แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเมืองอวิ๋นหลิว ประชาชนต่างเดินออกจากบ้านมารวมตัวกัน ณ ที่แห่งหนึ่ง
ที่แห่งนั้นคือสนามประลองงานแข่งขันหวู่เต้าที่ถูกจัดเตรียมเสร็จนานแล้ว ส่วนเยว่มู่จือกับเยียนหลิงซานก็มาถึงสนามประลองั้แ่เช้า
ทั้งสนามประลองมีขนาดประมาณหนึ่งร้อยตารางเมตร และล้อมรอบด้วยอัฒจันทร์สี่ทิศ โดยแต่ละทิศแบ่งเป็ตำแหน่งของสี่ตระกูลใหญ่ ไม่ได้มีที่ว่างเหลือให้ตระกูลเล็กแต่อย่างใด จึงมีผู้ชมหลายคนที่เอาเก้าอี้ของตัวเองมา
นี่เป็ถึงงานแข่งที่จัดขึ้นสามปีครั้ง ไม่มีปุถุชนธรรมดาผู้ใดอยากพลาดโอกาสชมการประลองของชนรุ่นเยาว์จากเมืองอวิ๋นหลิวในระยะประชิด อีกทั้งยังใช้เป็หัวข้อสนทนาหลังมื้ออาหารได้ด้วย
นอกจากนั้นผู้คนต่างล้วนสนใจสถานการณ์ของตระกูลถังที่ตกต่ำมาแล้วสามปีที่อยู่ๆ พลังของผู้นำตระกูลถัง ‘ถังจงเวย’ กลับฟื้นคืนอีกครั้ง หัวข้ออันร้อนแรงจึงจั่วหัวกันไปทั่วว่า ตระกูลถังจะสามารถชิงอันดับหนึ่งมาได้เหมือนเมื่อสามปีก่อนหรือไม่!?
ถังจงเวยพาพวกถังเหล่ยมาถึงสนามประลอง ตระกูลใหญ่อีกสามตระกูลล้วนมาถึงนานแล้ว
รอบๆ สนามประลองมีคนรวมตัวกันหลายหมื่นคน องครักษ์จวนเ้าเมืองต่างกำลังรักษาความสงบเพื่อให้แน่ใจว่าระหว่างงานแข่งขันจะไม่เกิดความวุ่นวาย
“ตงฟางอวิ๋นชิง!”
ถังเหล่ยที่เพิ่งนั่งลงพลันเห็นตงฟางอวิ๋นชิงนั่งอยู่ที่ตำแหน่งผู้นำตระกูลตงฟางฝั่งตรงข้าม
ถึงแม้ในชาตินี้ถังเหล่ยร่างเฒ่าจะไม่ได้มีความทรงจำอะไรเป็พิเศษกับตงฟางอวิ๋นชิง แต่ความแค้นจากความทรงจำถังเหล่ยคนเก่า เรียกได้ว่าระหว่างตงฟางอวิ๋นชิงกับถังเหล่ยเปรียบเสมือนความแค้นที่ฝังลึกดั่งทะเลโลหิต
เพื่อตอบแทนถังเหล่ยคนเก่า ถังเหล่ยจึงตัดสินใจจะสังหารตงฟางอวิ๋นชิง ให้ถังเหล่ยคนก่อนที่อยู่ในแม่น้ำยมโลกยามนี้ได้ตายตาหลับเสียที
ตงฟางอวิ๋นชิงก็เห็นถังเหล่ยเช่นกัน ในสายตาเขาเผยความประหลาดใจ ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าถังเหล่ยฟื้นพลังและรักษาตัวกลับมา แต่มันยังน่าเหลือเชื่อเกินไป เพราะเขามั่นใจว่าทำลายิญญายุทธ์และวางยาพิษถังเหล่ยไปแล้วเมื่อสามปีก่อน
“ในเมื่อเ้าหนีรอดมาได้ครั้งหนึ่ง เช่นนั้นข้าจะฆ่าเ้าอีกครั้ง คราวนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้เ้ารอดไปอีก!”
ตงฟางอวิ๋นชิงส่งสายตาเยือกเย็นและใช้มือซ้ายทำท่าปาดคอท้าทายไปทางถังเหล่ย
“ข้าจะให้เ้าร่าเริงไปก่อนสองวัน เดี๋ยวเ้าได้ร้องไห้สมใจแน่!”
ถังเหล่ยหาได้สะทกสะท้านกับการท้าทายของอีกฝ่ายไม่ ถึงแม้เขาจะไม่รู้ระดับพลังของตงฟางอวิ๋นชิงในปัจจุบัน แต่ต้องไม่ใช่คู่มือของเขาแน่
หลังจากตระกูลต่างๆ มาถึงแล้ว เยว่มู่จือกับเยียนหลิงซานจึงเดินมาตรงกลางสนามประลอง
“สวัสดีทุกท่าน! ข้ามีนามว่าเยียนหลิงซาน ทูตของเมืองอวิ๋นหลิว งานแข่งขันหวู่เต้าคือการแข่งขันที่จักรวรรดิให้ความสำคัญยิ่ง เป้าหมายของการประลองนี้ก็เพื่อเฟ้นหาอัจฉริยะที่โดดเด่นและผู้ที่เหมาะสมกับกำลังของจักรวรรดิผู้ยิ่งใหญ่”
เยียนหลิงซานกล่าวสุนทรพจน์ที่ฟังดูยิ่งใหญ่ ฝูงชนรอบด้านโห่ร้องด้วยความดีใจ
“ข้าขอบอกย้ำกับทุกท่านอีกครั้งว่า จักรวรรดิให้ความสำคัญกับการแข่งขันครั้งนี้มาก ผู้ชนะจะได้รับรางวัลพิเศษ! ข้าหวังว่าศิษย์จากตระกูลต่างๆ จะพยายามอย่างสุดฝีมือเพื่อเกียรติของตระกูล!”
หลังจากพูดจบแล้ว เยว่มู่จือก็ประกาศเริ่มงานประลองทันที
ในการประลอง่แรกคือการแข่งคัดเลือกศิษย์จากตระกูลต่างๆ ซึ่งพลังของตระกูลเหล่านี้ล้วนเทียบกับสี่ตระกูลใหญ่ไม่ได้ แต่บางครั้งก็ปรากฏศิษย์ที่โดดเด่นอยู่บ้าง
ไม่นานก็ปรากฏชายหนุ่มยี่สิบกว่าคนบนลานประลองตามกฎการแข่งขันเหมือนปีก่อนๆ
การประลองผ่านไปหลายรอบ จนเหลือผู้ชนะที่เข้ารอบแปดคนสุดท้าย
ดังนั้นการแข่งขัน่แรกจึงกินเวลาอยู่หลายวัน จากนั้นถึงจะเป็การแข่งขันชิงตำแหน่งผู้ชนะเลิศอย่างแท้จริง
ชัดเจนว่าเยียนหลิงซานไม่ได้มีความอดทนมากขนาดนั้น
“เพื่อให้การแข่งขันเร้าใจยิ่งขึ้น ข้ากับท่านเ้าเมืองเยว่ได้ปรึกษากันแล้ว คราวนี้จะเป็การแข่งแบบกลุ่ม ให้ผู้ฝึกตนบนสนามต่อสู้ได้อิสระ จนเหลือผู้ฝึกตนไว้เพียงสองคนเท่านั้น”
คำพูดประโยคนี้ทำให้เกิดความโกลาหลมากมาย เพราะกฎการแข่งขันเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน
ระดับความอันตรายและความซับซ้อนของการสู้แบบกลุ่มนั้นสูงมาก ผู้ฝึกตนยากที่จะแสดงพลังทั้งหมดออกมาได้ อีกทั้งงานแข่งขันหวู่เต้าล้วนไม่มีผู้ใดตายมาก่อน
การประลองคือการต่อสู้จนรู้ผล ถึงแม้จักรวรรดิไม่ได้มีกฎตายตัวเกี่ยวกับเื่นี้ แต่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ตระกูลต่างๆ แทบจะยอมรับกฎนี้กันหมด
ทว่าหากสู้กันเป็กลุ่ม อาจทำให้การควบคุมการาเ็ล้มตายของผู้ฝึกตนเป็ไปได้ยาก
ยิ่งต้องเหลือผู้ฝึกตนไว้เพียงสองคนแล้ว อัตราการคัดออกก็สูงเกินไปมาก
เมื่อเยว่มู่จือได้ยินก็ใเช่นกัน เยียนหลิงซานไม่เคยปรึกษาเื่นี้กับเขาเลย
“ท่านทูต นึกจะเปลี่ยนกฎการเเข่งก็เปลี่ยนตามใจได้อย่างไร? การต่อสู้เช่นนี้อาจทำให้...”
ไม่รอเยว่มู่จือพูดจบ เยียนหลิงซานก็พูดตัดบท
“เ้าเมืองเยว่ไม่เห็นด้วยกับข้าหรือ? ข้าเป็ทูตของจักรวรรดิเชียวนะ ข้าว่าอย่างไรก็ทำอย่างนั้น!”
คำพูดนี้ทำให้เยว่มู่จือพูดไม่ออก
ศิษย์บนสนามประลองก็คิดไม่ถึงว่ากฎการแข่งจะเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ผู้ฝึกตนบางส่วนััได้ถึงความผิดปกติ จึงะโลงจากสนามประลองและประกาศสละสิทธิ์
แต่ส่วนใหญ่ยังคิดจะพิสูจน์พลังของตัวเอง ถึงแม้เงื่อนไขการคัดเลือกจะเข้มงวดมากขึ้น แต่พวกเขาก็มั่นใจในตัวเอง
“ดีมาก พวกเ้ากำลังจะสร้างเกียรติยศให้ตระกูลของพวกเ้า ยามนี้ข้าขอประกาศ เริ่มการแข่งขันอย่างเป็ทางการได้!”
เยียนหลิงซานเหยียดมุมปากเผยรอยยิ้มเ็า
การแข่งขันเริ่มแล้วหรือ?
ไม่เพียงผู้เข้าประลองบนสนาม แม้แต่ผู้ชมล้วนไร้ซึ่งปฏิกิริยา ตอนนี้ผู้เข้าแข่งขันยี่สิบกว่าคนยังยืนรวมอยู่ด้วยกัน ทำไมถึงเริ่มการแข่งขันเสียแล้ว?
“อ๊า!”
ขณะที่ทุกคนยังไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง ในผู้บรรดาเข้าประลองก็มีเสียงคนกรีดร้องออกมา ร่างกายของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่สวมเกราะหนังสัตว์ถูกหนามแหลมสีดำแทงทะลุหัวใจ ชายหนุ่มชุดสีดำผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง
อั๊ก!
เืสาดกระเซ็นทิ้งรอยเืราวกับดอกเหมยไว้บนสนามประลองที่สร้างจากหิน
ร่างกายของชายหนุ่มล้มลงพื้น เืมากมายทะลักออกจากร่าง ชายหนุ่มชุดดำผู้นั้นเลียริมฝีปาก และหันสายตาไปจับจ้องร่างคนผู้หนึ่ง
“มีคนตาย มีคนตายแล้ว!”
“งานแข่งหวู่เต้าไม่เคยมีคนตายไม่ใช่หรือ? ทำไมครั้งนี้พอเริ่มการแข่ง ก็ตายไปคนหนึ่งแล้วเล่า?”
“ฮ่าๆๆ การแข่งขันเช่นนี้สิถึงน่าดู มีคนตายนี่ละ สนุก!”
“ยังดีที่ไม่ได้ให้ศิษย์ในตระกูลข้าเข้าร่วมด้วย การแข่งขันเช่นนี้เรียกได้ว่าเอาชีวิตเป็เดิมพัน!”
การเริ่มประลองแบบเืสาดเช่นนี้เรียกปฏิกิริยาจากผู้ชมได้อย่างดี เพราะการประลองในเมืองอวิ๋นหลิวล้วนประลองให้รู้ผลแพ้ชนะเท่านั้น ฝ่ายที่รู้ตัวว่าอ่อนแอจึงยอมแพ้ไปทันที โอกาสที่จะเห็นคนตายจึงน้อยนิด
แต่คราวนี้คนที่ถูกแทงทะลุหัวใจจนตายไม่มีโอกาสแม้แต่จะพูด
เยว่มู่จือตกตะลึงจนพูดไม่ออก นี่เพิ่งเริ่มเท่านั้นก็มีหนึ่งชีวิตล้มตายเสียแล้ว
“อวี่เอ๋อร์!”
ผู้นำตระกูลคนหนึ่งะโออกมาอย่างร้อนรน เขาทนไม่ได้ที่เห็นศิษย์ที่โดดเด่นในตระกูลของพวกเขาคนหนึ่งตายไปบนสนามประลองเช่นนี้
เยียนหลิงซานกวาดมองทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้านั้นเปื้อนรอยยิ้มอันชั่วร้าย
“ประชาชนของเมืองอวิ๋นหลิวอย่าใไป การประลองครั้งนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เื่สนุกยังรออยู่อีกมาก ข้าจะจัดการแข่งขันที่ทำให้ผู้คนยากจะลืม!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้