“พวกเขาเลวร้ายเกินไปแล้ว!”
ฝูเอ๋อร์กัดฟันพร้อมกระทืบเท้า
“ถิงเอ๋อร์ เ้ากลับมาแล้วหรือ?”
ประตูในเรือนถูกผลักออกจากด้านใน น้ำเสียงแหบแห้งนั้นมีเสียงไอเจือปนอยู่ด้วย
เซี่ยถิงรุดหน้าไปประคองร่างของฮูหยินที่มีท่าทีอ่อนแอด้วยแววตาตื่นตระหนก ก่อนจะเอ่ยอย่างเป็กังวล “เหตุใดท่านแม่ถึงออกมาเล่า? หากโดนลมจนป่วยหนักอีกจะทำอย่างไรขอรับ?”
ใบหน้าของฮูหยินผู้นี้ดูใจดีอย่างยิ่ง นางยิ้มบาง แววตาไม่ได้เจือไปด้วยความสิ้นหวังและความโชคร้ายจากความเจ็บป่วยเลย “แม่ไม่ได้อ่อนแอปานนั้น หากแม่ไม่ได้เห็นเ้าแต่งงานมีลูกจะตายไปได้อย่างไร? จะว่าไปแล้วเมื่อออกมาเดิน แม่ก็รู้สึกสบายดีขึ้นเล็กน้อย”
“ท่านแม่...”
เซี่ยถิงส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย คิดจะผลักนางให้เข้าเรือนไป
“แม่ของเ้าพูดไม่ผิดหรอก”
น้ำเสียงของไป๋เซี่ยเหอฟังดูนุ่มนวลไพเราะ ทั้งยังแฝงไว้ด้วยเสน่ห์อันนุ่มนวลของจิ้งจอก
เมื่อฮูหยินมองไปที่ไป๋เซี่ยเหอ แววตาก็ฉายแววประหลาดใจ “แม่นางท่านนี้คือ?”
“ท่านแม่ แม่นางท่านนี้มีวิชาแพทย์ นางมาเพื่อรักษาท่านขอรับ”
เมื่อเซี่ยถิงกล่าวจบ สีหน้าของฮูหยินก็มืดครึ้มลง ก่อนจะเบือนหน้าหนีแล้วรีบเดินเข้าไปในเรือน จากนั้นก็ปิดประตูทันที
“ใครให้เ้าตามหมอมา? เ้าให้นางจากไปเสีย เร็วเข้า ข้าไม่อยากพบนาง”
สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนต่างงุนงง
ฝูเอ๋อร์มุ่ยปากอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “คุณหนูของพวกเราเดินทางมาไกลเพื่อรักษาท่านโดยเฉพาะ ท่านยังไม่รับรู้ถึงเจตนาดีอีก อยากให้เราไป เราก็จะไป”
เซี่ยถิงกำหมัดแน่น เขาหยิบเงินก้อนหนึ่งออกมาจากอกด้วยมืออันสั่นเทา
“ขออภัยแม่นาง ทำให้ท่านมาเสียเที่ยวเสียแล้ว ข้ารู้ว่าแม่นางไม่ได้ขัดสนเงิน แต่เงินจำนวนนี้สามารถเช่ารถม้าได้ ถือว่าข้ามอบให้เพื่อขอโทษแม่นางแล้วกันขอรับ”
ไป๋เซี่ยเหอไม่มองมือที่ถือเงินอยู่เลยแม้แต่น้อย นางเดินเข้าไปใกล้เซี่ยถิงแล้วไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูไม้
“ท่านรู้หรือไม่ว่าเพื่อที่จะหาหมอมารักษาท่าน คุณชายเซี่ยต้องตระเวนไปโขกศีรษะให้ร้านขายยาในเมืองหลวง ถูกผู้คนขับไสไล่ส่ง ถูกหัวเราะเยาะ และถูกเหยียดหยาม?”
“แม่นาง ไม่ต้องพูดแล้วขอรับ”
หยาดน้ำตาของชายชาตรีสูงเจ็ดฉื่อร่วงลงมาทีละหยด
เสียงสะอื้นไห้ดังแว่วออกมาจากหลังบานประตูไม้ ทว่ายังคงไม่เปิดประตู
“คุณหนู!”
ฝูเอ๋อร์เอ่ยปากอย่างอดไม่ได้ เหตุใดคุณหนูถึงต้องทำในสิ่งที่ผู้อื่นไม่เห็นคุณค่าด้วย? นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแทนคุณหนูเสียจริง
“ท่านต้องรู้ว่าในเมืองหลวงนี้นอกจากข้าแล้ว จะไม่มีใครมาที่นี่อีก”
เงาร่างของเซี่ยถิงสั่นเทิ้มเล็กน้อย น้ำตาไหลไม่หยุด “แม่นางไม่ต้องพูดแล้ว ท่านไปเถิดขอรับ”
แววตาของไป๋เซี่ยเหอฉายแววชื่นชม มีเพียงมารดาเช่นนี้ถึงจะอุ้มชูบุตรชายที่ยอดเยี่ยมออกมาได้
“ข้ารู้ว่าท่านกลัวว่าจะทำให้ข้าเดือดร้อน แต่ในเมื่อข้ากล้ามาที่นี่ ก็เห็นได้ชัดว่าข้าไม่เกรงกลัว เพียงจวนสกุลฉินอันเล็กจ้อยเท่านั้น สกุลไป๋ของข้าไม่เห็นอยู่ในสายตาหรอก”
ผู้าุโฉินเป็เพียงขุนนางบัณฑิตของเน่ยเก๋อขั้นสองระดับล่าง ทว่าไป๋เสียนอันคือแม่ทัพขุนนางขั้นหนึ่งระดับล่าง!
“จวนสกุลไป๋หรือ? จวนสกุลไป๋จากที่ใดกัน?”
ประตูถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน ท่าทีของฮูหยินดูร้อนใจอย่างยิ่ง กระทั่งยื่นมือมาคว้าไหล่ของไป๋เซี่ยเหอทันที
“แม่ทัพไป๋เสียนอันหรือไม่? ใช่จวนสกุลไป๋ที่เจียงฮูหยินแต่งเข้าหรือไม่?”
หว่างคิ้วของไป๋เซี่ยเหอขมวดมุ่นเล็กน้อยโดยไม่มีใครมองเห็น โรครักความสะอาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นกลับผุดขึ้นมา แม้แต่ตัวนางเองยังไม่รู้ว่าติดโรคนี้มาั้แ่เมื่อใด
ทั้งหมดต้องโทษบุรุษผู้นั้น
“เ้าค่ะ เจียงฮูหยินคือแม่ของข้า”
ดวงตาสีน้ำตาลดำของฮูหยินผู้นี้กะพริบไม่หยุดหย่อน น้ำตาจำนวนมากเอ่อล้นออกมาจากเบ้าตา
“เจียงฮูหยินสบายดีหรือไม่?”
ไป๋เซี่ยเหอมองฮูหยินที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยไม่ตอบอะไร นางไม่ทราบว่าอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์อันใดกับมารดาของนาง ดังนั้นจึงมีบางเื่ที่ไม่อาจพูดส่งเดชได้
“แม่นางอย่าได้ถือสา ชีวิตของแม่ข้าได้เจียงฮูหยินช่วยเอาไว้ จึงได้เสียกิริยาเช่นนี้ขอรับ”
ที่แท้เป็เช่นนี้เอง
“สถานการณ์ของแม่ข้ายากจะเอื้อนเอ่ย ทว่าวันนี้ข้ามาเพื่อดูอาการของท่าน”
“ตกลงๆๆ”
ฮูหยินไม่ได้คัดค้านอีก นางเดินนำไป๋เซี่ยเหอเข้าไปในเรือน และให้ความร่วมมือกับการตรวจชีพจร
ไป๋เซี่ยเหอมองบานหน้าต่างที่ปิดสนิทจนลมไม่ถ่ายเทแล้วส่ายศีรษะ “เปิดหน้าต่างรับลม ยิ่งอากาศอุดอู้ก็จะยิ่งป่วยหนัก”
เซี่ยถิงทำตามทันทีโดยไม่ตั้งคำถามใดๆ
เมื่อเปิดหน้าต่าง ในเรือนก็สว่างขึ้นหลายระดับ
“เป็อาการไอเรื้อรังโดยไม่รักษา”
เมื่อถ้อยคำนี้เอ่ยออกมา เซี่ยถิงก็รู้สึกผิดยิ่งขึ้น
ทว่าฮูหยินไม่ได้โทษเซี่ยถิง นางเพียงตอบรับอย่างยินดีเท่านั้น
“ข้าจะออกใบสั่งยาให้ท่าน”
เซี่ยถิงใช้มือบิดชายเสื้อคลุมที่ซักจนซีดขาว ก่อนจะถามอย่างไม่สบายใจ “ยาแพงหรือไม่ขอรับ?”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เต็มใจรักษามารดา ทว่าสิ่งที่ขายได้ในบ้านก็ขายไปหมดแล้วเพื่อนำเงินมาใช้ในการดำรงชีวิต ตอนนี้เขามีเงินเหลืออยู่ไม่เท่าไร
“ฝูเอ๋อร์จะไปกับเ้า”
“แม่นาง นี่...”
ไป๋เซี่ยเหอเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะขัดจังหวะด้วยท่าทีเฉยเมย “แม่ของข้าเคยลำบากช่วยชีวิตเ้า ข้าไม่อาจมองดูเฉยๆ ได้”
แม้ว่าถ้อยคำไม่น่าฟัง ทว่ากลับทำให้ทั้งสองคนไม่อาจโต้แย้งอีก
เซี่ยถิงคุกเข่าลงกับพื้น เอ่ยคำสาบานต่อ์ “จากนี้ไปชีวิตของเซี่ยถิงเป็ของแม่นางไป๋แล้ว ต่อให้บุกน้ำลุยไฟก็จะไม่ย่อท้อขอรับ”
ฝูเอ๋อร์ปิดปากยิ้มพลางชูสองนิ้ว “ถ้อยคำนี้ ท่านพูดมาสองรอบแล้ว”
เซี่ยถิงเกาศีรษะ “เพราะข้าไม่รู้จริงๆ ว่าจะตอบแทนพระคุณของคุณหนูอย่างไรขอรับ”
หลังออกใบสั่งยา เซี่ยถิงก็เดินนำฝูเอ๋อร์ออกไปด้านนอก
ภายในเรือน
ฮูหยินได้บอกเล่าเื่ราวในอดีตที่ฝังอยู่ในก้นบึ้งหัวใจ ขณะเล่านางก็ร้องไห้พร้อมกับส่งเสียงไอออกมา
สมัยยังเยาว์วัย นางเองเป็ถึงคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ มีคนรักที่คบหากันั้แ่เด็ก ทว่าผู้ใดจะคาดเดาได้ว่าในวันที่ตระกูลของนางประสบปัญหา นางจะถูกขับไล่ออกจากตระกูล
ไม่นานนางก็พบว่าตนเองตั้งครรภ์
หลังจากขายข้าวของทั้งหมด นางได้เช่าเรือนหลังหนึ่งเพื่อดูแลครรภ์ให้ปลอดภัย ทว่าผู้ใดจะรู้ว่านางจะประสบกับภาวะคลอดบุตรยาก
ยามที่คิดว่าตนเองช่างเกิดมาอาภัพนักและกำลังจะตาย เจียงเยว่เสียนที่ผ่านทางมาและได้ยินเสียงกรีดร้องก็พุ่งเข้ามาในเรือนของนาง
ช่วยให้นางและทารกในครรภ์คลอดออกมาอย่างปลอดภัย
หลังล่วงรู้สิ่งที่นางประสบ เจียงเยว่เสียนก็ทิ้งเงินก้อนหนึ่งไว้ เพราะเงินก้อนนี้นางจึงสามารถเลี้ยงดูบุตรชายให้เติบใหญ่ได้
ไป๋เซี่ยเหอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ความเย่อหยิ่งอันทรงเกียรตินั้นแผ่ออกมาจากส่วนลึกที่สุดของสายเื
ความปรารถนาที่จะรักษาเจียงเยว่เสียนให้หายก็แรงกล้ามากยิ่งขึ้น!
เมื่อเซี่ยถิงกลับมาพร้อมกับฝูเอ๋อร์ ฝูเอ๋อร์ก็เคี่ยวยาให้ฮูหยินดื่มอย่างรวดเร็ว หลังดื่มยาไปแล้ว ฮูหยินก็นอนหลับไปทันที
“เ้าเต็มใจที่จะติดตามข้าหรือไม่?”
ไป๋เซี่ยเหอเอ่ยถามเซี่ยถิงที่กำลังเหน็บมุมผ้าห่มให้มารดา
เซี่ยถิงชะงัก มือของเขายังคงค้างอยู่ในท่าเหน็บมุมผ้าห่ม ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าติดตามท่านได้หรือขอรับ?”
“ถ้าเ้าคิดว่าได้ก็ย่อมได้”
“ข้าเต็มใจขอรับ!”
เซี่ยถิงเอามือถูดวงตาที่แดงก่ำอย่างแรง
เขามีชีวิตใหม่แล้ว!
“คืนนี้เ้าไปรอข้าที่บ่อนพนันว่านก้วน”
ไป๋เซี่ยเหอลดเสียงลงเพื่อไม่ให้ฝูเอ๋อร์ได้ยิน
บ่อนพนันว่านก้วน?
นั่นไม่ใช่บ่อนพนันที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงหรอกหรือ? เหตุใดถึงให้เขาไปพบที่นั่น?
เพียงแต่ต่อให้จะมีความสงสัยในใจมากเพียงใด เซี่ยถิงก็ไม่ได้ถามออกไป เขาทำได้เพียงตอบรับเท่านั้น
“ขอรับ”
ไป๋เซี่ยเหอพยักหน้าอย่างพึงพอใจกับท่าทีที่ลูกน้องจำเป็ต้องมี
พูดให้น้อย ฟังให้น้อย และสงสัยให้น้อยคือเงื่อนไขพื้นฐาน
นี่คือบททดสอบแรกของเซี่ยถิง
เห็นได้ชัดว่าเขาผ่านบททดสอบแล้ว
------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้