หลินฟู่อินรู้สึกว่าที่ซ่งฮูหยินกล่าวมานี้ มิใช่เพื่อตัวหลินฟู่อินแน่นอน คงมีความคิดอะไรแอบแฝงอยู่
แต่ในเมื่อเ้าบ้านเป็คนกล่าวเองเช่นนี้แล้ว หากนางไม่ตอบรับก็จะกลายเป็ว่านางเป็คนไม่รู้จักบุญคุณไปเสียแทน
“ได้ เช่นนั้นก็ขอฝากชิวหมัวมัวกล่าวขอบคุณซ่งฮูหยินแทนข้าด้วย!” หลินฟู่อินยิ้มออกมา แม้การมองสตรีเฒ่าตรงหน้าจะชวนให้อารมณ์เสียยิ่งนัก แต่นางก็นำอั่งเปามาส่ง หลินฟู่อินจึงหยิบเอาเงินหนึ่งตำลึงเงินขึ้นมาให้นางเพื่อเป็ของขวัญจากลา
ชิวหมัวมัวคาดไม่ถึงว่าเด็กบ้านนอกเช่นหลินฟู่อินจะให้เงินนางด้วย ั์ตาชราคู่นั้นจึงเป็ประกายขึ้นมา
ดูท่าว่านางและนายหญิงของนางจะดูถูกเด็กสาวตรงหน้ามากเกินไปเสียแล้ว เงินที่อยู่ในซองนี้ก็มีอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเสียด้วย
เมื่อชิวหมัวมัวจากไปแล้ว หลินฟู่อินจึงเปิดซองอั่งเปาดู และได้พบกับตั๋วแลกเงินห้าสิบตำลึงอยู่ข้างใน
นางจึงยิ้มออกมา
แม้ซ่งฮูหยินผู้นี้จะไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่ห้าสิบตำลึงเงินในอั่งเปาสำหรับการทำคลอดเพียงครั้งเดียวก็ยังนับว่าไม่น้อย
และแม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่หลินฟู่อินใส่ใจมากนัก แต่อั่งเปาซองนี้ก็ทำให้นางได้เห็นแิส่วนหนึ่งของซ่งฮูหยิน
หลินฟู่อินเก็บอั่งเปาใส่ในแขนเสื้อ และในขณะที่นางกำลังลงกลอนประตู แม่นางฉินก็รีบวิ่งมาหานางอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าแม่นางฉินดูเร่งรีบมาก หลินฟู่อินจึงยิ้มรับ
การที่นางรีบร้อนกลับมาเช่นนี้ ย่อมแน่นอนว่านางจะมาขอแป้งโม่กุ้ยเฝิ่น
นางจึงเปิดประตูอีกครั้ง แล้วยืนรอแม่นางฉินอยู่ที่ประตู
“ฟู่อิน ฟู่อิน… โชคดีนักที่เ้ายังไม่ได้ออกไป!” แม่นางฉินะโออกมาั้แ่ก่อนที่นางจะทันมาถึงตัวหลินฟู่อิน ไม่สนใจสายตาของชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาแล้วมองนางอย่างประหลาดใจเลย
“แม่นาง ช้าลงบ้างก็ได้เ้าค่ะ” หลินฟู่อินหัวเราะ จากนั้นจึงไปช่วยพานางเข้ามาในสวน แล้วเข้าไปในบ้าน “แป้งโม่กุ้ยเฝิ่นขายหมดอีกแล้วหรือเ้าคะ?”
แม่นางฉินสูดหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวพร้อมคิ้วที่ขมวดแน่น “ไม่ใช่! ครั้งนี้ข้าไม่ได้มีลูกค้ามาซื้อเป็ชุด แต่ลูกค้าทุกคนจะหยิบไปคนละสองถึงสามตลับ ถึงข้าจะไม่รู้ก็ตามว่าที่ซื้อกันเช่นนั้นเพราะเกรงว่าจะหาซื้อไม่ได้อีกในอนาคตหรือซื้อเพื่อนำไปให้ผู้อื่น”
“เช่นนั้นแล้วก็ถือว่าขายได้เร็วมาก” หลินฟู่อินพยักหน้า และถามต่อ “แม่นางพอจะรู้หรือไม่ว่าเป็ภรรยาของสกุลใด”
แม่นางฉินพยักหน้า “มีหลายรายที่เป็ลูกค้าเก่า และส่วนมากก็มักจะเป็ภรรยาของตระกูลพ่อค้า”
“เช่นนั้นแล้วก็ไม่ผิดแน่ เหล่าภรรยาจากบ้านพ่อค้าเ่าั้คงซื้อไปมอบให้ผู้อื่น” เมื่อหลินฟู่อินคิดได้เช่นนี้ก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้นอีก
ถือเป็ลางดี เหล่าสกุลที่ภรรยาเ่าั้นำแป้งโม่กุ้ยเฝิ่นไปมอบให้คงไม่ธรรมดา แปลว่าสินค้าประทินโฉมที่นางจะทำขายในอนาคตเองก็จะได้รับการตอบรับที่ดีเป็แน่
อย่างน้อยที่สุดก็ได้เริ่มก้าวแรกไปแล้ว
“หากเป็อย่างที่เ้ากล่าวจริง เช่นนั้นข้าก็จะเฝ้ารอวันที่แป้งโม่กุ้ยเฝิ่นนี้แพร่หลายไปทั่วต้าเว่ยนะ” แม่นางฉินยิ้มกว้าง กว้างเสียจนตานางหยีเป็เส้น
หลินฟู่อินกล่าวอย่างมั่นใจ “แน่นอนเ้าค่ะ ไว้ข้ามีสินค้าประทินโฉมมากกว่านี้เมื่อไร แม่นางก็รอนับเงินจนนิ้วหงิกได้เลย”
“ยอดเยี่ยม แล้วข้าจะรอนะ!” แม่นางฉินตอบรับอย่างเริงร่า ก่อนมองหลินฟู่อินแล้วกล่าว “แต่ตอนนี้เอาแป้งโม่กุ้ยเฝิ่นมาเพิ่มให้ข้าก่อน!”
หลินฟู่อินยังมีเก็บไว้ในบ้านอีกแปดขวด นางจึงตอบอย่างร่าเริง “ข้าจะให้ท่านสองขวด แต่ท่านต้องถือกลับไปเองนะเ้าคะ”
“แน่นอน วันนี้ข้าจะเอากลับไปก่อนสองขวด แล้วพรุ่งนี้ข้าจะกลับมาอีก” เมื่อแม่นางฉินเห็นหลินฟู่อินตอบรับง่ายๆ เช่นนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่านางยังมีเก็บไว้มากกว่านั้นอีก นางจึงดีใจมาก
หลินฟู่อินพยักหน้าแล้วตอบอย่างซื่อตรง “ข้ายังมีเก็บใส่ขวดไว้อีกแปดขวด ท่านมารอรับไปได้เลยในตอนที่ท่านสะดวก หรือจะให้เด็กที่ร้านมารับแทนก็ได้เ้าค่ะ”
“ไม่ละ ข้าจะมารับของเอง หากให้พวกนั้นมารับของให้ ข้าคงต้องกรีดร้องไม่ออกเป็แน่พอพวกนั้นทำขวดแตก ดังนั้นพรุ่งนี้ข้าจะมารับของเอง” แม่นางฉินหยีตายิ้ม จากนั้นจึงแหย่หลินฟู่อินต่อ “ฟู่อิน เ้าต้องรีบๆ ทำเพิ่มให้ข้านะ พวกคนมีเงินนั่นเริ่มเห็นแล้วว่ามันเป็ของดี เช่นนั้นพวกนั้นก็อาจจะมาขอซื้อในปริมาณมากเมื่อไรก็ได้”
หลินฟู่อินพยักหน้า แล้วรับคำของแม่นางฉินอย่างใจเย็น
จากนั้นแม่นางฉินจึงนึกเื่หนึ่งออก ก่อนกล่าวกับฟู่อิน “จะว่าไป ฟู่อิน เมื่อวานนี้มีเ้าของร้านขายชาดสองคนมาที่ร้านข้าเพื่อถามถึงที่มาของแป้งโม่กุ้ยเฝิ่น ข้าเลยอยากบอกเ้าว่าให้ข้าขายเ้าเดียวไปก่อนอีกเดือนหนึ่ง เมื่อเ้าทำได้มากขึ้นแล้ว เ้าจะขายให้ร้านอื่นด้วยก็ได้”
คำพูดนี้ทำให้หลินฟู่อินรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา แม่นางฉินเห็นแก่นางจริงๆ
“ได้เ้าค่ะ ข้าเองก็อยากขายให้ร้านอื่นอยู่ แต่ข้าจะขายผ่านร้านของท่าน และในตอนที่ขาย ข้าอยากให้ท่านเพิ่มราคาเข้าไปอีกตลับละหนึ่งตำลึงเพื่อเป็กำไรให้ท่านเอง” หลินฟู่อินกล่าวในสิ่งที่คิดมาั้แ่ก่อนหน้านี้ออกไป
แม่นางฉินเองก็ทำกำไรได้มหาศาลใน่หลายวันมานี้จากแป้งโม่กุ้ยเฝิ่นของหลินฟู่อิน เมื่อเห็นว่าตนได้รับความไว้ใจเช่นนี้แล้ว จึงยิ่งดีใจขึ้นอีก
“ได้ เมื่อถึงเวลาแล้วข้าจะช่วยเ้าทำตลาดด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าเ้าจะทำเงินได้มหาศาล!” แม่นางฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินฟู่อินยิ้มแล้วพยักหน้าตอบ จากนั้นแม่นางฉินจึงนำตั๋วแลกเงินสามพันตำลึงเงินออกมามอบให้หลินฟู่อิน “เมื่อวานนี้ขายไปได้เจ็ดสิบสองตลับ ข้าจึงนำเงินนี่มาให้เ้าก่อน”
หลินฟู่อินพิจารณาดูแล้วก็รับเงินมา ครั้งนี้นางไม่ปฏิเสธแล้ว จากนั้นจึงกล่าว “เช่นนั้นแล้วแม่นางก็ไม่ต้องจ่ายเพิ่มสำหรับสองสามขวดนับจากนี้เ้าค่ะ”
แม่นางฉินได้ยินก็หัวเราะออกมา “เช่นนั้นการซื้อเพิ่มอีกก็คงถูกกว่า และต่อให้ซื้อน้อยลงข้าก็ไม่ต้องเสียอะไร เงินที่ข้าหาได้ใน่หลายวันมานี้ทำให้ข้ารู้สึกราวกับอยู่ในฝันเลย”
แม่นางฉินไม่ได้กล่าวเกินจริง เพราะแป้งโม่กุ้ยเฝิ่นเริ่มเป็ที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าเองก็ถูกใจ นางจึงไม่ต้องลำบากโฆษณาเพื่อขายอีก
หลินฟู่อินเห็นว่าแม่นางฉินหยิบเงินออกมาได้นับพันตำลึงโดยไม่ลังเล จึงรู้ได้ทันทีว่านางคงมีเก็บไว้อีกมากเป็แน่
ฟู่อินคิดอยากจะย้ายไปอยู่ที่เมืองชิงเหลียนในปีหน้า แน่นอนว่านางอยากให้แม่นางฉินไปด้วย หรืออย่างน้อยๆ ก็ให้นางมีหน้าร้านที่นั่นด้วย
เมื่อเป็เช่นนั้นก็จะสามารถเปิดโอกาสให้แม่นางฉินได้ใช้พร์ของนางในการสร้างรากฐานกิจการชาดและเครื่องประทินโฉมที่ชิงเหลียนได้ และสามารถมาช่วยโฆษณาสินค้าให้หลินฟู่อินได้อีก…
เมื่อลองคิดดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว หลินฟู่อินจึงกล่าวกับแม่นางฉิน “ฤดูใบไม้ผลิหน้าข้าจะย้ายไปอยู่ที่เมืองชิงเหลียน ตอนนี้ข้ามีบ้านไว้รอแล้วและกำลังรวบรวมเงินเพื่อซื้อร้าน ข้าจึงอยากถามแม่นางฉินว่าท่านสนใจจะย้ายไปอยู่ที่ชิงเหลียนเหมือนข้าหรือไม่?”
ผิดคาด แม่นางฉินนั้นไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ทั้งนางยังมีสายตาเป็ประกายขึ้นมาอีกต่างหาก
“ข้าน่ะอยากไปที่นั่นมานานแล้ว… เพราะที่นั่นมีคนมากกว่าเมืองนี้ถึงสิบเท่า คนมีเงินก็มาก จะมีคนทำกิจการที่ไหนไม่อยากไปกัน?” แม่นางฉินกล่าวอย่างตื่นเต้น แต่จากนั้นก็มีสีหน้าหมองลง แล้วส่ายหน้า “ข้าไม่รู้นะว่าเ้าซื้อบ้านผ่านใคร แต่ข้าไม่ได้มีเส้นสายเช่นเดียวกับเ้า..”
แม่นางฉินกล่าวเื่จริง เมื่อหลายปีก่อนนี้ นางมีเงินพอสำหรับซื้อบ้านในเมืองชิงเหลียน และหลังจากที่นางทำกิจการไปได้ไม่กี่ปี นางก็มีเงินมากพอที่จะสามารถซื้อร้านใหญ่ในชิงเหลียนได้เสียด้วยซ้ำ และนางก็อยากจะซื้อด้วย แต่นางไม่มีเส้นสายในการหาซื้อเลย จนต้องยอมล้มเลิกไป
ดังนั้นนางจึงรู้สึกอิจฉาอยู่บ้างเมื่อได้ยินว่าหลินฟู่อินสามารถซื้อบ้านที่นั่นได้
เมื่อฟังคำพูดของแม่นางฉินแล้ว หลินฟู่อินจึงนึกถึงคำของพ่อบ้านของเจียงฮูหยิน ที่บอกว่าเจียงฮูหยินยังมีอสังหาริมทรัพย์อยู่อีกหลายแห่งในเมือง ดังนั้นแล้วอาจจะยังมีบ้านและร้านที่เหมาะสมกับแม่นางฉินเหลืออยู่ก็เป็ได้
นางจึงมองแม่นางฉินด้วยสายตาใสกระจ่าง กล่าวว่า “ข้าพอจะรู้จักคนที่กำลังจะย้ายออกจากเมืองชิงเหลียนอยู่ ข้าจะลองไปสอบถามให้ หากได้เื่แล้วข้าจะกลับมาบอกท่านนะเ้าคะ”
อย่างไรเสียตัวแม่นางฉินในตอนนี้ก็ยังโสด นางคงอยากหาทางทำเงินให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะได้สบายในยามแก่เฒ่าเป็แน่
เมื่อแม่นางฉินได้ยินคำพูดของหลินฟู่อินแล้วก็ซาบซึ้งมากจนต้องจับมือของหลินฟู่อินมากุมไว้ “ครึ่งชีวิตแรกของข้านั้นอาจจะไม่ได้ดีมากนัก แต่ในครึ่งที่สองนี้ได้พาให้ข้ามาพบกับฟู่อิน… เ้าเห็นใจข้าและจะลงมือเพื่อช่วยเหลือข้า แม้แต่ญาติๆ ของข้าก็ยังไม่เคยทำให้ข้ามากขนาดนี้เลย!”
ยามนี้แม่นางฉินได้มองหลินฟู่อินราวกับเป็ญาติคนหนึ่งแล้ว
เมื่อหลินฟู่อินได้ยินเช่นนี้ นางจึงเขินขึ้นมา แล้วกล่าวว่าที่นางช่วยเพราะนาง้าความสามารถของแม่นางฉินด้วย
แต่หลินฟู่อินก็คิดว่าหากแม่นางฉินเห็นด้วย เมื่อแม่นางฉินแก่ตัวจนเกษียนไปแล้ว ฟู่อินก็พร้อมที่จะเลี้ยงดูนางไม่ต่างจากญาติแท้ๆ คนหนึ่ง
ยิ่งคิดได้เช่นนี้หลินฟู่อินก็ยิ่งถูกใจแม่นางฉินมากขึ้นอีก
ทั้งสองสนทนากันอย่างเป็กันเองต่อไปอีกพักหนึ่ง แม่นางฉินก็กอดขวดเครื่องเคลือบกลับไปอย่างระมัดระวัง
หลินฟู่อินยังคงคิดที่จะไปโรงหมอสกุลหลี่อยู่ และในเมื่อแม่นางฉินคาดการณ์ไว้แล้วว่ากระแสมันน่าจะมาในอีกไม่กี่วันนี้ หลินฟู่อินจึงยิ่งต้องรีบไปทำแป้งโม่กุ้ยเฝิ่นชุดใหม่เพิ่ม
การขายแป้งโม่กุ้ยเฝิ่นเป็ขวดๆ เช่นนี้ทำเงินได้นับพันตำลึง นับได้ว่าเป็รายได้ที่เป็กอบเป็กำ
เป็กำไรมหาศาลไม่รู้กี่เท่าจากต้นทุน ชนิดที่ว่าเอาไปเล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อ
กระบวนการผลิตนั้นก็มีความซับซ้อนยิ่งกว่าการผลิตถุงหอมตามปกติของต้าเว่ยด้วย การที่ได้กำไรกลับมาเป็กอบเป็กำขนาดนี้จึงทำให้หลินฟู่อินรู้สึกโล่งใจ
เมื่อนางไปถึงโรงหมอสกุลหลี่ หลี่อี้ที่เห็นนางก็รีบออกมาต้อนรับทันที
“ฟู่อิน เ้ามาได้จังหวะพอดีเลย เมล็ดมะลิที่เ้าเคยขอให้ข้าคอยจับตาดูในตลาดให้เมื่อคราวก่อนนั่น เมื่อเช้านี้มีข่าวน่าประหลาดใจมาจากโรงหมอของสกุลหลี่ของข้าในเมืองหนิง ว่าทางนั้นได้รวบรวมเมล็ดมะลิไว้จำนวนมากในปีนี้ ข้าจึงคิดจะให้ทางนั้นส่งมาที่นี่ด้วย”
เมื่อหลินฟู่อินได้ยินชื่อเมืองหนิง นางก็นึกได้ว่าซ่งฮูหยินผู้เป็ภรรยาของเ้าเมืองเมืองหนิงได้เชิญนางไปร่วมงานที่นั่น หลินฟู่อินจึงตอบทันที “ไม่ต้องเ้าค่ะ ข้าจะไปที่เมืองหนิงนั่นอยู่แล้วในอีกไม่กี่วัน ข้าจะไปซื้อกลับมาเอง”
เมื่อหลี่อี้ได้ยินว่านางจะไปที่เมืองหนิง เขาจึงถามออกมาด้วยความประหลาดใจ “ฟู่อินจะไปที่เมืองหนิงหรือ? เ้ามีธุระอันใดที่นั่นกัน?”
ในใจเขาคิดไปว่าเพราะหลินฟู่อินเห็นว่าร้านในเมืองชิงเหลียนมีราคาสูงเกินไป นางจึงเลือกที่จะไปเมืองหนิงแทน
“ฟู่อิน ที่เมืองหนิงนั่นไม่ได้มั่งคั่งเท่าเมืองชิงเหลียนนะ เมืองชิงเหลียนของเรานั้นเป็เมืองหน้าด่านที่มีความสำคัญที่สุดในทางเหนือของต้าเว่ย ดังนั้นแล้วพูดตรงๆ ก็คือเมืองหนิงไม่อาจเทียบได้เลยแม้แต่น้อย อย่างไรการไปเปิดร้านที่เมืองชิงเหลียนก็นับเป็แผนที่ดีกว่า” หลี่อี้รีบกล่าวอย่างเป็กังวล
หลินฟู่อินเห็นเขากังวลถึงเพียงนี้ก็ยิ้มออกมา “พี่หลี่อี้ ข้าไม่ได้จะไปเปิดร้านที่เมืองหนิงเ้าค่ะ ข้ายังไม่ได้ตามืดบอดถึงเพียงนั้น”
เมื่อหลี่อี้ได้ยินว่าหลินฟู่อินไม่ได้คิดจะไปเปิดร้านที่เมืองหนิงก็โล่งใจ แต่ก็ถามนางต่อพลางเลิกคิ้ว “เช่นนั้นแล้วเ้าจะไปที่นั่นทำไมกัน? ไปเพื่อไปหาเมล็ดมะลิหรือ?”
“เปล่าเ้าค่ะ ข้าจะไปที่นั่นเพื่อเข้าร่วมพิธีสรงสามของหลานเ้าเมือง” กล่าวจบ นางก็หันไปมองหลี่อี้ด้วยสายตาเป็ประกาย ก่อนถามว่า “พี่หลี่อี้ เมื่อครู่ท่านถามข้าว่าข้าจะไปหาเมล็ดมะลิที่นั่นหรือไม่ แปลว่าที่นั่นผลิตเมล็ดมะลิได้มากหรือเ้าคะ?”
“ข้าได้ยินมาจากพวกผู้าุโที่โรงหมอเมื่อเช้าน่ะ ว่ามีหลายหมู่บ้านทางตะวันตกของเมืองหนิงที่เชี่ยวชาญด้านการปลูกต้นมะลิ และมักนำเมล็ดและรากมาขายแลกเงินให้กับพวกที่เปิดโรงหมอเช่นพวกข้า” หลี่อี้เล่าสิ่งที่ตนได้ยินมาให้ฟัง
หลินฟู่อินเข้าใจ เพราะมะลินั้นสามารถลดความร้อนสั่งสม ล้างพิษและลดอาการบวม ทั้งยังดีต่อการรักษาอาการปวดและข้ออักเสบ หนองใน ภาวะจุลินทรีย์ไม่สมดุล ลดลิ่มเื และรักษาร้อนใน
ตัวเมล็ดยังสามารถใช้ในการรักษาอาการผิวระคายเคืองได้อีก การที่ชาวบ้านจะปลูกไว้ขายย่อมเป็เื่ที่เข้าใจได้
“ข้าเข้าใจแล้วเ้าค่ะ” หลินฟู่อินยิ้ม หากมีผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกเมล็ดมะลิอยู่เช่นนี้แล้ว ก็หมายความว่าอย่างน้อยๆ ในฤดูนี้ก็ไม่ต้องกลัวสินค้าขาด
แต่นางก็คิดขึ้นมาด้วยว่านางควรจะปลูกไว้ใช้เองในอนาคต จะเป็มะลิหรือบานเย็นก็ค่อยว่ากันอีกที
เพราะอย่างไรเสียดอก ราก เมล็ด แม้แต่ใบของมะลิก็ใช้ทำเป็ยาได้ ทั้งยังไม่เลือกพื้นที่ขึ้น น้ำก็ใช้ไม่มาก จึงควบคุมการปลูกได้ง่าย
“อ้อ ว่าแต่ฟู่อิน เมื่อครู่เ้าบอกว่าจะไปเข้าร่วมพิธีสรงสามของหลานเ้าเมืองหนิงหรือ? เ้าไปรู้จักกับเ้าเมืองหนิงได้อย่างไรกัน?” หลี่อี้รู้สึกประหลาดใจกับตรงนี้ เพราะเขาไม่เคยได้ยินเื่ที่หลินฟู่อินรู้จักกับเ้าเมืองหนิงมาก่อนเลย
เมื่อเห็นว่าเขาเข้าใจผิด หลินฟู่อินจึงเล่าเื่ที่เกิดขึ้นกับรถม้าของภรรยาเ้าเมืองหนิงเมื่อวานนี้ให้หลี่อี้ฟัง
รวมไปถึงเื่ที่บนรถม้านั้นมีสะใภ้เล็กใกล้คลอดของสกุลเ้าเมืองอยู่ด้วย และเื่ที่ว่านางเป็คนทำคลอดเอง
หลี่อี้ทราบเื่แล้วจึงหัวเราะออกมา “โชคของเ้านี่มันอย่างไรกัน ในระหว่างทางเข้าเมืองไม่เพียงได้พบกับภรรยาเ้าเมือง แต่กลับได้ช่วยทำคลอดให้ด้วยอีกเช่นนี้”
หลินฟู่อินส่ายหน้าอย่างหมดแรง “ใช่หรือไม่ล่ะเ้าคะ? บางทีดวงของข้ามันก็ประหลาดเกินไปจริงๆ”
หลี่อี้หัวเราะออกมา จากนั้นจึงกล่าวต่อ “อาจารย์ของข้าเองก็จะไปที่เมืองหนิงเพื่อพบเ้าเมืองซ่งเช่นกัน ข้าก็จะตามไปด้วย เมื่อถึงวันแล้วอยากให้ข้าไปกับเ้าด้วยหรือไม่?”
หลินฟู่อินเงยหน้ามองเขาแล้วถาม “ท่านแบ่งเวลาได้หรือ”
หลี่อี้ยิ้มแล้วกล่าว “อาแปดของข้าจะมาช่วยอาจารย์ด้วย เพราะอย่างนั้นข้าจึงพอจะอู้ได้อยู่” จากนั้นเขาจึงมองหลินฟู่อิน “ข้ากลัวว่าเ้าจะไม่รู้ทางในจวนของเ้าเมืองซ่งน่ะ”
หลินฟู่อินเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามสื่อ ว่าเขากลัวว่าเด็กสาวบ้านนาเช่นนางอาจจะถูกกลั่นแกล้งในจวนของเ้าเมืองเอาได้
หากมีหลี่อี้ผู้เป็นายน้อยของสกุลหลี่ไปด้วยแล้ว เ้าเมืองซ่งก็คงไว้หน้านางมากขึ้น
“ได้เ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะเรียกท่านเมื่อถึงเวลา” หลินฟู่อินไม่ปฏิเสธน้ำใจของเขา ในใจยังคิดด้วยว่าหลี่อี้ช่างรอบคอบนัก เพราะในที่งานพิธีการเช่นนั้นย่อมมีพวกถือดีอยู่เป็แน่
“เช่นนั้นก็เป็อันตกลง” หลี่อี้กล่าว จากนั้นเขาจึงหันไปดึงเอาถุงสีน้ำตาลถุงใหญ่ออกมาแล้วกล่าวกับหลินฟู่อิน “นี่เป็เมล็ดบานเย็นที่ข้าไปหาซื้อมาจากโรงหมอหลายแห่งในเมือง เ้าเอากลับไปก่อน แล้วเอาไว้ข้าจะไปหาเพิ่มอีก”
หลินฟู่อินกล่าวขอบคุณเขา พลางมองถุงใส่เมล็ดบานเย็นนี้ด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า ดูแล้วอย่างน้อยๆ ก็สามสิบสี่จิน เพียงพอสำหรับทำโม่กุ้ยเฝิ่นแล้ว
“ฟู่อิน หากไม่มีอะไรแล้วข้าไปทำงานก่อนนะ ข้าจะให้คนช่วยขนถุงนี้ไปไว้ที่เรือนของเ้าให้” หลี่อี้กล่าว
หลินฟู่อินกล่าวขอบคุณเขาอีกครั้ง ก่อนจะนำทางคนของหลี่อี้ให้นำของกลับไปยังเรือนของนางก่อน โดยให้วางของไว้ที่สวน เรียบร้อยแล้วคนของหลี่อี้จึงกลับไป
คนของโรงหมอสกุลหลี่นั้นต่างก็มีน้ำใจกับหลินฟู่อินเป็อย่างมาก ทั้งยังเคารพนาง เมื่อใดที่นางมีปัญหาจนต้องไปหาพวกเขา พวกเขาก็พร้อมที่จะช่วยเหลือนางเสมอ
หลินฟู่อินลากถุงเข้าไปยังห้อง ‘ทดลอง’ ของตน จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึก แล้วเริ่มเตรียมวัตถุดิบเพื่อทำโม่กุ้ยเฝิ่น
ดอกหอมหมื่นลี้นั้นเป็สิ่งที่หาซื้อได้ทั่วไป เพราะมันเป็สิ่งที่ตระกูลใหญ่บางตระกูล้าเพื่อนำไปใช้ทำขนม เช่นขนมดอกหอมหมื่นลี้
หลินฟู่อินและหลินเฟินหลินฟางซื้อมันติดมือกลับมาเมื่อวันก่อน รวมไปถึงขวดเครื่องเคลือบอีกหลายขวด
สิ่งเดียวที่ขาดไปคือเมล็ดมะลิ ซึ่งตอนนี้ได้มาแล้ว
ตอนนี้วัตถุดิบจึงพร้อมสรรพแล้ว หลินฟู่อินจึงเริ่มลงมือทำตามขั้นตอนเช่นเมื่อครั้งก่อนเพื่อผลิตผง
เริ่มั้แ่ตอนกลางวัน นั่งทำไปจนหมด่บ่าย หลินฟู่อินผลิตไปได้ถึงยี่สิบขวดก่อนที่จะหยุดมือ
เมื่อลองคำนวณดู หากหนึ่งขวดใหญ่ขายได้หนึ่งพันสี่ร้อยตำลึงเงิน เช่นนั้นแล้วยี่สิบหกขวดที่มีในมือนางตอนนี้ก็จะทำเงินได้ถึงสามหมื่นหกพันสี่ร้อยตำลึงเงิน
เป็จำนวนที่แทบจะเทียบได้กับสี่หมื่นห้าพันตำลึงที่ใช้ซื้อร้านของเจียงฮูหยินเลย
และยี่สิบหกขวดนี้ หากคำนวณว่าสามารถเอาไปแยกได้ขวดละเจ็ดสิบตลับ ก็แปลว่าจะได้ทั้งหมดหนึ่งพันแปดร้อยยี่สิบตลับ รวมกับสองขวดใหญ่ที่แม่นางฉินรับกลับไปวันนี้แล้วก็จะเป็หนึ่งพันเก้าร้อยหกสิบตลับ หากไม่ได้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น โม่กุ้ยเฝิ่นกว่าสองพันตลับก็คงจะพอให้ขายต่อไปได้อีกราวหนึ่งถึงสองเดือน
แต่พ่อบ้านของเจียงฮูหยินนั้นจะยอมรอให้เพียงหนึ่งเดือนหน่อยๆ เท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้วจะขายแยก
หลินฟู่อินจึงต้องเร่งหาทางรวบรวมเงินให้ได้
แต่โชคดีที่นางเพิ่งค้นพบช่องทางขายขนมด้วย เมื่อรวมกับผลประกอบการของถั่วงอก ถั่วปากอ้าสด ไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสน รวมถึงกะหล่ำปลีแล้ว การจะเก็บเงินให้ครบสี่หมื่นห้าพันตำลึงก็คงไม่เกินมือนัก!
“หลินฟู่อิน เปิดประตูที!” หลินฟู่อินเพิ่งทำโม่กุ้ยเฝิ่นเสร็จและยังไม่ทันได้พักผ่อน ก็มีเสียงหลิวฉินดังบอกให้นางเปิดประตู
หลิวฉินมาที่นี่ทำไมกัน?
นางล้างมือ ใช้ผ้าเปียกเช็ดหน้า จากนั้นจึงรีบไปเปิดประตูให้เขา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้