ตอนที่ 5
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปถึงครึ่งค่อนคืนแล้ว ทว่าเสียงฝนที่ตกกระหน่ำก็ไม่มีท่าทีว่าจะซาลง แสงแลบแปลบปลาบลอดผ่านช่องของหน้าต่างเข้ามาภายในห้องให้รู้สึกระแวงอยู่เป็ระยะ อาไฉได้แต่นอนพลิกซ้ายพลิกขวาอยู่บนเตียงไปมาอยู่อย่างนั้น เมื่อพยายามข่มตาเท่าไรก็นอนไม่หลับเสียที
“เฮ้อ...”
ลอบถอนหายใจออกมาเสียงเบา พลางพลิกตัวนอนหงายมองเพดานอย่างเหม่อลอย วงแขนกระชับกอดหมอนข้างเอาไว้ให้แน่นขึ้น เมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องหนึ่งครั้งก็สะดุ้งตามหนึ่งครั้งอยู่อย่างนั้น พลิกตัวนอนตะแคงเอาหน้าซุกหมอนข้างแล้วหลับตาแน่น เอ่ยพึมพำคล้ายกับจะสะกดจิตตัวเองให้หลับไปเสีย
“อาไฉจงหลับ ๆ ---เฮือก!!”
เปรี้ยง!!
แสงจากฟ้าสว่างวาบไปทั่ว ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นจนคนที่พยายามข่มตานอนสะดุ้งสุดตัวด้วยความใ รีบยกมือขึ้นปิดหูพลางนอนขดตัว ครั้นเมื่อกวาดสายตามองไปรอบห้องที่มืดสนิทก็อดจะแอบรู้สึกวังเวงไม่ได้...อย่างกับฉากในหนังสยองขวัญไม่มีผิด
“...”
เมื่ออับซึ่งหนทางจะข่มตานอนลงได้ จึงตัดสินใจยันตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วแอบชะโงกหน้าไปเพื่อแอบมองร่างของใครอีกคน ซึ่งนอนนิ่งหลับสนิทอยู่บนโซฟา ดูไม่เป็เดือดเป็ร้อนหรือมีท่าทีใแต่อย่างใด กระทั่งอาไฉได้แต่ขมวดคิ้วกทั้งสีหน้าฉงนว่าคุณเขมไม่รู้สึกกลัวฟ้ากลัวฝนเหมือนกับเขาบ้างเลยหรือไง
“คะ คุณเขม...หลับหรือยัง”
“...”
“เราขอ...ขอนอนด้วยได้ไหม?”
“...”
ถามลองเชิงออกไป ไม่หวังว่าจะได้รับคำตอบ เพียง้าตรวจสอบดูว่าคู่หมั้นของตนที่เนรเทศตัวเองไปนอนบนโซฟาหลับสนิทไปแล้วหรือยัง ทว่าต่อให้ส่งเสียงออกไปอีกสักกี่รอบ คำตอบที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงความเงียบสงบเท่านั้น ร่างขาวกัดปากน้อย ๆ ครู่หนึ่งอย่างชั่งใจ
“ไม่ตื่นหรอก คุณเขมไม่ตื่นหรอก”
เอ่ยพึมพำกับตัวเองเสียงเบา หอบผ้าห่มผืนหนามาไว้ในอ้อมกอด พลางค่อย ๆ แอบย่องเข้าไปหาโซฟาตัวเล็กที่อยู่ห่างจากเตียงไปไม่มากนัก ยังไม่วายแอบจะโงกหน้ามองอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าคุณเขมยังคงหลับสนิท ก่อนจะแทรกร่างของตัวเองเข้าไปนอนด้านในของโซฟาอย่างทุลักทุเล
นอนด้านนอกน่ากลัวจะตาย มีร่างใหญ่ ๆ ของคุณเขมคอยบังเอาไว้ให้ย่อมรู้สึกปลอดภัยกว่าเป็ไหน ๆ
“อืม...”
“หยะ อย่าเพิ่งตื่นนะ!”
เพราะพยายามปีนข้ามตัวคนอายุมากกว่าเข้ามาเพื่อให้ตนได้พื้นที่ซอกด้านในโซฟาได้สำเร็จ การขยับตัวจึงเป็การรบกวนให้คนที่หลับอยู่แอบขมวดคิ้วส่งเสียงครางเครือออกมาแ่เบา อาไฉลนลานรีบเอ่ยห้ามออกไป ก่อนจะต้องกลับมารู้สึกอยากจะเขกกะโหลกตัวเองสักสิบทีเมื่อได้สติ...ยิ่งส่งเสียงรบกวนก็ยิ่งรบกวนเวลานอนสิ
ไม่เท่อีกแล้วนะอาไฉ!
“...”
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปอีกเพียงไม่นาน ใบหน้าหล่อเหลาก็กลับมาดูผ่อนคลายเหมือนก่อนเก่า คนที่แอบหอบผ้าห่มมานอนด้วยลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อได้อยู่ใกล้ความอบอุ่น ความกลัวที่มีอยู่ก็เริ่มหายไป อาไฉซุกหน้าเข้าหาแผงอกกว้างทำท่าจะหลับต่อ ก่อนจะต้องเบิกตากว้างขึ้นมาอีกครั้งทั้งข้างแก้มที่เริ่มร้อนผ่าว
ต้องโทษสายตาเ้ากรรม ที่เอาแต่จะช้อนขึ้นมองริมฝีปากของคนตรงหน้าอยู่ร่ำไป คล้ายกับยังคงติดอยู่ในวังวนของััที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนอยู่อย่างนั้น...เมื่อได้จูบครั้งแรก คุณเขมก็ป้อนจูบให้เขาอีกหลายครั้ง เนิ่นนานเสียจนอาไฉที่เคยปากเก่งกลับเป็ฝ่ายร้องงอแงขอให้หยุดเสียเอง ก่อนจะทำเป็แยกย้ายกันไปนอนพักผ่อน เพิกเฉยต่อบรรยากาศแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นมาหลังจากนั้น
“...”
ภายในดวงตาสีสวยสะท้อนภาพใบหน้าหล่อเหลายามหลับใหลของคู่หมั้น ไล่ั้แ่คิ้วเข้ม ดวงตาที่ปิดสนิทแต่ก็ยังดูนิ่งสงบตามนิสัย ปลายจมูกโด่ง ก่อนอาไฉจะเม้มปากแน่นยามหลุบสายตาลงมาถึงริมฝีปากบางกระจับที่ตอนนี้กลับมาแห้ง จนเขาอยากจะลองทำให้มันเปียกไปด้วยน้ำลายอีกสักรอบ
คุณเขมจูบเขากลับเพราะอะไรนะ? เพราะอยากสั่งสอบให้หลาบจำหรือเพราะอยากจะทำมันจริง ๆ
แล้วอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับจูบนั้น...อยากจะทำมันอีกหรือเปล่า
แล้วเขาทำได้ดีหรือเปล่านะ คิด ๆ ดูแล้วก็อยากจะแก้ตัวอีกสักรอบ ขอตั้งคำปฏิญาณเอาไว้เลยว่ารอบนี้เขาจะทำให้คุณเขมเป็ฝ่ายหอบแฮ่กเหมือนขาดอากาศหายใจไปนานเป็ชาติเลยคอยดู
ทว่า
!!!
“คะ คือเรากลัวเสียงฟ้าร้อง เราไม่กล้านอนบนเตียง เรา...”
ในจังหวะที่มือัักับริมฝีปากตรงหน้าได้เพียงเสี้ยววินาที ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือน้อย ๆ กลับถูกจับกอบกุมไว้อย่างกะทันหัน เขมนัษฐ์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองกันโดยยังไม่เอ่ยพูดสิ่งใด ในขณะที่อาไฉลนลาน ละล่ำละลักร่ายพูดแก้ตัวนำไปก่อนแล้ว
“เราไม่อยากนอนบนเตียงคนเดียวนี่” คนอายุมากกว่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยให้ได้ท่วงท่าที่ถนัด แล้วจึงเอ่ยตอบกลับเสียงเบา
“นอนได้แล้ว”
อาไฉเมื่อได้ฟังดังนั้นก็โมเมให้ตัวเองทันทีว่านั่นไม่ได้เป็การปฏิเสธกัน เขมนัษฐ์หลับตาลง ผ่านไปเพียงไม่นานก็เป็อันต้องลืมตาขึ้นมาใหม่อีกครั้งเมื่อรู้สึกคล้ายกับกำลังถูกจับจ้องอยู่ เพื่อพบกับคนอายุน้อยกว่าที่ดูจะตาสว่างเสียจนต้องดูหน้าเขาเล่นไปพลาง ๆ เพื่อฆ่าเวลา
“คุณเขม เราอยากแก้ตัว”
ผู้ฟังมีท่าทีสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเมื่อจับสังเกตได้ว่าคู่หมั้นตัวแสบเริ่มจะขยับตัวขยุกขยิก พลางแอบหลุบตาลงมองริมฝีปากของเขาผ่านความมืดอยู่เป็ระยะก็รู้ได้ทันที เขมนัษฐ์นิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะจับผ้าห่มคลุมหัวให้คนตัวเล็กลวก ๆ เพื่อที่จะได้ไม่มามองปากกันซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้อีก
“นอน”
“คุณเขม!”
อาไฉเมื่อถูกจับผ้าห่มคลุมโปงให้แบบนั้นก็หน้ามุ่ย ขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีอย่างขัดใจ ใช้มือปัดผ้าห่มออกไปกระทั่งได้ัักับบรรยากาศภายนอกอีกครั้ง ช้อนชายตาขึ้นมองสบกันอย่างมุ่งมั่นทำท่าจะเอ่ยเถียงอะไรบางอย่าง...แต่แล้วก็ต้องชะงักไป ยามได้รู้ว่าถูกดวงตาคมคู่นั้นทอดมองกันอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อถูกมองอยู่นานเข้าก็เริ่มกลอกตาล่อกแล่กไปมาอย่างทำตัวไม่ถูก คล้ายกับความรู้สึกที่ถูกััเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าจะกลับมาย้ำเตือนความทรงจำอีกครั้ง ผ่านแววตาคู่ตรงหน้าที่ดูเรียบเฉย...เอ่ยละล่ำละลักพูด
“ระ เราล้อเล่น เราจะไม่ดื้อไม่เถียงไม่กวนเวลานอนคุณเขมแล้ว เราจะนอนเงียบ ๆ ไม่วุ่นวายแล้วก็ได้...คะ คุณเขม...”
น้ำเสียงในท้ายประโยคค่อย ๆ แ่เบาลง ก่อนจะถูกกลืนหายไปในที่สุด ยามเห็นว่าภายในดวงตาที่ดูเรียบสงบคู่นั้นกำลังสะท้อนภาพของตน ผ่านแสงที่ส่องเข้ามาภายในห้องได้เป็ระยะ....ยิ่งพาตัวเองเข้ามาอยู่ด้านในโซฟาแบบนี้แล้วก็ย่อมหนีไปไหนได้ยาก
“พะ พอ”
“...”
“พอแล้วนะ...”
ตอนแรกก็พูดไปอย่างมั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกินว่าอยากจะแก้ตัวใหม่ ทว่าพอเริ่มตระหนักได้ว่าตนถูกััอย่างตะกละกลามจนเสียท่าไปมากเพียงใด ก็เริ่มจะหาทางรับมือกับตรงนั้นได้ยาก มือน้อย ๆ วางที่แผงอกกว้างแล้วออกแรงดันเบา ๆ เอ่ยพูดเสียงอู้อี้ ทว่ากิริยาดังกล่าวก็คงจะไม่ต่างไปจากลูกแมวพยายามเอาอุ้งเท้าเขี่ยมนุษย์ตัวโตสักเท่าไรนัก
“เธอเริ่มก่อน ทำไมตอนนี้ถึงบอกว่าพอแล้ว”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระซิบถาม นิ้วหัวแม่มือกดคลึงริมฝีปากอิ่มแ่เบา พร้อมกับระยะห่างระหว่างใบหน้าที่ค่อย ๆ ลดหลั่นลง อาไฉตัวเกร็งหลับตาแน่น เป็จังหวะเดียวกันที่ัันุ่มของริมฝีปากแตะัักันพร้อมกับฝ่ามือที่จับประคองข้างแก้มของตนเอาไว้ ดึงความรู้สึกวาบหวามที่เก็บซ่อนเอาไว้ให้ออกมาทำงานอีกครั้ง
“อื้อ...”
ความรู้สึกเสียดเสียวคล้ายกับมีผีเสื้อนับหลายตัวบินอยู่ในช่องท้องทำให้อาไฉทำตัวไม่ถูก ได้แต่งอตัวเข้าหากันเล็กน้อยตามสัญชาติญาณ ทั้งสติที่แตกกระเจิงยามริมฝีปากถูกัั ดูดเม้มและเล็มเลียแต่เพียงภายนอก ไม่ล่วงล้ำเข้าไป
“อือ...”
ร่างแน่งน้อยค่อย ๆ อ่อนระทวยลงจนแทบจะจมลงไปกับโซฟา ยามคนถูกอายุมากกว่ารุกล้ำเข้าหามากเรื่อย ๆ มือที่ดันแผงอกกว้างเหลือแรงเพียงแค่ขยุ้มเสื้อของอีกฝ่ายแ่เบา ได้แต่ค่อยๆ หลับตาลง จินตนาการภาพตัวเองยามถูกััขบเม้มไปเรื่อย ๆ แบบนี้ก็เท่านั้น
เขาเป็ฝ่ายตกอยู่ใต้ร่างอีกครั้ง เพื่อรับััที่ลึกซึ้งมากขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปากเก่งในคราวแรกแต่สุดท้ายแล้วไม่เหลือเรี่ยงแรงจะทำอะไรต่ออีกเช่นเคย
อีกแล้วอาไฉ....สู้เขาไม่ได้อีกแล้ว
...
หลายวันต่อมา
“อาไฉใจเย็น ๆ สิ เดี๋ยวเหล้าก็หมดร้านหรอก”
เสียงจากน้ำหนึ่ง เพื่อนสาวคนที่สนิทั้แ่สมัยประถมเอ่ยปรามเอาไว้ ั้แ่อาไฉไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก็ไม่ได้พบเจอกันนาน มีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป ทว่าสิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิมก็ดูจะเป็หน้าที่ตามล้างตามเช็ดเพื่อนสนิทของตนนี่แหละที่น้ำหนึ่งหนีไม่พ้นเสียที
“มันคือเบียร์ต่างหาก ไม่ใช่เหล้าสักหน่อย”
อาไฉกระแทกแก้วลงกับโต๊ะแล้วหันมองกันตาเขียวปั๊ด ฝ่ายผู้ฟังได้แต่ลอบกลอกตาให้กับประโยคเอ่ยเถียงอย่างดื้อดึง ถึงกับต้องตั้งคำถามในใจกับตัวเองว่าเป็เพื่อนกับเ้าตัวแสบอย่างอาไฉมาได้อย่างไรตั้งหลายปี
“มันก็ไม่ค่อยต่างกันนักหรอก!”
ไม่ว่าเปล่า ยังแอบเอื้อมมือไปคว้าแก้วใบใสมาหมายจะยึด กระนั้นก็ยังคงช้ากว่าอาไฉที่มือไวกว่ารีบคว้ามันมาถือไว้อย่างกับเอาห่างตัวไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ใบหน้าหวานงอง้ำก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เปิดจังหวะให้หญิงสาวได้เอ่ยปากตะล่อมถามในสิ่งที่ตนสงสัยอยู่นาน
“นี่ แล้วจะบอกได้หรือยังว่าวันที่หนีออกจากบ้าน...คุณเขมเป็คนไปรับเธอกลับมาเหรอ?”
คำถามถูกส่งให้เพราะความอยากรู้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะกระแทกซ้ำจุดหนึ่งภายในใจของผู้ฟังเข้าอย่างจัง อาไฉเม้มปากเข้าหากันแน่น ตะแคงศีรษะมองแก้วในมือพลางอยู่อย่างนั้น ภาพความทรงจำของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องพักคืนนี้วิ่งกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามออกไป
“ถ้าผู้ชายจูบเราหมายความว่ายังไง”
ฝ่ายน้ำหนึ่งเมื่อได้ฟังก็นั่งเท้าคางโคลงศีรษะเล็กน้อย ตอบกลับไปโดยไม่คิดมาก
“แปลว่าผู้ชายชอบเรา”
คราวนี้อาไฉคว่ำใบหน้าลง พลางโขกหน้าผากตนลงกับโต๊ะเบา ๆ หากเป็อย่างนั้นจริง ๆ แล้วเพราะอะไรคุณเขมจึงต้องรักษาระยะห่างกับเขามากกว่าเดิมหลังจากที่กลับมาถึงกรุงเทพฯ แล้วด้วย เขาไม่ใช่คนฉลาดมากมายนัก ต่อให้พยายามคิดเท่าไรก็คงจะหาคำตอบไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นจึงถามต่อด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ซึ่งน้ำหนึ่งก็หลับหูหลับตาตอบอีกเช่นกัน
“แล้วถ้าเขาไม่คุยกับเราหลังจากนั้นล่ะ”
“แปลว่าจูบของเราไม่น่าประทับใจ”
“...”
คนหนึ่งพูดตามใจปากโดยไม่คิดมาก ในขณะที่ผู้ฟังดูคล้ายจะสติหลุดล่องลอยไปไกลเสียแล้ว น้ำหนึ่งกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ร้านอย่างเพลิดเพลินครู่หนึ่ง ก่อนจะชะงักไปคล้ายกับเริ่มเอะใจและนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาบ้าง รีบหันหน้าขวับไปมองเพื่อนสนิทของตนทันที ก่อนจะพบกับอาไฉที่นั่งเหม่อ เหมือนิญญาจะหลุดออกจากร่างไปเสียแล้ว
“หยะ อย่าบอกนะว่าจูบกันไปแล้ว!?”
อาไฉนิ่งไปครู่หนึ่งไม่ยอมตอบคำถาม ก่อนจะเอามือตบโต๊ะดังปังแล้วลุกพรวดพราดขึ้นมาทันทีอย่างกะทันหัน แหกปากดังลั่นร้าน
“เราจูบห่วยแตกเหรอ!!??”
“อาไฉ! คนเยอะ!!”
“รอเราฝึกให้แก่งกว่านี้ก่อนสิ คุณเขมตาค้างแน่!!!”
นอกจากจะเบี่ยงตัวหนีเพื่อนตัวเองแล้วยังขมวดคิ้วพูดอย่างมุ่งมั่น อย่างกับว่าคนที่ตนพูดถึงอยู่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไรอย่างนั้น ในขณะที่น้ำหนึ่งต้องรีบวิ่งเข้าไปตะครุบเอามือปิดปากเพื่อนรักที่ดูเหมือนจะให้แอลกอฮอล์นำสมองไปแล้ว ได้แต่ก้มหัวขอโทษแขกคนอื่นภายในร้านปลก ๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างนึกเอ็นดูจากใครหลายคน
“เรากลั้วปากวันละหลายครั้ง แมงกินฟันก็ไม่มี นี่เราผิดพลาดตรงไหนไป!”
ไม่ว่าเปล่า ยังเอามือมาป้องปากแล้วเป่าลมหายใจออกไปเบา ๆ ก่อนจะต้องเบ้หน้าเมื่อได้แต่กลิ่นเบียร์ออกมาทั้งนั้น กระนั้นก็ยังยืนเท้าสะเอวแหกปากตั้งคำถาม รู้สึกเหมือนกำลังอกหักจากคุณเขมเป็รอบที่ร้อย แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่อยากสมหวังเสียหน่อย
“ก็เธอจูบไม่เก่ง”
“ของแบบนี้มันฝึกกันได้!!...เราจะไปหาคุณเขม”
น้ำหนึ่งนึกอยากจะเอาแก้วมาฟาดหัวตัวเองให้สลบไปเสียเดี๋ยวนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ยิ่งมองนาฬิกาเห็นเวลาใกล้ตะเที่ยงคืนเข้าไปแล้วก็แทบจะตาถลน พยายามรั้งเพื่อนตัวน้อยที่ทุลักทุเลเดินออกจากร้าน ยังดีที่ยังมีจิตสำนึกโบกมือเรียกแท็กซี่ ไม่ขับไปเองให้เขาต้องเขกกะโหลกเรียกสติ
“มันดึกแล้ว!”
“งั้นเราไปนั่งรอที่หน้าบ้านเขาก็ได้” คราวนี้เพื่อนสาวคนสนิทได้แต่ยกมือขึ้นมากุมขมับตัวเอง ครั้นเมื่อเงยหน้าอีกทีคนเมาก็ยัดร่างปวกเปียกของตัวเองเข้าไปในรถแท็กซี่เสียแล้ว
“โอ๊ยอาไฉเธอโตขึ้นบ้างไหมเนี่ย---ดะ เดี๋ยวสิอาไฉ!!!”
...
23.30 น.
“แล้วหลังจากนั้นเ้าหญิงกับเ้าชายก็ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในประสาทที่ตั้งอยู่แสนไกลจากผู้คน ตราบนิรันดร์”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มอ่านประโยคในหน้าสุดท้ายของนิทานก่อนจะปิดหนังสือนิทานเล่มที่สี่ลง ดวงตาคมทอดมองลูกสาวบุญธรรมตัวน้อยที่ยังคงนอนกอดผ้าห่มมองกันตาแป๋ว ไม่ได้มีท่าทีง่วงงุนอย่างที่ควรแต่อย่างใด
“คุงพ่อคะ เล่านิทานให้หมูนุ่มฟังอีกไม่ได้เหยอ” ชายหนุ่มวางฝ่ามือลูบศีรษะเล็กแ่เบาแล้วตอบกลับเสียงนุ่ม
“พ่อเล่ามาสี่เื่แล้วนะ คืนนี้หมดโควตาแล้ว”
“แต่ว่า...”
“เพราะงั้นหมูนุ่มต้องรีบนอนนะคะ พรุ่งนี้คุณพ่อจะได้เล่านิทานให้ฟังอีก”
เพราะหมูนุ่มติดการฟังนิทานก่อนนอนมาก ๆ จึงต้องมีการจำกัดโควตาให้เพียงแค่คืนละสี่เื่เท่านั้น เด็กน้อยเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ดวงตาเป็ประกาย รีบหลับตาลงคล้ายจะสั่งตัวเองให้นอนหลับได้แล้ว คืนพรุ่งนี้จะได้มาฟังนิทานจากคุณพ่อต่อ โดยมีเขมนัษฐ์คอยตบก้นกล่อมนอนให้แ่เบา ผ่านไปไม่กี่นาทีคนที่ควรจะนอนหลับก็แอบปรือตาขึ้นมามองกันอีกครั้ง
“แล้วคุงพ่อไม่อยากมีเ้าหญิงของตัวเองบ้างหยอคะ”
คำถามแสนไร้เดียงสาเป็ผลให้ผู้ฟังชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มบางออกมาเล็กน้อย เกลี่ยนิ้วลงกับปลายจมูกจิ้มลิ้ม
“เ้าหญิงคนนั้นเขาแสนดื้อเกินไปหน่อย จนหมูนุ่มต้องใเลยล่ะ”
เด็กหญิงเอียงคอเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ แต่ก่อนจะได้ถามอะไรต่อ เสียงจากลูกนอกที่ดังอยู่ด้านนอกก็ดึงความสนใจไปได้จนหมด เขมนัษฐ์โน้มใบหน้าลงหอมหน้าผากมนของลูกสาวอีกหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินออกจากห้อง ตรงดิ่งไปยังบริเวณหน้าอู่ที่มีเสียงเอะอะ เอ่ยถามทั้งเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่น
“อะไรของพวกมึง---”
น้ำเสียงถูกกลืนหายไปทั้งที่ยังพูดไม่จบประโยค เมื่อเดินออกมาเห็นอาไฉยืนเท้าสะเอวใบหน้าขมึงทึงอยู่หน้ารั้วของอู่ ข้างแก้มกลมขึ้นสีแดงเรื่อน้อย ๆ กลิ่นของแอลกอฮอล์ที่โชยมาแตะจมูกแม้จะมีระยะห่างระหว่างกันก็พอเดาได้ในทันทีว่าคู่หมั้นตัวน้อยของตนคงจะไปดื่มตามนิสัย พอเมาหนักแล้วก็มาหาเื่กันถึงที่นี่กลางดึก
“กลับบ้านได้แล้ว” คนอายุมากกว่าเอ่ยสั่ง ทว่าอาไฉกลับขมวดคิ้วหน้างอ เถียงกลับในทันที
“เราไม่กลับ ทำไมคุณเขมชอบไล่เรากลับบ้านทุกทีเลย”
ไม่ว่าเปล่า ยังเชิดหน้าขึ้นน้อย ๆ แล้วมองกันอย่างไม่ยอมความ คล้ายกับมีแผนรองรับการถูกปฏิเสธไว้อย่างดีแล้ว ทำท่าคล้ายจะนั่งขัดสมาธิลงไปกับพื้นเดี๋ยวนั้น ทำเอาเขมนัษฐ์สบถเสียงเบากับตัวเอง รีบเปิดประตูรั้วแล้วคว้าคนตัวเล็กมาอุ้มพาดบ่าพาเข้าบ้านทันที โดยมีเสียงโวยวายเจื้อยแจ้วของคนอายุน้อยกว่าดังไปตลอดทาง
“คุณเขมปล่อยเราลง!!”
“ปล่อยลงเธอก็วิ่งซนไปทั่ว...อย่าดิ้นมากได้ไหม”
เอ่ยพูดไม่ยอมกันก่อนจะหันไปดุใน่ท้ายประโยค อาไฉมุ่ยหน้า ทำท่าจะดิ้นออก ทว่าเมื่ออัดน้ำผสมแอลกอฮอล์เข้าปากไปเสียเยอะ เมื่อถูกพาดบ่าห้อยหัวโตงเตงแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกคล้ายโลกกำลังเอียงกะเท่เร่จนหน้าเขียวอยากจะอ้วกออกมา ได้แต่ทุบกำปั้นลงบนแผ่นหลังกว้างไม่แรงนักเป็การต่อต้าน แม้ว่าจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตามที
“คืนนั้นคุณเขมดึงเราเข้าไปจูบเองแท้ ๆ พอมาตอนนี้ก็เมินใส่เราเหมือนเดิม คุณเขมไอ้บ้า!!!”
เมื่อหาทางดิ้นลงไม่สำเร็จก็ะโแหกปากดังลั่นอู่ กระทั่งเหล่าลูกน้องคนอื่น ๆ ที่นั่งล้อมวงกันอยู่หันมามองทางนี้เป็ตาเดียวทั้งใบหน้าที่แสดงถึงความใอยู่ไม่น้อย ได้แต่มองเ้านายของตนทั้งคำถามที่ว่า ผู้ชายที่ดูเรียบเฉยถึงขนาดนั้นจะมีวันที่ตบะแตกจับคู่หมั้นตัวแสบที่ตัวเองไล่นักไล่หนามาจูบได้จริง ๆ หรือ
“เราจูบไม่ดีเหรอ คอยดูนะถ้าเราไปฝึกจนเก่งแล้วคุณเขมจะต้องตาค้างแน่ คิดว่าตัวเองช่ำชองอยู่คนเดียวหรือไง เห็นว่าเราชอบแล้วจะทำยังไงก็ได้งั้นสินะ ใจร้าย!!!”
เมื่อได้พูดออกมาแล้วก็ปล่อยออกมาอีกเป็ชุดยกใหญ่ เสียงดังตลอดทางั้แ่หน้าประตูรั้วมาจนถึงห้องนั่งเล่นภายในบ้าน หากเป็เวลาปกติคงจะไม่กล้าถึงขนาดนี้ ทว่าเมื่ออยู่ใน่เวลาที่เอาแอลกอฮอล์นำสมองแล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เขมนัษฐ์สั่งลูกน้องให้นำผ้าชุบน้ำในอุณหภูมิพอดีมาให้ ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาโดยมีอาไฉนั่งทับอยู่บนตักอีกทีหนึ่ง
“พี่จะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าเธอยังไม่ยอมหยุดโวยวายพี่จะจูบให้เธอร้องไห้ไปเลย...หนึ่ง”
“...”
คล้ายกับการนับเลขดังกล่าวเป็ถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ เพียงนับแค่เลขหนึ่งอาไฉที่ทำท่าจะอ้าปากพูดก็รีบเม้มปากแน่นทันทีทั้งใบหน้างอง้ำ เป็จังหวะเดียวกันที่ลูกน้องภายในอู่คนหนึ่งนำผ้าชุบน้ำมาให้ตามคำสั่ง ชายหนุ่มค่อย ๆ นำผ้าซับข้างแก้มให้กับคนที่อยู่บนตักอย่างถนอม ในขณะที่อาไฉนิ่งเงียบได้เพียงไม่กี่นาทีก็ต้องเปิดปากหาเื่ทะเลาะกันอีกครั้ง
“คุณเขมทำเหมือนจะชอบเรา แต่บางครั้งก็ไม่ใช่...ที่จูบเราคืนนั้นก็แค่เล่นสนุกใช่ไหมละ”
สิ้นประโยคดังกล่าว คราวนี้มือที่คอยจับผ้าซับข้างแก้มให้หยุดชะงักไปในทันที ดวงตาคมช้อนขึ้นมองสบกันแน่นิ่ง เอ่ยถามกลับเสียงเย็นเยียบ
“พี่ดูเหมือนพวกชอบเล่นสนุกขนาดนั้นเลยหรือไง”
“...”
คราวนี้กลับเป็อาไฉเสียเองที่นิ่งไปเสียเอง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นทั้งใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงเรื่อ ยามเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีจริงจัง ไม่ได้อยากจะล้อเล่นกันแต่อย่างใด...แต่ไม่เห็นจะต้องโกรธกันเลยนี่ คิดได้ถึงตรงนี้ก็ทำท่าจะดิ้นลงจากตักอีกครั้ง ทว่ากลับถูกดึงเข้าไปหากระทั่งใบหน้าซบอยู่กับแผงอกกว้าง โดยมีผ้าชุบน้ำหมาด ๆ คอยซับหน้าให้เป็ระยะ จนต้องเอามือปัดออกอย่างงุ่นง่านด้วยความเมาและรำคาญ
“คุณเขม...”
“หื้ม?”
อาไฉมุดหน้าลงกับอกของคนอายุมากกว่าอย่างหมดแรง เอ่ยเรียกเสียงอู้อี้ทั้งดวงตาที่เริ่มปรือปรอยลง ในขณะที่เขมนัษฐ์คอยจับปอยผมสีน้ำตาลที่ตกลงปรกใบหน้าทัดข้างใบหูแล้วขานรับเสียงนุ่ม วงแขนแข็งแรงกระชับกอดคนตัวเล็กเอา คอยตบหลังตบก้นให้เบา ๆ อย่างกับกำลังกล่อมเด็ก บรรยากาศที่ดูเหมือนจะลุกเป็ไฟในคราวแรกเลือนหายไปในพริบตา
“เราจูบดีไหม” คำถามใหม่ถูกส่งมาให้โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย เขมนัษฐ์แค่นหัวเราะเสียงเบาในลำคอก่อนจะเอ่ยตอบ
“เหมือนแมวเลียขนม”
อาไฉหน้ามุ่ยทันที กระนั้นเ้าของอ้อมกอดก็ยังคงคอยลูบกลุ่มเส้นผมนุ่ม หลุบสายตาลงเพื่อมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาของคู่หมั้นตัวแสบที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนอกอย่างสิ้นฤทธิ์ได้ถนัด ในขณะที่อาไฉซึ่งถูกมอมเมาไปด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ตัดสินใจถามในสิ่งที่อยู่ในใจตนออกมาเสียงงัวเงีย
“ถ้าสมมติว่าคำทำนายที่ว่า...ถ้าเราไม่หมั้นกันเอาไว้ เราอาจจะต้องตายด้วยอุบัติเหตุหรือไม่ก็โรคร้าย เป็แค่เื่ที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อหลอกกัน”
“...”
“ถ้าเป็อย่างนั้นคุณเขมคงจะรีบขอถอนหมั้นจากเรา...ใช่ไหม”
คำถามดังกล่าวทำให้ผู้ฟังชะงักนิ่งไปครู่ใหญ่ ในขณะที่คนอายุน้อยกว่าเมื่อทิ้งะเิเอาไว้ได้ก็ชิงหลับหนีคาอกไปก่อนทันที แก้มนุ่มข้างหนึ่งบี้ไปกับแผงอกทั้งริมฝีปากที่เผยอออกน้อย ๆ โดยทุกท่วงท่าล้วนตกอยู่ในสายตาของเขมนัษฐ์ทั้งสิ้น ใบหน้าหล่อเหลาซบลงกับกลุ่มเส้นผมนุ่มของคนตัวเล็ก ทั้งคำถามที่ถูกส่งกลับไป แม้อีกฝ่ายจะหลับไปก่อนแล้วก็ตาม
“แล้วใครว่าพี่จะถอนหมั้นกับเธอ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้