อย่างมาก
เมื่อสวมที่บังเสร็จ หลิงเซียวก็พาโหยวเสี่ยวโม่เข้างานประมูล
เนื่องจากพวกเขามาถึงค่อนข้างช้า ตอนนี้ในโถงใหญ่จึงเต็มไปด้วยผู้คน แต่เนื่องจากเื้ัผู้ดูแลหอหมื่นสมบัติคือสำนักชิงเฉิง ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้ากร่าง บรรยากาศก็ไม่ได้อึกทึกเหมือนโรงประมูลเจ็ดดวงดารา ส่วนใหญนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้แล้ว พูดคุยกันอย่างสันติ
สองคนเดินเข้าไป หลิงเซียวรู้สึกได้ถึงจิตนึกคิดทั้งหลายที่กำลังวิเคราะห์พวกเขาอยู่ จิตนึกคิดพวกนี้มาจากรอบทิศหอหมื่นสมบัติ ซึ่งทิศทางนั้นเป็จุดที่พวกเวรยามยืนอยู่ และอีกทิศหนึ่งที่มาจากด้านหลังเวทีประมูล จิตนึกคิดนี้มีพลังกว่าคนอื่นอยู่บ้าง
แต่หลิงเซียวสีหน้าแทบไม่กระดิก คนแกร่งแค่ไหนในสายตาเขาก็เป็เพียงเห็บ อยากมองทะลุเขาและโหยวเสี่ยวโม่ที่ถูกเขาร่ายพลังควบคุมไว้ ไม่มีทางซะหรอก
ทั่วไปแล้ว คนที่อำนาจสูงกว่าจะเลือกที่นั่งด้านหน้า แต่หลิงเซียวไม่ได้เลือกนั่งด้านหน้า เพียงแต่เลือกที่นั่งว่างด้านหลังแล้วนั่งลง โหยวเสี่ยวโม่นั่งลงข้างเขา
เพราะเคยเข้าร่วมการประมูลแล้วครั้งหนึ่ง โหยวเสี่ยวโม่จึงไม่ได้มีท่าทางป้ำๆ เป๋อๆ เหมือนพวกมือใหม่เหมือนคราวที่แล้ว อันที่จริง เป็เพราะที่กำบังครอบหัวสมองเขาไว้มากกว่า แม้เดินยังลำบากเลย
ทั้งสองมาได้เหยียบเส้นพอดี นั่งลงไม่นาน การประมูลก็เริ่มต้นขึ้น
เห็นเพียงผู้เฒ่าชุดเขียวเดินมาจากด้านหลังเวที ไม่ได้พูดพร่ำมากมายก็เข้าสู่หัวข้อหลัก ของที่ประมูลอย่างแรกก็คือสิ่งที่ทุกคนรอคอยอยู่ เนื้อแพะหมื่นปราณ เพียงแต่ไม่เหมือนกับที่หลิงเซียวบอกไว้ ที่นี่เหมือนจะมีปริมาณของเนื้อแค่ตัวเดียว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้