“ใครวะ?”
“แกร่งมาก!”
เจิ้งข่ายและหลินนั่วโพล่งออกมาพร้อมกัน
ร่างดั่งักราดเกรี้ยวใช้ท่าทางดั่งว่าหยิบยืมสายฟ้ามาเป็อาวุธจู่โจมเข้าหา พลังอำนาจดั่งเขาบรรพตหล่นทับ ชะล้างทุกการป้องกัน ตรงเข้าหาร่างทั้งสองอย่างรุนแรง กระแทกจนพวกเขาปลิวไปกลางอากาศ
กร๊อบ! กร๊อบ!
เสียงกระดูกแตก
หลินนั่วอยู่กลางอากาศ รู้สึกถึงพลังประหลาดโอบล้อมซ้ายขวา กำลังภายในถูกแช่แข็งไม่อาจขยับเขยื้อน บุรุษที่ผยองว่าเร็วดั่งฟ้าแลบบัดนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าการโจมตีพิฆาตนี้แล้ว กลับสำแดงเดชอะไรไม่ได้ เบิกตาโพลงมองตัวเองถูกแรงกระแทก กระดูกอกยุบลงทันตาเห็น กระดูกขาวทิ่มเนื้อหนังออกมาปรากฏแก่สายตา...
เจิ้งข่ายนั้นอนาถยิ่งกว่า
มือข้างที่เคยกำไม้เท้าไว้นั้น ถูกแรงตอนปะทะกับหอกทมิฬะเืจนเนื้อหนังฉีกขาด ทั้งแขนอาบไปด้วยเืและแผลสด เนื้อดั่งถูกบดละเอียด กระดูกขาวโผล่วับๆ แวมๆ เขากระอักเืออกมาเป็กระจุก สมองพลันว่างเปล่า
ความเ็ปที่ได้รับมิใช่เื่อะไรเลย
สิ่งที่ทำให้เจิ้งข่ายเหมือนสิ้นเรี่ยวแรงจะครวญคิดในสิ้นเชิงก็คือ บนโลกนี้มีคนที่สามารถใช้พลังล้วนๆ สยบเขาได้ราบคาบอยู่จริงๆ น่ะหรือ? และคนๆ นี้ ก็ยังมาจากปีหนึ่งของสำนักกวางขาวอีกด้วย?
ในเวลาชั่วอึดใจ การต่อสู้ก็รู้ผลแพ้ชนะ
ศิษย์หงส์ฟ้าสองผู้ที่ถูกจู่โจมจนลอยคว้างนั้น หมดสิ้นซึ่งพลังต่อต้านในบัดดล และเงาดำที่ตรงเข้าโจมตีก็โผขึ้นเบื้องฟ้า ดั่งัแหวกอากาศ หอกสีดำสั่นะเืเลือนลั่น สาดกระหน่ำลงมาอย่างกับห่าฝน
ฟิ้วๆๆๆ!
ดาราเยือกวาววาม บุปผาโลหิตบานสะพรั่ง
รอจนร่างของหลินนั่วและเจิ้งข่ายร่วงกลับสู่ผืนดิน ถูกแทงด้วยหอกหลายสิบแผล สูญสิ้นชีวิต ิญญาสลายเป็ลำแสง ลอยล่องกลับทิศทางของสำนักหงส์ฟ้าไป...
ฆ่าคู่!
พริบตาเยื้องย่างฆ่าคู่!
นับจากที่หอกตกลงจากห้วงนภา ยังไม่ถึงสามอึดใจเลยด้วยซ้ำ
ซ่งชิงหลัวและ่เี่ิไม่อาจตอบสนองอะไรได้
จวบจนศึกเสร็จสิ้น ร่างในเงามืดนั้นก็โรยตัวสู่ปฐี
มือข้างหนึ่งถือหอกยาว เกศาดำทมิฬดั่งเปลวเพลิงลุกโชน อาภรณ์ยามลมพัดไหวราวดาบเหล็กกรีดร้องกลางวาโย เขาค่อยๆ หันกายกลับมา แสงสุรีย์สาดส่องเื้ัของกายเขาราวกับภาพในจินตนาการ ใบหน้าอันคุ้นเคยนั้นเผยรอยยิ้มอบอุ่น
“พี่ชิงหยู!”
่เี่ิกู่ร้องยินดี นางะโขึ้นมาแล้วโจนเข้าหาร่างนั้นทันใด
...
“์!”
“ฆ่าคู่!”
“หนึ่งต่อสอง!”
“เป็ไปได้อย่างไร?”
“น่ากลัว!”
“นี่คือ...เ่ิู?”
ในศาลาขึ้นฟ้า เสียงจ้าละหวั่นดังขึ้นไม่ขาด ทุกคำแสดงอาการตกตะลึงหลุดออกมาไล่เลี่ยกันราวกับหม้อเดือดพล่าน กระทั่งเหล่าคณาจารย์าุโที่วางตัวเป็ผู้หลักผู้ใหญ่มาโดยตลอดก็ตบะแตก กู่ร้องยินดีแล้วะโขึ้นมาราวกับมีไฟลนก้น
ศิษย์ตัวแทนที่พลังต่ำต้อยหน่อย กลับมองไม่ออกว่าเกิดอะไรกันขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เ่ิูมาถึงเมื่อไรน่ะ?”
บางคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ยังไม่ทันย่อยความดีแท้ๆ ชั่วเวลาแค่ไฟโหมกระพือมันเกิดอะไรขึ้นบ้างนะ
หลังมรสุมความพรึงเพริดผ่านไป กลับเป็ความเงียบราวกับตายไปแล้ว
กลางหมู่ชนนั้น เี๋เี่าและหานเซี่ยวเฟยมองหน้ากัน เห็นความตกตะลึงในดวงตาอีกฝ่าย หวั่นไหวและ...ความกลัวเป็ระลอก
...
...
เวลาเวียนไปอีกสิบอึดใจ
กลางสนามแสดงยุทธ์ของสำนักกวางขาว
หน้ากระจกศิลา
ตอนที่นามของซ่งชิงหลัวและ่เี่ิกะพริบเข้าแล้ว ศิษย์กวางขาวก็ก้มหน้างุด ราวกับว่าทุกคนต่างก็สิ้นหวังหมดอาลัยตายอยาก ภาพแล้วภาพเล่าปรากฏตรงหน้ามามากมายแล้ว ทุกๆ ครั้งก็ไม่มีหนทางเรียกสถานการณ์คืนมาได้เลย ทุกๆ ครั้งล้วนแล้วแต่คือความอัปยศย่างกรายมาหายใจรดต้นคอ...
ความคาดหวังเหลือเพียงความผิดหวังหลายครั้งเข้า สำนักกวางขาวประหนึ่งมึนเมา รอแสงแห่งความหวังจวนจะไม่ไหว
ข้างกายชายร่างใหญ่สงเหยียน สหายทุกคนล้วนขมวดคิ้วแน่น
จากสถานะตรงหน้าแล้ว เ่ิูก็ยังไม่ได้ฆ่าใครเลย
และสถิติสังหารของฝั่งหงส์ฟ้ากลับชิงตัดหน้าไปก่อน พริบตาก็ฆ่าเซี่ยโหวอู่เสร็จสรรพ และในรายชื่อบนกระจกส่องศิลาก็ไม่พบชื่อของเขากะพริบเป็สัญญาณอันตรายเลย ปรากฏเป็สถิติสังหารและตายจากทันที...
เห็นทีพนันครานี้ คงต้องแพ้จริงๆ แล้ว
“เป็อย่างไรล่ะ? พวกสวะไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ตอนนี้ยังมีหน้ามาพูดอีกไหม?” ศิษย์หญิงของสำนักหงส์ฟ้าั์ตางามแย้มยิ้มพึงใจ “ฝันกลางวันอยู่ก็รีบๆ ผงกหัวตื่นเสียเถอะ!”
ศิษย์หงส์ฟ้าข้างกายนางหัวเราะร่า
“เ้า...ฮึ รอบนี้ยังไม่เสร็จสิ้น ศิษย์พี่ชิงหยูยังมีโอกาส...อย่าเพิ่งด่วนดีใจไป” สงเหยียนกัดฟันพลางสวน บุรุษกายใหญ่อธิษฐานในใจ ศิษย์พี่ชิงหยูท่านต้องสู้นะ
“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ไม่เห็นธาราไม่ตายใจ” หญิงสาวกอดอก เอียงคอยิ้มเย็น “พวกสวะกลุ่มหนึ่ง คนเขลาฝันกลางวันแสกๆ นอกจากฝีปากกล้าแล้ว ยังจะมีดีอะไรอีก?”
ศิษย์หงส์ฟ้าด้านข้างชี้เสลดบนพื้นอย่างเย่อหยิ่ง “ฮ่าๆ รีบยอมแพ้ไวๆ เสียเถอะ กินเสลดนั่นได้แล้ว อย่างน้อยเ้าก็จะได้การยอมรับจากพวกเราในฐานะบุรุษคนหนึ่ง อย่าทำให้ผิดหวังล่ะ”
“ฮ่าๆ เหล่าขยะของกวางขาวเอ๋ย สุดท้ายก็แพ้ยับเยินเอาเสียอย่างนี้เอง...” นักเรียนคนอื่นหัวเราะสมทบ
เสียงหัวเราะดุจคนผู้อยู่สูงส่งและเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรี
แม้ฝ่ายตรงข้ามที่พวกตนหัวเราะเยาะจะเป็เหล่านักเรียนกวางขาวหลายร้อยหลายพันที่ห้อมล้อมอยู่ก็ตาม แม้ตอนนี้พวกเขาจะเหยียบแผ่นดินของสำนักกวางขาวอยู่ หากพวกมันรวมตัวกันเสียหน่อย ก็สามารถขยี้พวกเขาบี้แบนได้ง่ายๆ...
แล้วอย่างไรล่ะ?
ไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย
บนโลกวรยุทธ์นี้ เคารพผู้แข็งแกร่ง มีเพียงผู้มีเกียรติยศเท่านั้นจึงจักมีสิทธิ์ยืนปราศรัย ตำแหน่งและความทระนงของศิษย์สำนักหงส์ฟ้า มิใช่สิ่งที่พวกเศษเดนรอบด้านนี้จะเทียบเคียงได้
พวกเขามีความเหนือกว่าแต่กำเนิด ไม่จำเป็ต้องใส่ใจอะไรั้แ่แรก
ความรู้สึกเหนือกว่านี้ เป็สิ่งที่ศิษย์สำนักหงส์ฟ้าพากเพียรฝึกฝนมาหลายปี ขัดเกลาและทดสอบด้วยเืและไฟในการสู้ศึกแต่ละครั้งคราวจึงจักได้มา นี่เองคือที่มาของความเย่อหยิ่งดุจว่าเป็หงส์ฟ้าของพวกเขา
หงส์สูงศักดิ์ มองสำนักกวางขาวไม่ต่างกับปลาไหลเกลือกกลิ้งในโคลนตมสกปรก ปลาไหลคิดจะพิชิตหงส์หรือ?
ไม่ใช่ฝันกลางวันแล้วจะเป็อะไรกัน
ดังนั้นพวกเขาจึงหัวร่อได้ตามอำเภอใจ หัวเราะเยี่ยงยโสโอหัง
ตอนที่กำลังหัวร่อได้ที่นั้นเอง ฉับพลันก็มีผู้พบว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของศิษย์สาวตางามค่อยๆ แข็งทื่อ ดวงตาที่หรี่ลงอย่างงดงามนั้นกลับเบิกลาน ั์ตาเต็มเปี่ยมด้วยความกลัวที่ยากจะอธิบายเป็คำพูด...
พวกเขายังเจออีกว่า เหล่าศิษย์กวางขาวที่กัดฟันเดือดดาลนั้น บัดนี้เบียดเสียดกันอยู่หน้ากระจกศิลา ดวงตามีแววพรึงเพริด หวั่นไหว ปลื้มปีติ และยากจะเชื่อถือ...
ไม่มีใครสนใจการกลั่นแกล้งของพวกเขาอีกต่อไป
ลางสังหรณ์ไม่สู้ดีผุดขึ้นมาในใจเหล่าหงส์ฟ้า
พวกเขาเบนหน้ามองกระจกศิลานั้น
นามของ่เี่ิและซ่งชิงหลัวที่เคยกะพริบนั้นกลับยังส่องแสงดังเดิม และนามของหลินนั่วกับเจิ้งข่ายที่เคยเจิดจรัสไร้เปรียบกลับหายสิ้นโดยยังไม่ทันกะพริบ ขณะเดียวกันด้านหลังชื่อลำดับที่ห้าของเ่ิูแห่งสำนักกวางขาว สถิติสังหารบอกเป็ตัวเลขทิ่มตำตา
สถิติสังหาร : 2
เหมือนอสนีบาต
ทั้งลานเงียบกริบ
สำนักกวางขาวทั้งสำนักประหนึ่งเป็ป่าช้า
กระทั่งลู่ิทั้งนครก็เงียบสนิทเหมือนปาฏิหาริย์
ความเงียบประหนึ่งแสงอาทิตย์อัสดงก่อนหน้าพายุฝนจะเยื้องย่างมาทักทาย
จากนั้น ในฉับพลันทันใด ไม่อาจรู้ว่าแห่งหนใดเริ่มก่อน ไม่อาจรู้ว่าใครแหกปากะโจากก้นบึ้ง
ท่ามกลางเสียงกู่ร้องยินดีดุจฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ทุกทิศทางในสำนักกวางขาว ทุกลานเปี่ยมด้วยเสียงกรีดร้องทวีคูณขึ้นอย่างไม่อาจหักห้ามไว้ได้ ตลบคลุ้งปกคลุมไปทั่วสารทิศ กลางมหรสพเสียงบานตะไทเช่นนี้ เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องและศิษย์หญิงตางาม...สั่นเทิ้มประหนึ่งลูกเป็ดกลัวฝนฟ้าคะนอง...
“เป็ไปได้อย่างไร?”
นางขาดอีกนิดหน่อยก็จะแข้งขาอ่อนเผละ ทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว
...
...
สมรภูมิหุบเขาปัดป้อง
ซ่งชิงหลัวและ่เี่ินั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น กระตุ้นกำลังภายใน รักษาอาการาเ็แข่งกับเวลา
เ่ิูยืนคุมเชิงอยู่ด้านหนึ่ง
สามสิบนาทีต่อมา ดรุณีทั้งสองก็เยียวยาาแจนอยู่ในระดับที่วางใจได้ ได้พลังพอจะสู้ศึกต่อไปกลับคืนมา
เ่ิูล้วงยาวิเศษกระจายกลิ่นหอมหวานเข้มข้นออกมาจากย่ามสารพัดประโยชน์ ส่งให้ทั้งสองนางพลางยิ้ม “นี่เป็ยาที่ข้าได้มาจากพงไพรก่อนหน้านี้ บดแล้วทาาแเสีย แผลจะหายไวขึ้น!”
สมรภูมิหุบเขาปัดป้องมีกฎเกณฑ์โดยธรรมชาติ พลังใต้หล้าเข้มข้นกว่าภายนอก และจำนวนของสมุนไพรหรือยาวิเศษก็ต้องมากกว่าภายนอกนัก อายุเองก็มากกว่า สรรพคุณของยาย่อมดีกว่า โดยเฉพาะในพงไพรไพศาลนั้น ไม่ค่อยมีผู้ใดเฉียดกรายเข้าไป ด้วยสั่งสมมาอย่างเหนื่อยยากตามวันและเวลา พืชและยาวิเศษย่อมจะทวีจำนวน
เมื่อเ่ิูออกมาจากหุบเขาหมาป่าอสูรแล้วนั้น ก็ได้เด็ดมาไม่น้อยทีเดียว นี่ก็เป็การเก็บเกี่ยวที่มากพอตัว
“พี่ชิงหยู ท่านเป็นักรบ์ประทานจริงๆ น้า เฮยๆ คราวนี้ท่านจะอยู่ช่วยพวกเราแล้วใช่ไหม?” ่เี่ิตะครุบมือเ่ิู ถูไถดวงหน้าเล็กกับท่อนแขน เอ่ยด้วยอารามเป็สุข
เ่ิูส่ายหน้าตอบ
“อ๊ะ? พี่ชิงหยูท่านจะไปไหนล่ะ?” แน่งน้อยร้อนใจนัก
“ใช่ ถ้าเ้าอยู่ต่อ พวกเราสามคนร่วมมือกัน ต้องทำลายปราการชั้นที่หนึ่งของหงส์ฟ้าได้แน่...” ซ่งชิงหลัวเองก็พูดบ้างแล้ว พลังสู้ศึกที่เ่ิูแสดงให้เห็นเป็ประจักษ์เมื่อครู่นั้น ทำให้นางตื่นตะลึงอย่างขีดสุด และก็เห็นถึงแสงแห่งความหวังรำไรอยู่ลึกๆ ด้วย
“พ่ายไปสามรอบแล้ว ดังนั้นรอบนี้ พวกเราต้องชนะ” เ่ิูมองนักรบอักขระและทหารปีศาจห้ำเืหั่นเนื้ออยู่ไกลๆ จดจ้องเทวรูปปกปักที่ไกลยิ่งกว่าพลางเอ่ย “ไม่เพียงต้องชนะ แต่ต้องชนะอย่างงดงามด้วย”
เด็กหญิงน้อย่เี่ิตาเป็ประกาย “พี่ชิงหยูต้องมีวิธีดีๆ แน่เลยใช่รึไม่?”
นางส่งแววตาเชื่อมั่นให้เขา
เ่ิูพยักหน้ารับ
“พวกเ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ เื่อื่นให้ข้าจัดการก็พอ” เด็กหนุ่มชี้นิ้วไปทางทหารสองฝักฝ่ายที่กำลังโรมรันแล้วว่าต่อ “พวกเราอยู่ในสมรภูมิหุบเขาปัดป้องชั้นนี้ นักรบและทหารปีศาจอักขระล้วนไม่มีสติปัญญา รู้แค่ต้องต่อสู้ด้วยสัญชาตญาณ ดังนั้น สิ่งที่พวกเ้าต้องทำตอนนี้ คือควบคุมแนวรบ...”