“เฮ้…เพื่อนสาว…” ตู้ซิวจู๋ไล่ตามออกไปร้องเรียกหลินหวั่นชิว
เขามองนางหันกลับมา
เห็นนางถามตัวเองด้วยรอยยิ้ม “มีเื่กระไรอีก?”
ตู้ซิวจู๋หน้าแดงเล็กน้อย “เ้า…ไปดูการแสดงของนักแสดงฉินเป็เพื่อนข้าได้หรือไม่? เขาน่าจะมาทำการแสดงในอำเภอก่อนปีใหม่”
หลินหวั่นชิวชี้หน้าเขายิ้ม “ได้สิ เ้าบอกเวลาข้าล่วงหน้า ข้าจะดูก่อนว่ามีเวลาว่างหรือไม่” ไม่กล้าไปคนเดียวเลยต้องลากเพื่อนสนิทไปด้วยสินะ?
เมื่อตอนสมัยเรียน เพื่อนผู้หญิงที่สนิทกันต่างก็ไปห้องน้ำด้วยกัน ไปดูผู้ชายที่แอบชอบด้วยกัน ขนาดไปส่งจดหมายรักก็ยังต้องให้เพื่อนไปด้วย
“สมองเ้าดี ช่วยข้าคิดหาวิธีหน่อยว่าทำอย่างไรจึงจะเด่นกว่าคนอื่น เขาจะได้สนใจข้า”
ตู้ซิวจู๋ค่อยๆ เดินลงบันไดมายืนข้างหลินหวั่นชิว โน้มตัวพูดข้างหูนางเสียงเบา
หลังพูดจบก็ยืนตัวตรงทันที สายตามองไปทางอื่น
“ได้ ข้าจะช่วยเ้าคิด แต่ข้าไม่รับประกันนะ…เ้าแค่ทำให้เต็มที่เป็พอ มิมีที่ใดในโลกไร้ซึ่งต้นหญ้า หากเขาไม่มีใจ เ้าก็อย่าเสียใจเกินไป” หลินหวั่นชิวแนะนำ เพราะบุรุษส่วนใหญ่ชอบสตรีมากกว่า มีเพียงส่วนน้อยที่ชอบบุรุษด้วยกัน ในแง่ของความน่าจะเป็ หลินหวั่นชิวรู้สึกว่าโอกาสสำเร็จของตู้ซิวจู๋ไม่สูงนัก
ด้วยเหตุนี้จึงต้องแนะนำไว้ก่อน
“เมื่อได้เห็นสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งอื่นย่อมไร้คุณค่า เมื่อใจข้ามีเขา ชีวิตนี้ก็จะมีแต่เขา” ตู้ซิวจู๋หันมามองหลินหวั่นชิวอย่างดื้อรั้น พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แม้มิอาจอยู่ด้วยกัน ขอเพียงได้เจอเป็ครั้งคราวก็สุขใจแล้ว”
เ้าหมอนี่กำลังแสดงความหลงใหลให้นางดูหรือ?
“ก็ได้ เ้ามีความสุขเป็พอ!” หลินหวั่นชิวตอบ นางไม่เชื่อเื่คำสัญญาว่าจะรักกันตลอดไปตราบเท่าที่ขุนเขาและทะเลยังคงอยู่
ก่อนทะลุมิติ ทั้งเพื่อนและเพื่อนร่วมงานต่างมีอัตราหย่าร้างเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์
นางเชื่อว่าหากคนเราชอบกันก็อยู่ด้วยกันด้วยความตั้งใจ ใช้ชีวิตร่วมกัน
แต่หากไร้วาสนา ถึงเวลาปล่อยมือก็ควรปล่อยมือ
ยื้อไปก็เปล่าประโยชน์ ยิ่งยื้อนาน ความรู้สึกดีๆ ที่หลงเหลือจะยิ่งน้อย หลายคนเปลี่ยนจากคนรักเป็ศัตรู
สุดท้ายคนที่แตกสลายก็คือตัวเอง
นางรู้สึกว่าทำเช่นนั้นไม่มีประโยชน์
“บ้านเ้าขึ้นบ้านใหม่เมื่อไร?” ตู้ซิวจู๋ถาม
“วันที่แปดเดือนสิบสอง” หลินหวั่นชิวตอบ “เ้าอยากมาหรือไม่?”
“เ้าจะเชิญหรือไม่?” ตู้ซิวจู๋มองนาง แววตามีรอยยิ้ม เขาหล่อเหลามาก
“เชิญ” หลินหวั่นชิวกลอกตาใส่ “เลิกทำตาหวานใส่ข้าได้แล้ว ทำใส่ข้าไปก็เหมือนทำให้คนตาบอดดู เก็บไว้ทำกับนักแสดงฉินของเ้าเถิด”
หลินหวั่นชิวพูดจบก็หันตัวเดินจากไป
ตู้ซิวจู๋บ่นใส่แผ่นหลังนาง “ไม่มีหัวจิตหัวใจ…ชอบเล่นกับความรู้สึก…”
หลังออกจากโรงน้ำชา หลินหวั่นชิวถือโอกาสแวะไปที่ร้านเครื่องประดับจวี้ฝู ใกล้ปีใหม่แล้ว นางต้องซื้อเครื่องประดับเพิ่ม ซื้อให้ยายสวี เสี่ยวเฉ่าและเสี่ยวฮวา
รวมไปถึงป้าสองจ้าว ป้าบ้านหวาง กุ้ยเซียงและพี่สะใภ้ของกุ้ยเซียงที่ช่วยเหลือนางอยู่บ่อยๆ
ปีใหม่สื่อถึงความหวัง
นางอยากซื้อต่างหูเงินสองสามแบบ ถือว่าเป็ความตั้งใจเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง
“ไอ๊หยา เถ้าแก่หลินมาแล้ว ข้ารอท่านอยู่นานแล้ว” เฉียวว่านชิง เถ้าแก่ร้านเครื่องประดับเห็นนางเดินเข้ามาก็รีบยกงานให้ลูกน้องทำ ออกมารับหลินหวั่นชิวด้วยตัวเอง
พานางไปที่ห้องรับแขก หลินหวั่นชิวเห็นเขามีท่าทีร้อนใจก็ถาม “เถ้าแก่เฉียวมีกระไรหรือ?”
“เถ้าแก่หลิน ท่านทำเช่นนี้ไม่ถูกเลยนะ ตอนนั้นรับปากข้าว่าขายดอกไม้ลูกปัดพวกนั้นให้ข้าทั้งหมด ความจริงถ้าท่านจะขายให้ที่อื่นด้วยก็ไม่เป็ไร แต่ท่านจะเอาเปรียบข้าเช่นนี้ไม่ได้ ท่านขายให้ร้านเฟิ่งไหลดอกละร้อยอีแปะ แต่ขายให้ข้าดอกละสองร้อยอีแปะ…”
สีหน้าหลินหวั่นชิวจมลงทันที “เถ้าแก่เฉียว หลินหวั่นชิวคนนี้ขอสาบานว่าเคยขายดอกไม้ลูกปัดให้ท่านแค่คนเดียว เอาเช่นนี้ ท่านอย่าเพิ่งบอกว่าข้าเอาเปรียบ หากท่านรู้สึกว่าแพงก็อย่าเพิ่งลงสินค้าจากข้า รอดูไปก่อนว่าหลังจากนี้ร้านเฟิ่งไหลจะมีสินค้าหรือไม่”
ฟังเฉียวว่านชิงพูดเช่นนี้ หลินหวั่นชิวเข้าใจทันทีว่าเกิดกระไรขึ้น
หวางกุ้ยเซียงส่งมอบสินค้าให้นางหลายครั้งแล้ว แต่จ้าวหงฮวาเคยส่งมอบแค่ครั้งเดียว ทั้งยังน้อยจนน่าสงสัย
วัสดุที่นางให้พวกนั้นเพียงพอให้ทำได้สองร้อยดอก และนี่ยังเป็แค่ปริมาณขั้นต่ำ
“จะไม่ลงสินค้าได้อย่างไร แต่ว่าราคา…”
“ดอกไม้ผ้าราคาเดิม แต่ดอกไม้ลูกปัดดอกละหนึ่งตำลึง หากท่านยินยอมข้าจะลงสินค้าให้ ไม่ยินยอมก็ไม่เป็ไร” หลินหวั่นชิวโมโหแล้วเช่นกัน แน่นอนว่านางไม่ได้พูดเพราะความโมโห แต่เพราะหากนางยอมประนีประนอมลดราคา เช่นนั้นก็เท่ากับยอมรับว่าตัวเองขายให้ที่อื่นราคาถูก
ด้วยเหตุนี้จึงต้องใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบอก
อีกฝ่ายจะรับก็รับ ไม่รับก็ไม่เป็ไร อย่างมากก็แค่นำดอกไม้ผ้าและดอกไม้ลูกปัดไปขายในอันอี้จวีแทน
มิหนำซ้ำ ลูกปัดที่นางซื้อจากเสียนอวี๋ก็ล้วนแต่น้ำดีทั้งนั้น ลูกปัดในยุคโบราณมิอาจเทียบเคียง โดยเฉพาะไข่มุก ไข่มุกในยุคโบราณเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หาแบบน้ำดียาก ทั้งยังราคาสูง
แต่ไข่มุกส่วนใหญ่ในปัจจุบันเกิดจากการเพาะเลี้ยง อยากได้ทรงกลมหรือทรงรีล้วนมีทั้งสิ้น…ทั้งยังราคาถูก
จัดเข้าชุดกับผลึกแก้วและเพชรเทียม…
นางได้เปรียบเื่วัสดุ ไม่กลัวว่าจะขายไม่ได้
“กระไรนะ? ท่านยังจะเพิ่มราคาอีก?” เถ้าแก่เฉียวคิดไม่ถึงว่าจะขึ้นราคา เขาไม่พอใจขึ้นมาทันที
นี่จะเอาเปรียบกันซึ่งๆ หน้าใช่หรือไม่?
ดอกไม้ผ้ากับดอกไม้ลูกปัดพวกนั้นขายดีมาก ทำให้กิจการพวกเขาดีไปด้วย
“เถ้าแก่หลิน เรามาหารือกันใหม่เถิด”
หลินหวั่นชิวส่ายหน้า “ไม่ล่ะ เถ้าแก่เฉียวลองพิจารณาเองเถิด ข้าขอตัวก่อน”
เฉียวว่านชิงไล่ตามหลินหวั่นชิวจนออกจากร้านแต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจนาง เขาโมโหแล้วเช่นกัน “ช่างเถิด ใช่ว่ารูปแบบของดอกไม้ผ้าดอกไม้ลูกปัดพวกนี้จะเลียนแบบไม่ได้ ให้คนของตัวเองเลียนแบบเอาแล้วกัน”
หลินหวั่นชิวไปร้านเครื่องประดับเฟิ่งไหล เห็นดอกไม้ผ้ากับดอกไม้ลูกปัดอันคุ้นตาตั้งแสดงอย่างโดดเด่น
นางเป็คนสอนรูปแบบ วัสดุก็เป็คนซื้อ
เหอะๆ…จ้าวหงฮา เ้าเก่งยิ่งนัก!