สิบวันต่อมา ณ แคว้นต้าจิน ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของพ่อค้าถัง
ยามนี้ บรรยากาศในท้องพระโรงเต็มไปด้วยความอึดอัด เมื่อเหล่าขุนนางต่างก็จ้องมองฮ่องเต้ ที่เอาแต่นั่งนิ่งบนบัลลังก์ั โดยไม่มีใครกล้าเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
ข้าราชบริพารในชุดเหลืองที่ยืนอยู่กลางท้องพระโรง กล่าวรายงานด้วยใบหน้าซีดเผือด “ฝ่าา ยามนี้แคว้นเฉินได้สวามิภักดิ์ต่อสกุลกู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ โดยมีเกาเซียนจือเป็ผู้นำทัพเฉิน... ไม่สิ! ควรเรียกว่ากองทัพของสกุลกู่จึงจะถูก
ตอนนี้ พวกเขากำลังเคลื่อนทัพมายังแคว้นเรา ขณะเดียวกัน สี่แคว้นใกล้เคียงก็พบกับความปราชัยไปแล้ว!”
“แคว้นต้าเฉิน? เฉินเหลี่ยงอี้ สวามิภักดิ์เข้ากับกู่ไห่ หรือเขาจะเต็มใจให้เป็เช่นนั้น?” ฮ่องเต้จินเอ่ยด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนัก
“กระหม่อมก็มิอาจทราบได้ ว่ากู่ไห่ร่างสนธิสัญญาอะไร จึงสามารถทำให้เฉินเหลี่ยงอี้ยอมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนจะเตรียมการมานานพอสมควร กู่ไห่จึงให้คนของตนแฝงตัวเข้ามา ทำหน้าที่ในแคว้นเฉินหลายต่อหลายคน” ขุนนางในเครื่องแบบสีเหลืองพูดอย่างสับสน
“ไม่มีการต่อต้านหรือ?”
“มีพ่ะย่ะค่ะ เ้าเมืองหลายคนก็แข็งข้อ ไม่้าที่จะสวามิภักดิ์ต่อสกุลกู่ แต่ก็ถูกบุกเข้ายึดครองทันที โดยมีกองทัพะ[1]ร่วมด้วย มีเสียงของผู้คนมากมายที่แสดงความไม่พอใจ แต่เมื่อได้รู้ว่าไร้ซึ่งแผ่นดินของแคว้นเฉินแน่แล้ว จึงยอมเข้าร่วมกับสกุลกู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ชาวบ้านมิได้้าให้บ้านเมืองของตนเป็อิสระหรอกหรือ?”
“น้อย... น้อยมาก! สกุลกู่เรียกได้ว่าเป็ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในหกแคว้น และใน่ไม่กี่สิบปีให้หลังมานี้ ก็มีชื่อเสียงมาก จึงเป็ที่ยอมรับของประชาชน มากกว่าราชวงศ์เฉินเสียด้วยซ้ำไป ดังนั้นพวกเขาจึงรับการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก” ขุนนางเครื่องแบบสีเหลืองเอ่ยเสียงขื่น
“กู่ไห่ช่างมีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่นัก ด้วยพลังของตระกูลเพียงตระกูลเดียว กลับ้าที่จะรวมแคว้นทั้งห้าให้เป็หนึ่ง?”
“ฮ่องเต้ แม้ว่าสกุลกู่จะเป็เพียงตระกูลหนึ่งเท่านั้น แต่อิทธิพลของสกุลกู่นั้นกลับไม่ธรรมดา ยกตัวอย่างเช่นด้านอุตสาหกรรม ตระกูลกู่ก็เป็ดั่งผู้นำในการปกครองและบริหารตลอดมา
พวกเขาเป็ตระกูลวาณิชที่ไม่แสดงตัว ทว่ามีอำนาจดั่งแคว้นที่หก ท่ามกลางห้าแคว้น แต่ทำให้ผู้คนเข้าใจว่าตระกูลของตนเป็เพียงตระกูลเล็กๆ มาโดยตลอด” ขุนนางในเครื่องแบบเหลืองกล่าว พลางฝืนยิ้ม
“ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้กู่ไห่ได้ก้าวขึ้นไปอีกขั้นแล้ว มีผู้ฝึกตนอยู่ใต้อาณัติเขามากถึงสามพันคน หากเทียบกับกองทัพมนุษย์ธรรมดาของเรา ข้าเกรงว่า...” ขุนนางในเครื่องแบบสีเหลืองเอ่ย ใบหน้าเริ่มถอดสี
“รายงาน! องค์ชายสามขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” เสียงที่แฝงไว้ด้วยความกังวล ดังมาจากด้านนอกห้องโถง
“โอ้! องค์ชายสาม ผู้ฝากตัวเป็ศิษย์สำนักติงหลง กลับมาแล้วหรือ?” เหล่าขุนนางต่างแสดงความชื่นชมยินดี
“พาตัวมา!” ฮ่องเต้จินสั่งเสียงดัง
หายไปพักหนึ่ง นายทหารเฝ้าหน้าประตูจึงยกเปลที่มีร่างขององค์ชายสามเข้ามา แล้วร่างอาบโลหิตสีแดงสด ก็ปรากฏแก่สายตาของทุกคน ร่องรอยฟกช้ำและอาการาเ็ซึ่งมีอยู่ทั่วร่าง รวมทั้งผมเผ้าอันฟูฟ่องนั้น ทำให้ร่างในเปลตอนนี้ดูหมดสภาพ ไม่น่ามอง
“องค์ชายสาม?” เหล่าขุนนางต่างมองดูร่างเปื้อนเืด้วยความตื่นตระหนก เหตุใดร่างบนเปลจึงได้มีสภาพบอบช้ำกลับมาเช่นนี้
“เกิดอะไรขึ้นกับองค์ชาย?” ฮ่องเต้จินถาม ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากบัลลังก์ั
แม้ว่าองค์ชายสามจะมิได้เป็องค์รัชทายาท ทว่า ในสายตาขององค์ฮ่องเต้จินนั้น องค์ชายสามกลับมีความสำคัญยิ่งกว่าเสียอีก เพราะมีทักษะและความสามารถสูง สามารถฝึกตนเพื่อก้าวสู่การเป็เซียนได้ เทียบกับตนเอง ที่แม้ว่ายามนี้จะเป็ถึงฮ่องเต้ แต่ก็มิได้มีชีวิตอันเป็นิรันดร์อย่างที่หวังแต่อย่างใด
“ท่านพ่อ ลูกได้ยินรายงานการรบจากแนวหน้า ด้วยเหตุนี้จึงรีบกลับมาทันที” องค์ชายสามยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน
“เกิดอะไรขึ้น? ผู้ใดกล้าทำกับเ้าเช่นนี้ เ้าไม่ได้อยู่ที่สำนักติงหลงหรอกหรือ?” ฮ่องเต้จินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อา! ไม่มีสำนักติงหลงอีกแล้ว” องค์ชายสามเอ่ยเสียงสั่นอย่างเ็ป
“เป็ไปไม่ได้! หมายความว่าอย่างไร? เ้าและเหล่าศิษย์สำนักติงหลงทั้งหมด มีกันอยู่หลายพันคน เหตุใดจึงจะล่มสลายได้เล่า?” ฮ่องเต้จินถามด้วยความกังขา
“ทันทีที่กู่ไห่ไปเยือนสำนักติงหลง เหล่าศิษย์รวมถึงท่านหัวหน้าสำนัก ก็ยากจะเอาชีวิตรอด เหลือศิษย์เพียงสิบกว่าคนเท่านั้น ที่หนีออกมาได้!” องค์ชายสามกล่าวเสียงสั่น
“อะไรนะ?” เหล่าขุนนางได้ยินเช่นนั้น พลันอุทานอย่างใ
“กู่ไห่? เป็เช่นนั้นได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าเขาเพียง้าเลื่อนระดับพลังของตนเท่านั้นหรอกหรือ? แล้วจะมาเป็ศัตรูกับสำนักติงหลงได้อย่างไร?” ฮ่องเต้จินถามกลับอย่างไม่เชื่อหูของตัวเอง
“เป็ศัตรูกับสำนักติงหลงเพราะเหตุผลใด ข้าก็ไม่อาจรู้ได้ แต่กู่ไห่กลับมาคราวนี้ ได้ทำลายพรรคต้าเฟิงไปก่อน จากนั้นก็เป็สำนักชิงเหอ ต่อด้วยสำนักซ่งเจี่ย และไม่นานมานี้ ก็ถึงคราวของสำนักติงหลง” องค์ชายสามพูดอย่างขมขื่น
ทั้งเหล่าขุนนางและฮ่องเต้จินต่างพากันตะลึงงัน
กำจัดผู้ฝึกตนไปทีละสำนัก? ได้ยินเช่นนั้น ความเงียบงันก็เข้าปกคลุมไปทั่วท้องพระโรงทันที
“เป็ไปไม่ได้ กู่ไห่จะเก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ พลังของเขาเพิ่งจะอยู่ในระดับก่อ์เองมิใช่หรือ?”
“ข้าได้ยินมาว่า ศิษย์สำนักซ่งเจี่ยโดนปลิดชีพอย่างโหดร้าย กู่ไห่เพียงคนเดียว สังหารศิษย์ซ่งเจี่ยไปมากถึงห้าพันคน” องค์ชายสามเล่าเสียงสั่น
เหล่าขุนนางและฮ่องเต้จินนิ่งงัน
ท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง
“รายงาน!” ผู้ส่งสารปรี่เข้ามาในโถง
“ทูลฮ่องเต้มีข่าวมาว่า ยามนี้เมืองเปียนจินกำลังถูกล้อมโจมตีจนแตกพ่าย โดยกองทัพของเกาเซียนจือพ่ะย่ะค่ะ!” ผู้ส่งสารทรุดตัวลงคุกเข่า พร้อมกล่าวรายงาน
เหล่าขุนนางและฮ่องเต้จินถึงกับไร้คำพูดไปแล้ว
พรรคต้าเฟิง? สำนักชิงเหอ? สำนักซ่งเจี่ย? สำนักติงหลง?... สี่สำนักผู้ฝึกตน?
กู่ไห่ไล่กวาดล้างไปทีละสำนัก? ไม่แปลกใจเลย ว่าเหตุใดเขาจึง้าที่จะรวบรวมแผ่นดินให้เป็ปึกแผ่น? ไม่แปลกเลย ที่เขาจะกล้ารวบรวมแคว้นต่างๆ ให้เป็ผืนแผ่นดินเดียวกัน? เพราะสำนักใหญ่ที่คอยดูแลแคว้นต้าจินเอง ในยามนี้ก็ได้ถูกทำลายไปแล้วเช่นกัน!
“กู่ไห่?... กู่ไห่!” ฮ่องเต้จินรู้สึกราวกับดวงตาของตนกำลังจะมืดบอด เขากำหมัดแน่นอย่างนึกเจ็บใจ เมื่อต้องยอมรับความจริง ว่าตนเองไร้ซึ่งกำลังที่จะต้านทานอีกฝ่าย
ตุ้มๆๆๆๆๆ!
เสียงกลองดังขึ้นที่บริเวณด้านนอกท้องพระโรง
“เกิดอะไรขึ้น?” ฮ่องเต้จินถาม พลางมองออกไปข้างนอก
ไม่ช้า ทหารยามก็รีบวิ่งเข้ามา “ทูลฮ่องเต้ หัวหน้าพ่อค้าของหอการค้าสกุลกู่ขอเข้าเฝ้าฝ่าา แต่เพราะถูกสั่งห้าม เขาจึงตีกลองร้องทุกข์ เพื่อร้องขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”
“กลองร้องทุกข์? หากพวกชาวบ้านทุกข์ร้อนก็จะมาตีกลองเพื่อขอยื่นฎีกา ไม่ว่าจะเจอเื่คับข้องใจใดๆ ก็ตาม ก็สามารถมาตีกลองร้องทุกข์ เพื่อทวงความเป็ธรรมให้ตัวเองได้ ทว่า ก็ต้องแลกมาด้วยการถูกโบยแปดสิบครั้ง หรือไม่ก็จ่ายค่าปรับเสียก่อน” องค์ชายสามกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ในยุคนี้ ไม่น่าจะมีผู้ใดใช้วิธีการโบยแล้วละ”
“ให้เข้ามา!” ฮ่องเต้จินเอ่ยเสียงหนักแน่น
“ไม่สิ! เ้ากรมพิธีการซื่อหลาง... เ้าไปเชิญเขาเข้ามาเถอะ!” ฮ่องเต้จินบัญชาทันที
“พ่ะย่ะค่ะ!” หนึ่งในขุนนางแยกตัวออกไป
บรรยากาศภายในท้องพระโรงกลับมาอึดอัดอีกครั้ง องค์ชายสามถูกหามไปยังห้องข้าง ท่าทีของเขาในเวลานี้ดูสับสนยิ่ง กับเื่ที่กำลังเกิดขึ้น
เพียงครู่หนึ่ง เ้ากรมพิธีการซื่อหลางก็นำชายชราผมขาว เข้ามาในท้องพระโรง แม้ชายชราผู้มาใหม่จะเงียบขรึม แต่ก็ดูไม่น่าจะมีพิษภัยอะไร ดวงตาคมเหลือบมองชายสองคนในชุดคลุมสีดำ ที่เหมือนจะคอยทำหน้าที่ในการอารักขาตนเอง
“หัวหน้าพ่อค้าถัง... เชิญ!” เ้ากรมพิธีการซื่อหลางกล่าวอย่างสุภาพ
หัวหน้าพ่อค้าถังยกยิ้มเล็กน้อย แววตาแห่งความสุขฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้น ในอดีต เขาเคยเป็เพียงหัวหน้าหอการค้าแห่งแคว้นต้าจิน ทว่าบัดนี้ กลับได้รับสายตาเกรงใจจากเหล่าขุนนางที่เคยดูถูกตน
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในแคว้น ตำแหน่งของขุนนางก็ย่อมต้องมีการปรับเปลี่ยน... หัวหน้าพ่อค้าถังจะไม่ยินดีได้อย่างไร?
หลังจากที่เข้าไปในท้องพระโรงแล้ว หัวหน้าพ่อค้าถังก็มิได้เอ่ยถวายบังคมฮ่องเต้ ซึ่งเป็สิ่งที่เขาพึงกระทำเป็อย่างแรกแต่อย่างใด แต่กลับมองดูชายชุดคลุมสีดำทั้งสอง ที่ยืนอยู่ด้านหลังตน
“ขอบใจเ้าทั้งสองที่คอยดูแล” หัวหน้าพ่อค้าถังเอ่ยเสียงเรียบ
“ท่านหัวหน้าพ่อค้าถัง เราเพียงทำตามคำสั่งของนายท่านเท่านั้น อย่าได้สนใจพวกเราเลย เชิญทำธุระของท่านเถิด” หนึ่งในชายชุดคลุมสีดำเอ่ยเสียงต่ำ
ได้ยินเช่นนั้น หัวหน้าพ่อค้าถังจึงพยักหน้าตอบรับ
เหล่าขุนนางต่างมองดูองครักษ์ทั้งสองของพ่อค้าถัง ด้วยสายตาเรียบเฉย คงจะเป็คนของสกุลกู่... นี่คือสองในสามพันคนจากกองทัพะที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของกู่ไห่หรือ?
ใช้ผู้เป็ะมาอารักขาคนธรรมดา? เหล่าขุนนางต่างไม่ค่อยเข้าใจในจุดประสงค์ของการทำเช่นนี้เท่าใดนัก แต่ก็ทำให้มองเห็นความมุ่งมั่นของกู่ไห่แล้ว
“กระหม่อม หัวหน้าพ่อค้าถังชูแห่งสกุลกู่ ในที่สุดก็ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้จิน” ถังชูกล่าวด้วยความสุภาพและนอบน้อม
พ่อค้าถังใช้คำว่า ‘ได้เข้าเฝ้า’ แทน ‘ถูกเรียกให้เข้าเฝ้า’ เป็การบ่งบอกว่าคนตรงหน้ามาในฐานะของราชทูต มิใช่คนใต้อาณัติของฮ่องเต้จินเหมือนเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว
“หัวหน้าพ่อค้าถัง? ท่านคือตัวแทนจากสกุลกู่อย่างนั้นหรือ?” ฮ่องเต้จินถามกลับเสียงเรียบ
“ใช่แล้ว! สกุลกู่คือเ้านายของกระหม่อม” พ่อค้าถังตอบกลับพลางยกยิ้ม
“สกุลกู่บุกรุกเข้ามาในเขตแดนของข้า เช่นนี้แล้ว เ้ายังจะกล้าย่างเท้าเข้ามาในท้องพระโรงอยู่อีกอย่างนั้นหรือ?” ฮ่องเต้จินเอ่ยเสียงเข้ม
ท่าทีเคร่งขรึมของฮ่องเต้จิน มิได้ทำให้ถังชูเกรงกลัวแต่อย่างใด มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเท่านั้น
ถังชู เคยเป็หัวหน้าพ่อค้าที่ดูแลการค้าของแคว้นจิน เขาว่าจ้างคนจำนวนมาก ที่มีความสามารถเข้ามาบริหารงาน ยิ่งกว่านั้น ตอนที่เขามาทำหน้าที่ในการบริหารจัดการที่แคว้นจิน ก็ยังเป็คนผู้หนึ่ง ซึ่งมีแนวโน้ม ว่าจะได้เลื่อนขึ้นเป็หัวหน้าใหญ่ ตำแหน่งของเขา อาจจะมาแทนที่ตำแหน่งของฮ่องเต้ในไม่ช้า จึงไม่แปลกใจนัก ที่ใครๆ ต่างก็ต้องเกรงขามในอำนาจของเขา
“ฝ่าา ครั้งนี้กระหม่อมไม่ได้มาเพื่อโต้คารมกับพระองค์ และไม่อยากเอ่ยอะไรให้มากความ องค์ชายสามอยู่ที่นี่แล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นกระหม่อมก็จะกล่าวในสิ่งที่องค์ชายสามมิได้พูดถึง” หัวหน้าพ่อค้าถังชูยกยิ้ม
ฮ่องเต้จินมองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาเ็า
“ฝ่าา ได้โปรดอย่ามองกระหม่อมด้วยสายตาเช่นนั้น บัดนี้ สกุลกู่ของกระหม่อม มิได้เป็หนี้อะไรพระองค์ ตรงกันข้าม พระองค์สิกลับเป็หนี้สกุลกู่ของกระหม่อมมากมายจนนับไม่ถ้วน!
ั้แ่เื่ส่วนพระองค์ไปจนถึงเื่ของแคว้น พระองค์มิได้เอาเงินทองจากสกุลกู่ไปใช้หรอกหรือ?” หัวหน้าพ่อค้าถังยิ้มเยาะ
“หือ?” เหล่าขุนนางต่างมองเขา พร้อมขมวดคิ้วแน่น
“อย่าได้คิด ว่าพระองค์จะสามารถปกครองแคว้นได้อย่างมั่นคงถึงเพียงนั้น ใน่ไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา มีน้ำท่วมห้าครั้ง และภัยแล้งรุนแรงอีกหกครั้ง แต่ละครั้งที่แคว้นต้าจินพบภัยพิบัติ ท้องพระคลังล้วนว่างเปล่า เพราะเงินทองถูกนำออกมาเพื่อช่วยเยียวยาผู้ประสบภัย และลดความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น
หากไร้ซึ่งความช่วยเหลือจากสกุลกู่ของกระหม่อม แคว้นของพระองค์คงจะย่ำแย่ถึงขีดสุด สำนักติงหลงที่พระองค์เคยพึ่งพิง พวกเขาเคยดูแลฝ่าาหรือไม่?“ หัวหน้าพ่อค้าถังกล่าว พลางยกยิ้ม
“ปีนี้ พื้นที่หลายพันลี้ทั่วแคว้นต้าจินต้องเผชิญภัยแล้ง ทำให้เก็บเกี่ยวพืชผลไม่ได้ หากสกุลกู่ยุติการให้ความช่วยเหลือ กรมพระคลังของพระองค์จะมีข้าวมากพอที่จะแจกจ่ายให้กับประชาชนอย่างนั้นหรือ?
เมื่อพวกเขาอดอยาก ก็จะลุกขึ้นมาโค่นล้มพระองค์ นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” หัวหน้าพ่อค้าถังพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“หัวหน้าพ่อค้าถัง เ้า้าจะพูดอะไร?” ฮ่องเต้จินถามเสียงเย็น
“ครานี้ ในนามของตัวแทนสกุลกู่ กระหม่อมจะส่งมอบสำเนาหนังสือยอมจำนน ให้กับราชวงศ์จิน หวังว่าพระองค์จะไตร่ตรองให้ดี และใช้โอกาสนี้ในการกอบกู้ มิให้แคว้นต้าจินต้องตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่” หัวหน้าพ่อค้าถังยื่นม้วนผ้าไหมให้
“หนังสือยอมจำนนอย่างนั้นหรือ?” ฮ่องเต้จินเอ่ยเสียงเยียบเย็น
เหล่าขุนนางตกอยู่ในความโกลาหลทันที ต่างเคียดแค้นแทบจะอดใจไม่ไหว ที่จะสังหารถังชู
“หนังสือยอมจำนน ไม่ว่าพระองค์จะยอมจำนนหรือไม่ มันก็เป็แค่เื่ของเวลา หากชาวบ้านต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พระองค์คิดว่าผลลัพธ์มันจะต่างกันตรงไหน อย่างไรก็ตาม ‘แคว้นไช่’ เพื่อนบ้านใกล้เคียงของพระองค์ ก็ยอมจำนนแล้ว” ถังชูยื่นหนังสือไปตรงหน้า ก่อนถอยหลังออกมา
“ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าจิน กระหม่อมคงต้องขอตัวก่อน คิดว่าพระองค์คงจะ้าเวลา ในการคิดทบทวนเกี่ยวกับเื่นี้ ยามใดเมื่อพระองค์ทรงได้คำตอบแล้ว โปรดแจ้งให้พวกเราทราบ กระหม่อมพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมสกุลกู่ ด้านนอกพระราชวัง” ถังชูกล่าว พลางยิ้มเล็กน้อย
ว่าแล้ว ชายชราก็หมุนตัว เดินออกจากท้องพระโรงไป พร้อมกับองครักษ์ในชุดคลุมสีดำทั้งสอง
อกแกร่งขยับขึ้นลงตามลมหายใจเข้าออก ยามนี้ฮ่องเต้จินพยายามอย่างหนัก ที่จะระงับโทสะที่กำลังปะทุขึ้นในใจ เหล่าขุนนางต่างก็นึกโกรธแค้นเช่นกัน แต่บางคนในกลุ่มกลับกำลังครุ่นคิดแผนการบางอย่าง ดวงตาหรี่เล็กคู่นั้น จึงได้เผยความชั่วร้ายออกมา
--------------------------------------
[1] กองทัพะ คือ กลุ่มนักโทษสามพันคนจากหุบเขาคนโฉด ซึ่งติดตามกู่ไห่มาจากพรรคต้าเฟิง หรือที่ในบทอื่นๆ เรียกว่า ‘กลุ่มคนโฉด’ นั่นเอง แต่สำหรับแคว้นต่างๆ จะมองว่าคนเหล่านี้คือ ‘กองทัพะ’ เพราะทุกคนล้วนเป็ผู้ฝึกตน ไม่ใช่ทหารธรรมดาทั่วไป