หลิงเซียวทนดูท่าทางบ้องตื้นของโหยวเสี่ยวโม่ไม่ไหว หิ้วเขากลับตรงเข้าห้อง
โหยวเสี่ยวโม่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงห้ามเขาไปบอกข่าวดีกับศิษย์พี่ใหญ่ นั่งเคืองอยู่บนเก้าอี้
หลิงเซียวปิดประตู เดินกลับมายืนกอดอกจ้องเขา ไม่พูดไม่จา ดวงตาซ่อนเร้นจ้องเขาที่กำลังมีไฟปะทุในดวงตา จากนั้นไฟที่ปะทุก็เริ่มเล็กลงๆ และมอดลงไปในที่สุด ถึงยิ้มออกมา “ศิษย์น้องเล็ก เ้ารีบไปหาศิษย์พี่ใหญ่อย่างงั้นหรือ?”
โหยวเสี่ยวโม่รีบส่ายหัว “ไม่ใช่”
ถึงใช่ก็ต้องตอบว่าไม่ใช่!
“งั้นเ้ารีบวิ่งเร็วจี๋ขนาดนั้นทำไม?” หลิงเซียวอมยิ้มถามกลับ
“เื่นั้น แน่นอนเพราะจะได้กลับห้องพักเร็วๆ มีคำพูดนึงที่ว่า จะโรงเตี๊ยมหรูหราหรือที่ไหนก็ไม่เท่ารังหนูของตัวเอง ไม่ใช่หรือไง” โหยวเสี่ยวโม่รีบเฉไฉ ภาวนาว่าจะหลอกล่อเขาได้
หลิงเซียวไม่ปฏิเสธเื่ที่เขาเอ่ยมาก็จริงอยู่ ดึงเก้าอี้มาหนึ่งตัวแล้วนั่งลงข้างเขา
โหยวเสี่ยวโม่รีบยกกาน้ำชารินน้ำให้เขา “ศิษย์พี่หลิง ดื่มน้ำก่อน”
หลิงเซียวให้เกียรติเขา รับแก้วมาแล้วยกดื่ม
โหยวเสี่ยวโม่อาศัยจังหวะรีบถาม “ศิษย์พี่หลิง ท่านไม่ให้ข้าไปแจ้งข่าวดีกับศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รอง เพราะมีปัญหาอะไรรึเปล่า?”
หลิงเซียวมุมปากโค้งขึ้น เรียนรู้ได้เร็วดีนี่ พลันเอ่ยเสียงนิ่ง “ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่มีคนที่ใจร้อนกว่าเ้า ถึงเ้าไม่ไป คาดว่าอีกเดี๋ยวก็ต้องมีคนมาหาเ้าอยู่ดี”
มีคน หมายถึงใครโหยวเสี่ยวโม่รู้ดีแก่ใจว่าคือใคร อาจารย์เขาเองแหละ จะเป็ใครไปได้
หลังสงบสติ โหยวเสี่ยวโม่ก็ไม่ได้ตื่นเต้น อย่างที่หลิงเซียวบอก ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองช้าเร็วก็ต้องรู้อยู่ดี ไม่ต้องให้เขากังวล ว่าไปแล้ว เขาเองก็มีคำถามมากมายอยากถาม อาศัยตอนที่หลิงเซียวยังอยู่ จึงเล่าเื่ที่บรรลุขั้นคัมภีร์ิญญา์ให้เขาฟัง
หลังจากได้ฟังหลิงเซียวพินิจอึดใจ “นักหลอมโอสถกับนักฝึกตนนั้นต่างกัน สิ่งที่นักหลอมโอสถฝึกฝนคือพลังปราณิญญา อยากจะบรรลุขั้นนั้นต้องอาศัยปริมาณการฝึกฝนและการสะสม ทั้งยังต้องอาศัยโอกาสเหมาะ แต่โอกาสเหมาะนั้นใช่ว่าใครก็จะหาเจอ ดังนั้นต้องหาเคล็ดวิชาที่ถูกต้องเจอถึงจะมีโอกาสบรรลุได้”
“งั้นต้องมีเคล็ดวิชายังไง?” โหยวเสี่ยวโม่ถาม
“จู่โจมพลังปราณที่จำกัดของเ้าก็เป็วิธีนึง ยกตัวอย่างเช่น แต่ก่อนเ้าหลอมยาบ่อยครั้งจนใช้พลังปราณิญญาของเ้าไปมากมาย แบบนี้ก็เหมือนการจู่โจมพลังปราณของเ้าอย่างนึง แต่ว่าเ้าดื่มน้ำปราณฟื้นฟูอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นลักษณะร่างกายเ้าตอนนี้จึงไม่อาจสังเกตได้แน่ชัด แต่จากการพัฒนาพลังปราณิญญาของเ้า ผลลัพธ์จะชัดเจนยิ่งๆ ขึ้น สำหรับเื่ที่ว่าก่อนนี้ที่เ้าไม่ได้ดื่มน้ำปราณและไม่บรรลุขั้นนั้น เป็ไปได้สูงว่าเป็เพราะเ้ายังไม่ถึงจุดวิกฤติที่จะบรรลุได้”
อันที่จริงหลิงเซียวเป็คนนอกแขนง แต่อาศัยค้นจากความจำของหลินเซียวระหว่างที่พูด
มีคนที่ชื่นชอบเขาและไม่รู้เื่อะไรคอยเล่าให้ฟังตลอดอย่างทังอวิ๋นฉีก็ดีไปอย่าง แม้หลินเซียวจะไม่ใช่นักหลอมโอสถ แต่ชัดเจนว่าเพราะจิตใจคับคด ถึงได้คอยหลอกถามเื่ราวของแขนงโอสถตลอดเวลา จึงรู้เื่ของนักหลอมโอสถค่อนข้างเยอะ
“แบบนี้นี่เอง!” โหยวเสี่ยวโม่กระจ่างแจ้ง
หลิงเซียวอาศัยตอนที่เขาหันเหความสนใจ พลันฉวยโอกาสลูบแก้มเขา ัันุ่มนิ่มของพวงแก้ม จากนั้นเอ่ยต่ออย่างสบายใจ “ในเมื่อเ้าบรรลุขั้นแรกแล้ว ตอนนี้เ้าน่าจะเริ่มหลอมยาเซียนตันขั้นสองได้แล้ว”
“ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น” โหยวเสี่ยวโม่กุมมือเขาด้วยความดีใจ ในใจเต็มไปด้วยความปลื้มปริ่ม เดิมทีนึกว่าต้องใช้เวลาอีกสองสามเดือนถึงจะบรรลุนักหลอมโอสถขั้นสองได้ ปรากฏว่า์กลับประทานรางวัลที่น่ายินดีเช่นนี้ให้เขา ตอนนี้เขายังมีเวลาอีกสามเดือนกว่า การทดสอบต้องไม่มีปัญหาแน่นอน
หลิงเซียวจดจ้องพวงแก้มและริมฝีปากชมพูระเรื่อด้วยความดีใจของเขา แล้วตาพริ้ม ขณะที่เขากำลังเอะใจนั้น ก็พุ่งตัวเข้าไปเลียริมฝีปากนั้นหนึ่งหน รู้สึกไม่พอ พลันเลียอีกครั้ง จากนั้นก็เลียแล้วเลียอีก
คนที่ตื่นเต้นอยู่แข็งเป็หินไปแล้ว…
หลิงเซียวกลัวว่าเขาจะหายใจไม่ทัน พลางลูบหลังเขาเพื่อช่วยให้อากาศไหลเวียน “ดีขึ้นรึยัง?”
โหยวเสี่ยวโม่ตัวสั่นเทิ้ม มือข้างหนึ่งยันหน้าอกเขาแล้วตั้งตัวตรงขึ้นมา สองตาจ้องเขาไฟลุกท่วม “ทำไมท่านต้องจูบปากข้าด้วย?”
หลิงเซียวเลียริมฝีปาก จากนั้นยื่นนิ้วมาจับริมฝีปากเขาทีสองที พูดอย่างช่วยไม่ได้ “เพราะว่าอร่อยไง ข้ายังไม่ได้ถามเ้าเลยว่า ปากเ้าทาน้ำผึ้งไว้รึไง หวานจนข้าเกือบถอนออกมาไม่ได้”
โหยวเสี่ยวโม่เห็นเขาทำทีเหมือนจะจูบซ้ำอีก รีบปิดปากตัวเองไว้ แต่ประโยคตอนท้ายที่ได้ยิน ก็แอบแลบลิ้นดูดดื่มทีหนึ่ง ให้ตายสิ มีแต่น้ำลาย…
รีบเช็ดน้ำลายออกแทบไม่ทัน โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยริมฝีปากสั่น “ปากข้าไม่เห็นจะหวานสักนิด ไม่แน่ที่หวานอาจจะเป็ของท่านต่างหาก”
กลัวว่าเขาจะเอาข้ออ้างมาจูบอีก โหยวเสี่ยวโม่รีบโยนข้ออ้างไปให้เขาแทน
หลิงเซียวมองหน้าเขา มุมปากโค้งสูงหน้าเ้าเล่ห์ “ปากข้าหวานงั้นเหรอ? ทำไมข้าชิมไม่รู้รส ถ้าไงเ้าลองชิมดูสิว่าหวานจริงหรือเปล่า ช่วยข้ายืนยันหน่อย?”
คำพูดฟังเหมือนอ้อนวอน แต่ท่าทางกลับตรงกันข้าม พลันโอบกอดโหยวเสี่ยวโม่ที่กำลังจะหนี จากนั้นก็จูบซ้ำอีก ครั้งนี้ดูดดื่มกว่าเมื่อกี้มากนัก เพราะมีลิ้นที่ขัดขืนเพิ่มเติมมา ทว่าก็เพิ่มความมีอรรถรสขึ้นมาอีก ยิ่งโหยวเสี่ยวโม่อยากหลบ เขาก็ยิ่งตาม
จนเมื่อปากเปิดออก โหยวเสี่ยวโม่ก็หยุดขัดขืน แล้วหยุดหายใจแทน เก่งนักก็ดูดจนข้าตายเลย!
เหมือนว่าจะรู้ความตั้งใจเขา หลิงเซียวจึงถอนริมฝีปากออก จากนั้นเลียริมฝีปากล่างตัวเองอีกที น่าเสียดาย เขายังอยากจูบต่ออีกสักหน่อย
โหยวเสี่ยวโม่ตัวสั่นอยากผละตัวออกจากอกเขา…
หลิงเซียวใช้มือใหญ่จับเขาไว้ ก็ทำให้เขาขยับไม่ได้ เขายังอยู่ไม่สุข พลันโอบเอวเขาแน่นแล้วเอ่ยขึ้น “เอาน่า ข้าจะบอกเื่กิจธุระแล้ว ห้ามขยับ ไม่งั้นข้าจะลงโทษทันทีนะ”
โหยวเสี่ยวโม่หน้าซีดจนหยุดนิ่ง เ้าบ้า อะไรเรียกว่าลงโทษทันที?
เขาคือผู้ชาย ตัวเองก็คือผู้ชาย!
“ท่านๆๆ ท่านว่ามา มีเื่อะไรกันแน่?” โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยเสียงสั่น
“เกี่ยวกับเื่การประมูลขาย ที่เมืองเหอผิงมีเพียงการประมูลเล็กๆ หากเ้าอยากไปขายยาเซียนตันกับน้ำปราณจริง ไม่เหมาะไปเมืองเหอผิง ต้องหาเมืองที่ใหญ่กว่านั้นหน่อย ที่นั่นจะมีการจัดประมูลที่เป็หลักเป็การมากกว่า ทั้งยังไม่มีเื่โกงกันเกิดขึ้น อีกอย่างราคาก็น่าจะสูงกว่า” หลิงเซียวเอ่ยสีหน้าอิ่มเอม
“จริงหรือ? งั้นต้องไปเมืองไหนดี? ข้าไม่รู้ทาง” ในที่สุดโหยวเสี่ยวโม่ก็ใคร่รู้ พริบตาเดียวก็ลืมเื่ริมฝีปากบางจนหมดสิ้น
“แน่นอนว่าต้องไกลออกไปสิ แต่ถ้าหากจะไปในเมือง ไปกลับรวมถึงเวลาในการประมูลวันเดียวคงไม่ทัน นี่คงทำอะไรมากไม่ได้ เว้นแต่ว่า…”
“หลังผ่านการทดสอบสามเดือนให้หลัง ขอแค่ผ่านได้ อีกหน่อยเ้าอยากลงเขานานแค่ไหนก็ได้” หลิงเซียวพูดสีหน้าจริงจัง
โหยวเสี่ยวโม่พลันหดหู่ใจ เห็นทีก็คงต้องแบบนี้เท่านั้น!
“ใช่สิ มีเื่นึงที่ข้าต้องเตือนเ้า” หลิงเซียวก็พูดโพล่งขึ้น โหยวเสี่ยวโม่มองกลับมาแล้วเอ่ยต่อ “ระดับคุณภาพที่เมืองใหญ่ประมูลขายกันนั้นต้องสูงพอควร ข้อมูลที่แต่ก่อนที่เ้าสืบมาคงใช้ไม่ได้ ยาเซียนตันขั้นหนึ่งแม้จะเป็แบบคุณภาพสูง แต่เกรงว่าคงไม่มีทางปรากฏที่การประมูลแบบนั้นได้แน่”
“งั้นก็ขายได้แค่น้ำปราณงั้นหรือ? ยุ่งยากขนาดนี้สู้ไปขายเมืองเหอผิงดีกว่า” โหยวเสี่ยวโม่ขมวดคิ้ว
หลิงเซียวกอดเขาแน่นแล้วพูด “ไม่ยุ่งยากหรอก ยาเซียนตันประมูลขายไม่ได้ แต่เ้าขายให้ร้านขายโอสถในเมืองได้ อีกอย่าง เ้ายัง้าหาซื้อหญ้าเซียนขั้นสี่ถึงขั้นหกไม่ใช่รึไง? จะได้ไปถามไถ่ดูในเมืองทีเดียวด้วย”
“จริงด้วย” โหยวเสี่ยวโม่พึ่งนึกออกว่ายังมีเื่นี้ด้วย
เมืองเหอผิงถึงแม้จะมีเมล็ดพันธุ์หญ้าเซียนขั้นสี่ แต่ไม่เยอะนัก อีกอย่างที่มีอยู่คุณภาพก็ไม่ดี บ้างที่มีก็ถึงขั้นน้ำออกแล้ว เพราะเก็บไว้เป็เวลานานเกิน
ระยะเวลาการเพาะปลูกของหญ้าเซียนขั้นสี่ถึงขั้นหกใช้เวลานาน อีกทั้งเมืองเหอผิงก็เล็กนิดเดียว ดังนั้นนักหลอมโอสถไม่เยอะที่จะจงใจไปซื้อเมล็ดพันธุ์ขั้นกลางที่นั่น ดังนั้นเรือนกล้วยไม้นอกจากเมล็ดพันธุ์ขั้นหนึ่งถึงขั้นสาม ที่เหลือก็ค่อนข้างเก่าแล้ว
“ดังนั้นสิ่งที่เ้าต้องทำคือให้ตั้งใจฝึกฝนเพื่อการทดสอบสามเดือนหลังจากนี้ เื่การประมูลข้าจะจัดการเอง รอเ้าผ่านการทดสอบ ข้าค่อยพาเ้าไป” หลิงเซียวใช้นิ้วลูบไล้แก้มเขาด้วยท่าทีเอ็นดูหวงแหน เขายิ่งรู้สึกคิดถึง่เวลาที่อยู่สายกลางกับโหยวเสี่ยวโม่ ตอนนั้นได้อยู่ด้วยกันมันช่างดีเหลือเกิน เขาอยากลงมือเมื่อไรก็ได้
“ดี!” ทันใดโหยวเสี่ยวโม่ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นทันตา
“เอิ่ม ตอนนี้เื่กิจธุระก็พูดจบแล้ว พวกเรามา…ที่ปากอีกสักครั้ง?” หลิงเซียวเผยท่าทางอันธพาลเหมือนเคย เชยคางเขาขึ้นแล้วจัดการประทับรอยจูบลงไปอีกรอบ
โหยวเสี่ยวโม่เงื้อมือตบดังฉาด…
เื่ราวต่อจากนี้ โปรดติดตามตอนต่อไป
