เมื่อเอ่ยถึงเื่ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ใบหน้าของต้าหลางก็มีชีวิตชีวามากขึ้น ดูท่าทางประสบการณ์การค้ากับกลุ่มพ่อค้ากลุ่มนั้นคงจะเป็ความรู้ที่มีค่าที่สุดของเขา
เพราะยังมีเวลาอีกระยะหนึ่งคาราวานค้าขายถึงจะออกเดินทาง แต่สองพี่น้องกลับไม่ได้อยู่ว่างๆ ไปวันๆ พวกเขาได้ทำน้ำตาลกรวดเพื่อนำออกไปขาย
เหมือนกับที่ซูฉีเฉียวบอก มีเงินมีความมั่งคั่ง ไม่มีเงินก็นำของไปแลก ถั่ว ข้าวเหนียว ข้าวสาลี ถั่วลิสง ของพวกนี้สามารถนำน้ำตาลไปแลกเปลี่ยนไป แน่นอนว่าหากใช้เงินสดมาซื้อ ก็คงจะคุ้มค่ากว่าการนำสิ่งของมาแลกเปลี่ยนกันแน่นอน
แต่ในหมู่บ้านชนบทมีคนยากจนอยู่มาก มีความลังเลที่จะนำเงินออกมาใช้ซื้อ จึงมักจะใช้วิธีนำสิ่งของแลกเปลี่ยน วันแรกที่ทั้งสองคนเดินทางไปยังบ้านคนอื่นๆ ก็ได้ทำการนำน้ำตาลกรวดไปขายได้เกือบสิบจิน
“น้องสาว อาชีพนี้หาเงินได้ดีจริงๆ ของที่พวกเราแลกเปลี่ยนมาได้ในครั้งนี้ก็สามารถนำมาทำเป็น้ำตาลกรวดสำหรับใช้ในครั้งหน้าได้ เงินนี้ข้าขอนับสักหน่อย แม่เ้า ได้มาตั้งสองพันกว่า…ข้าคำนวณก่อน ตรงนี้มีน้ำตาลห้าจิน ข้าวเหนียวห้าจินคิดเป็เงินนี่เท่าไรกันนะ…”
“ไม่ต้องคิดแล้ว ข้าคิดไว้ให้พวกท่านแล้ว ต่อให้การค้าขายในวันแรกจะไม่ได้อะไรมามากมายนัก แต่ก็ไม่ได้เสียเงินต้นทุนไป ซึ่งน่าจะพูดได้ว่าการค้าครั้งนี้ได้เงินมานิดหน่อยอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็วัตถุดิบที่พวกท่านแลกมาหรือว่าเงินสด พวกท่านจะต้องแยกส่วนที่เป็ต้นทุนออกมา ซึ่งก็เห็นได้ว่ามันมีจำนวนถึงครึ่งเหรียญเงินเลย ธุรกิจเล็กๆ ก็สร้างรายได้ได้ด้วยนะ อย่าดูถูกธุรกิจเล็กๆ แบบนี้เชียว” ซูฉีเฉียวถอนหายใจออกมาและได้รับเอกฉันท์จากพี่ชายทั้งสองด้วย
“ไม่ผิด เมื่อก่อนพวกเรายังดูถูกพ่อค้าที่เดินขายของตามบ้านกันเลย ตอนนี้เมื่อมาดูแล้ว พ่อค้าที่เดินขายของตามบ้านกันมาหลายปี มิน่าล่ะถึงได้มีหน้าร้านในเมืองกันได้ ธุรกิจนี้มันดีจริงๆ ไม่ได้แล้ว เอ้อหลาง พวกเรามาวางแผนกันเถอะ ระหว่างทาง นอกจากพวกเราจะบังคับรถม้าแล้วก็สามารถนำของพวกนี้มาแขวนขายได้ด้วยนะ เมื่อมีฝีมือ ไม่ว่าจะไปที่ใดก็สามารถนำออกมาขายได้ เราต้องมาวางแผนกันว่าจะเก็บของพวกนี้อย่างไร วิธีทำต้องทำอย่างไร จะขายอย่างไร…”
เมื่อเห็นพี่ชายทั้งสองหารือกัน ซูฉีเฉียวก็ยิ้มและไม่ได้เข้าร่วมด้วย เธอสอนพวกเขาแล้วว่าต้องหาเงินอย่างไร เส้นทางนี้ คงต้องเป็หน้าที่ของพวกเขาที่จะต้องก้าวเดินออกไปแล้ว
ในคืนวันนั้นหลังจากที่ทั้งคู่หารือกันเป็ที่เรียบร้อยแล้ว ในตอนรับประทานอาหาร จึงนำเงินไปให้กับนางเฉิน “ท่านแม่ นี่เป็ครั้งแรกและวันแรกที่พวกเราหาเงินได้มากขนาดนี้ กตัญญูต่อบิดามารดา ท่านแม่จะต้องเก็บไว้ให้ดี ครั้งนี้ห้ามหายอีกนะครับ” เอ้อหลางเอ่ยด้วยท่าทีขี้เล่น อันที่จริงคำว่าหายนั้นก็แฝงไปด้วยความหมายสองแง่สองง่าม
หนึ่ง คือคาดหวังว่าเงินก้อนนี้จะไม่ถูกขโมยไป สอง คือการที่บอกนางว่าอย่าได้ใจอ่อนเอาไปให้คนใจร้ายกลุ่มนั้นอีก
“พวกเ้า…แม่ไม่้า พวกเ้าเก็บเอาไว้เถอะ เงินนี้เป็เงินที่พวกเ้าเก็บเอาไว้สู่ขอภรรยา แม่ไม่รับไว้หรอก”
นางเฉินมองเงินเ่าั้ ก่อนที่ดวงตาจะเริ่มแดงอย่างรวดเร็ว และปล่อยเงินออก นี่เป็เงินที่บุตรชายของเธอหามาได้เชียวนะ วันเดียวก็หาเงินได้มากขนาดนี้แล้ว พูดได้แค่ว่าบุตรชายของเธอชายเก่งจริงๆ
“ท่านแม่ พวกท่านพี่เชื่อมั่นในตัวท่าน เก็บเอาไว้เถอะค่ะ” ซูฉีเฉียวที่มองเห็นท่าทีของมารดาที่ปลื้มปีติจึงยิ้มพร้อมกับโน้มน้าวนาง
“ไม่เอา แม่ไม่รับไว้หรอก แม่กลัว แม่กลัวว่าถึงเวลานั่นแม่จะใจอ่อน แล้วนำเงินของลูกชายที่จะเอาไว้แต่งภรรยาออกไปให้จนหมด ฉีเฉียว เ้าเป็คนเด็ดเดี่ยว เงินพวกนี้เอาไว้ที่เ้าเป็ทางออกที่ดีที่สุด มา แม่เชื่อเ้า เก็บเงินพวกนี้เอาไว้ให้พวกพี่ๆ เถอะ แม่ไม่อยากเก็บไว้ แม่กลัวว่าจะเก็บเอาไว้ไม่ได้ วันนี้…วันนี้น้าสะใภ้ใหญ่ก็มาหาแม่ มาขอยืมค่าเดินทางหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ พอแม่ให้ไม่ได้นางก็ด่าทอและจากไป”
เมื่อเอ่ยมาถึงในตอนท้าย นางเฉินก็รู้สึกไม่ค่อยสู้ดีนัก วันนี้เื่ที่สะใภ้ของน้องชายคนโตมาหานางนั้น นางไม่ได้เล่ามันให้ซูฉีเฉียวและคนอื่นๆ ฟัง เมื่อเอ่ยออกมาในเวลานี้…ก็ไม่รู้ว่าจะถูกโกรธไหม
ซูฉีเฉียวและต้าหลางมองตากัน มองเห็นความตื่นเต้นได้จากแววตาคู่นั้น
นี่ถือเป็สัญญาณที่ดี หากเป็เมื่อก่อน ไม่ว่าอย่างไรนางเฉินก็จะต้องหาทางช่วยเหลือพี่น้องของตนเองแน่นอน ครั้งนี้ถือว่าดีที่นางไม่ได้หยิบยื่นอะไรให้ และบอกออกไปว่าไม่มีเงิน มีพัฒนาการ นางเฉินกำลังพัฒนาช้าๆ ซึ่งนางสามารถเปลี่ยนแปลงได้
นี่คือความคิดแรกของซูฉีเฉียว
“ได้ ข้าจะช่วยเก็บเอาไว้ เงินพวกนี้จะเป็เงินที่ใช้สำหรับสู่ขอพี่สะใภ้ ระยะนี้พวกท่านทั้งสองคนจะต้องออกไปหาเงินใช่หรือไม่” ซูฉีเฉียวไม่ได้ปฏิเสธอีก หลังจากรับเงินเอาไว้เธอก็ได้ถามพี่ชายทั้งสองคนว่าวางแผนเอาไว้อย่างไร
……
เอ้อหลางพยักหน้าด้วยความเขินอาย “น้องสาว ข้าและพี่ชายยังไม่มีเงินทุนอะไร แต่ก็อยากจะสมทบสักหน่อย ก่อนหน้านี้มีเงินที่เก็บหอมรอมริบได้นิดๆ หน่อยๆ เงินหนึ่งตำลึงนี้ลงเป็เงินทุนทั้งหมด ไม่แน่ว่าเงินหนึ่งตำลึงนี้อาจจะกลายเป็เงินจำนวนมากในอนาคตก็ได้”
จางเฉาิพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่ผิด การเริ่มต้นทำธุรกิจถือเป็สิ่งที่ยาก แต่ว่าระหว่างทางคือสิ่งที่น่าสนุกมาก กินข้าวกันเถอะ”
ต้านิวที่เขี่ยข้าวไปมา นั่งฟังสิ่งที่พวกผู้ใหญ่พูดคุยกัน ในเวลานี้จึงเอ่ยแทรกขึ้นไปด้วยคำพูดที่ไม่ชัดเจนนัก “ท่านลุงน้ำตาลอร่อยค่ะ ต้านิวชอบ”
ต้าซวงและเสี่ยวซวงเ้าตัวน้อยทั้งสองก็ร่วมสนทนาด้วย “ข้าก็ชอบกินค่ะ”
นางเฉินหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะเลื่อนถ้วยไข่ตุ๋นไปไว้ด้านหน้าของพวกเด็กๆ “อืม พวกเ้าชอบน้ำตาลที่พวกท่านลุงทำหรือ เื่นั้นพวกเรารู้กันอยู่แล้วล่ะ มา นั่งกินกันดีๆ นะ ของพวกนี้ไม่ทำให้ฟังผุนะ หากฟันผุหมดก็จะเปลี่ยนเป็ฟันสีดำ เป็ฟันที่มีรู ขี้เหร่มากเลย”
ตอนแรกต้านิวคิดจะคัดค้าน แต่เมื่อได้ยินว่าฟันจะเป็รูก็ใจนยกมือปิดปาก “น่ากลัวมากเลย ข้าไม่อยากฟันผุมีรู”
เสี่ยวซวงก็พยักหน้าเห็นด้วย “ไม่อยากมีฟันสีดำ”
“เหมือนลุงหวัง น่าเกลียดมากเลย ข้าไม่อยากมีฟันแบบนั้น” ต้าซวงก็เอียงศีรษะและเอ่ยพูดด้วยความกลัว
ซูฉีเฉียวรู้สึกมีความสุข เด็กน้อยเหล่านี้ เวลาที่มีคนมาทำน้ำตาลกรวดที่บ้าน พวกเธอก็จะคอยพูดจาขู่อยู่บ่อยครั้ง ในเวลานี้เมื่อเด็กๆ ได้ฟังคำพูดเ่าั้ก็ใจนแทบฉี่ราด
“เอาล่ะ เมื่อรู้แล้วหลังจากนี้ก็กินน้ำตาลน้อยๆ หน่อย กินน้อยๆ หน่อยไม่เป็อะไร” เป็จางเฉาิที่ทนดูท่าทีหวาดกลัวของบุตรสาวไม่ไหวจึงเกลี้ยกล่อมด้วยความใจดี
พี่น้องทั้งหลายมีหลายหน้าที่ต้องทำ นางเฉินก็ดูแลหลานๆ ด้วยความสบายใจ คนของครอบครัวเฉินที่แสนประเสริฐ หลังจากในตอนแรกที่เคยมาหานางเฉิน ภายหลังเื่นี้ก็ไม่เกิดขึ้นอีก
จากที่ซูฉีเฉียวได้ยินข่าวมาภายหลังว่าคนพวกนั้นแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางแล้ว พวกเขาไปทำงานกับเ้าของที่ดินคนหนึ่ง ความเหน็ดเหนื่อยและความยากลำบากนั้น ไม่ต้องคิดก็คงจะรู้ดีกว่าเป็อย่างไร
ภายหลังจากนี้คนเ่าั้จะเป็อย่างไร นั่นเป็เื่ของตระกูลเฉิน ซึ่งเธอจะไม่เข้าไปยุ่งเด็ดขาด การที่ต้องทุกข์ทนกับความลำบากมันไม่ใช่ความผิดของพวกเธอ มันคือเหตุสุดวิสัย การที่มาพึ่งพิงญาติพี่น้องก็ไม่ใช่เื่ผิด เพราะไม่ว่าใครก็ย่อมมีวันที่ลำบาก ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง คนเราจะไม่มี่เวลาที่พบเจอปัญหาได้ยังไง
แต่ที่ผิดก็คือพวกเธอให้หลบภัยกลับคิดแต่จะกอบโกยโดยไม่ทำการทำงาน อยากให้ลูกหลานดูแลให้ตนเองมีชีวิตที่ดี ดูแลเหมือนเป็บรรพบุรุษ เมื่อใดก็ตามที่คนคนหนึ่งไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์และรับรู้ถึงสถานะของตนเองได้อย่างชัดเจนนั้นเป็สิ่งที่น่าเศร้าที่สุด
สิบวันหลังจากนั้น สองพี่น้องตระกูลซูได้เดินทางร่วมกับคาราวานออกไปทำการค้าขาย
สินค้าที่รถม้าขนสินค้าสองคันบรรทุกล้วนเป็ใบชา รวมไปถึงพวกผ้าทอต่างๆ อีกทั้งยังมีสินค้าชิ้นเล็กๆ มากมายจากทางใต้ด้วย
บุตรชายต้องเดินทางไกลนับพันลี้ มารดาย่อมเป็กังวลใจ หลังจากส่งบุตรชายทั้งสองออกไป นางเฉินก็ล้มป่วยนอนซมอยู่บนเตียงหนึ่งวันจึงมีอาการดีขึ้น
อันที่จริงแล้วที่บ้านยังมีเด็กน้อยอีกสามคน ที่คอยมาเรียนท่านยายอยู่ทุกวัน ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรนักหากจะต้องนอนซมอยู่บนเตียง
เนื่องจากพืชที่ปลูกส่วนใหญ่คืออ้อย ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการจัดการดูแลมากนัก
มองดูต้นอ้อยที่สูงเท่าครึ่งตัวคน ซูฉีเฉียวก็มองเห็นตัวเงินแล้ว พืชชนิดนี้ไม่ได้มีการดูแลที่ละเอียดอ่อนเหมือนกับข้าวสาลีนัก เพียงแค่เมื่อผ่านมาครึ่งทางแล้วต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกลมพัดจนล้มและเลี้ยงดูให้ลำต้นอวบอ้วน
เมื่อเป็เช่นนั้นก็ทำให้เกษตรกรมีเวลาว่างอยู่ไม่น้อย มองดูผู้คนที่เบื่อหน่ายจากเวลาว่าง ซูฉีเฉียวจึงเริ่มใช้สมอง อยากจะหาอะไรให้คนพวกนี้ทำ
ในตอนนี้จางเฉาิกลับเสนอความคิดอยากจะเผากระเบื้องมุงหลังคาขึ้นมา
“ภรรยา ตอนที่พวกเราสร้างบ้าน พวกเราใช้กระเบื้องของครอบครัวหลิวไปไม่น้อย แต่ข้าคิดว่ากระเบื้องของพวกเขาไม่ได้ดีสักเท่าไรนัก ข้าอยากเผาเอง เพียงแต่ว่าตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่าวิธีทำคือวิธีใด”
ซูฉีเฉียวที่กำลังเื่ต่างๆ อยู่ เธอคาดไม่ถึงเลยว่าจางเฉาิจะเสนอการทำอุตสาหกรรมขึ้นมาเช่นนี้ เพราะที่ผ่านมาเธอเป็ฝ่ายชี้นำเขาเพื่อทำเื่ต่างๆ มาตลอด
“ทำไมเ้าถึงอยากเผากระเบื้องล่ะ”
จางเฉาิไม่ค่อยกล้าสบสายตาของเธอ ท้ายที่สุดแล้ว ภายใต้สายตาที่เป็ผู้นำของซูฉีเฉียว เขาจึงรวบรวมความกล้าพูดออกมา
“ภรรยา ข้าได้ยินผู้คนซุบซิบนินทาว่า ข้าเจริญรุ่งเรืองได้ก็เพราะพึ่งพาเ้าจนได้กลายเป็เ้าของที่ดิน แต่ข้าไม่อยากพึ่งพาเ้าไปตลอด ข้าอยาก…มีอาชีพของตนเอง จึงอยากทำงานหนักด้วยตนเอง ข้าไม่ใช่ผู้ชายที่เลี้ยงดูลูกเมียไม่ได้ ข้าก็มีความคิดของข้าเช่นกัน”
ซูฉีเฉียวตกตะลึง ที่ผ่านมาั้แ่ที่เธอฟื้นขึ้นมา ตนเองเอาแต่คิดว่าอยากจะทำให้ครอบครัวของตนเองรุ่งเรือง
เพราะเธอมีความรู้มาก ทำในสิ่งที่ควรจะเป็ เื่ใหญ่ๆ หลายเื่ของครอบครัวนี้ ล้วนเป็เธอที่ลงมือวางแผนจัดการ
การตัดสินใจสำคัญหลายๆ อย่างเกิดขึ้นช้าๆ ทุกอย่างล้วนเป็ความคิดของเธอทั้งนั้น และจางเฉาิ ทำแค่เพียงให้การสนับสนุนเธอ เชื่อมั่นในตัวเธอ
และเธอเองก็ละเลยไปเลยสักหน่อย จางเฉาิเป็ผู้ชายคนหนึ่ง เขาไม่อยากให้มันเป็แบบนี้ไปตลอด กล่าวอีกนัยก็คือภายใต้การกระตุ้นของตัวเขาเอง เขาก็มีความกระตือรือร้นที่อยากจะเติบโต หรือว่าบางทีพี่ชายทั้งสองคนของเธอต่างก็พากันคิดเช่นนี้นะ
“ภรรยา เ้าอย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่ได้หมายความว่าเ้าทำเช่นนี้มันไม่ดีนะ ในทางกลับกัน ข้าคิดว่าการที่มีภรรยามีความสามารถนั้นเป็สิ่งที่ดีมาก ข้าเพียงแค่…” จางเฉาิเห็นเธอไม่เอ่ยปาก จ้องมองตนเองด้วยแววตาเหม่อจึงรีบอธิบายทันที
แต่ใครจะไปคิดว่าซูฉีเฉียวกลับเผยรอยยิ้มสดใสให้กับเขา ก่อนจะะโกอดคอเขาทันที
“ฮี่ๆ เฉาิเก่งมากเลย คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายของข้าจะมีความกระตือรือร้นเช่นนี้ แบบนี้ก็ดีสิ ดีเลย เื่เผากระเบื้องมุงหลังคนนั้น ข้าพอจะรู้มานิดหน่อย ไปกัน ข้าจะสอนเ้าเอง”
จางเฉาิถูกเธอให้รางวัล จนปากหุบไม่ลง และโอบกอดเอวบางๆ ของเธออย่างตั้งใจ
“ภรรยา เ้า…เ้าไม่ได้รังเกียจข้าจริงหรือ ข้า…ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเ้าจะสนับสนุนข้าด้วยความเบิกบานเช่นนี้ ฮี่ๆ…ภรรยา เ้าชมข้าอีกได้ไหม ข้าชอบ…” เอ่ยจบชายคนนี้ก็มุ่ยปากขึ้นมาอย่างหน้าด้านๆ ภายใต้่เวลานั้นเขาได้เรียนรู้ว่าต้องใช้วิธีใดในการขอจูบจากภรรยา…
เธอสะกิดเขา “ไป ไป ไปทางนู่นเลย ตอนนี้ข้ายังมีอะไรต้องทำอีกมากมายนะ จะมามัวสนใจเื่อื่นได้อย่างไร รีบไปเถอะ พวกเราจะต้องเรียนรู้การเผากระเบื้อง ข้าจะสอนพวกเ้าทำแบบหลอมกระเบื้องก่อน แล้วก็การผสมดินโคลน การทำเตาเผาเรายังต้องใช้ความเคยชิน”
ในยุคปัจจุบัน เธอเคยมีเพื่อนร่วมชั้นที่มาจากชนบท เพราะครอบครัวของเธอทำโรงงานอิฐและกระเบื้องทำมือ และเห็นว่าน่าสนุกทำให้เธอได้เรียนรู้ขั้นตอนต่างๆ ในเวลานั้น เพียงแต่ว่าเธอยังไม่เคยฝึกฝนด้วยตนเอง เธอเลยยังไม่รู้ว่าผลของมันจะออกมาเป็อย่างไร
อันที่จริงการทำสิ่งนี้ ส่วนสำคัญที่สุดคิดการผสมโคลน
สิ่งสำคัญต่อมาก็คือเตาเผา เตาเผานี้หากมันเผาออกมาได้ผลที่ไม่ดี ควบคุมไฟไม่ดี ก็จะทำให้กระเบื้องที่เผาออกมาได้กระเบื้องที่ไม่ดี
แต่ว่าขั้นตอนเริ่มแรก ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้ภายในครั้งเดียว มีประสบการณ์มากมายล้วนเกิดจากการคลำทาง ขอแค่จางเฉาิตั้งใจ ก็เชื่อมั่นได้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จ
—--------------------------------------------------------------------------