นายหญิงใหญ่โจวมองแม่เฒ่าไป๋เหลียนแล้วคิดอยากตำหนินาง ทว่าพอคิดถึงความภักดีของอีกฝ่ายก็ได้แต่หันหน้าไปอีกทาง อดถอนหายใจไม่ได้
โชคดีเหลือเกิน ในใจนางมีความคิดมากมายที่ยังต้องระบายกับใครสักคน
ดังนั้นจึงได้หัวเราะหยัน “สกุลหลี่จะมีอำนาจมากอย่างไรก็เป็แค่ตระกูลหมอหยิ่งยโสอารมณ์ร้อนเท่านั้น แม้นายท่านผู้เฒ่าหลี่จะเคยเป็หมอหลวงที่มีเส้นสายในเมืองหลวงอยู่บ้างแต่ก็ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว ตอนนี้ใครจะยังใส่ใจเขาอีก? แต่อนุนอกบ้านของคุณชายสี่นั่นไม่เหมือนกัน ไม่เพียงคลอดลูกชายตัวอ้วนสองคนให้คุณชายสี่ แต่บิดานางยังเป็ขุนนางขั้นสองตัวจริงที่มีอำนาจแท้จริงอยู่ในมือ เป็ถึงเสนาบดีกระทรวงขุนนางที่รับผิดชอบเื่แต่งตั้งขุนนาง! ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมต้องทำเพื่อสกุลโจว!”
แม่เฒ่าไป๋เหลียนไม่เข้าใจ ทว่ายังคงพยักหน้าคล้อยตามแสร้งว่าเข้าใจ
นายหญิงใหญ่ไม่ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจหรือไม่ น้ำเสียงยิ่งเย็นเยียบ “หมัวมัวก็รู้ว่าสกุลหลี่สนับสนุนคุณชายสี่ไปมาก แล้วเห็นสกุลหลี่สนับสนุนบ้านอื่นในสกุลโจวหรือไม่เล่า?”
แม่เฒ่าส่ายหน้า ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายท่านผู้เฒ่าหลี่จะต้องอยากสนับสนุนเงินทองให้คุณชายสกุลโจวท่านอื่นด้วย คนก็ไม่ใช่ลูกเขยของนายท่านผู้เฒ่าหลี่ไม่ใช่หรือ?
“เฮอะ ข้าจะพูดอีกครั้ง หากคุณชายสี่สอบได้เป็ขุนนาง สำหรับสกุลหลี่ก็นับเป็การลงทุนไม่มาก พวกเรามีคุณชายสี่ที่มีอนาคตไกลแค่คนเดียว แต่แต่งกับคนข้างนอกนั่นไม่เหมือนกัน หากแต่งกับนาง พวกเราสกุลโจวจะกลายเป็ญาติของเสนาบดีกระทรวงขุนนาง ลูกชายลูกสาวสกุลโจวล้วนรู้หนังสือ ดังนั้นท่านเสนาบดีย่อมต้องช่วยพวกเราสกุลโจววางแผนเพื่อขยายอำนาจ ถึงตอนนั้นพวกเราสกุลโจวหลายบ้านย่อมรุ่งเรืองเฟื่องฟู!”
ดวงตาของนายหญิงใหญ่เรืองรองทอประกายดังฝัน ราวกับได้เห็นภาพลูกและสามียิ่งใหญ่ขึ้นอย่างมั่นคงแล้ว
ในที่สุดแม่เฒ่าไป๋เหลียนจึงเข้าใจ
แต่งกับคนที่คุณชายเลี้ยงเอาไว้นอกบ้านคนนั้น เช่นนี้บุรุษทุกคนในสกุลโจวที่รู้หนังสือมากๆ ก็จะได้กลายเป็ขุนนางขั้นสูง!
นางกล่าวด้วยอารามยินดี “เป็เช่นนี้เอง แต่งกับคนที่อยู่ข้างนอกนั่นดีกว่าจริงๆ”
นายหญิงใหญ่หัวเราะอีกครั้ง “แต่หากให้ข้าเลือกจริงๆ ข้าเลือกมีหลี่ซื่อเป็น้องสะใภ้ยังดีกว่า นางเข้าหาง่ายเพียงใดเ้าก็รู้ ไม่ใส่ใจเื่ใดราวกับเทพเซียนไม่ใช่หรือ? ส่วนคนข้างนอกนั่นมีอะไรเทียบได้บ้าง มิใช่เพราะนางยั่วยวนคุณชายจนคลอดลูกออกมา ทำให้คุณชายสี่เชื่อฟังหรอกหรือ? หากข้าเป็หลี่ซื่อ ต่อให้ตายข้าก็ไม่ยอมปล่อยนางไปแน่!”
กล่าวจบ นางก็เห็นคนจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่าเข้ามาแจ้งว่าฮูหยินผู้เฒ่าเรียกตัวไปพบ
นายหญิงใหญ่ขยิบตาให้หมัวมัวของตัวเอง หญิงชราเดินออกไปแล้วบอกว่านายหญิงใหญ่วันนี้ตื่นแต่เช้า ตอนนี้จึงได้ปวดหัว กินอาหารเข้าไปเล็กน้อยก็หลับแล้ว
คนจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าเรียกตัวคนไม่ได้ก็ได้แต่ถอยกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง
“เฮอะ ฮูหยินผู้เฒ่าทนพี่สะใภ้ของนายหญิงน้อยสี่ไม่ได้จึงคิดจะให้ข้าตามเช็ดตามล้างให้กระมัง” พอแม่เฒ่าเดินเข้ามา นายหญิงใหญ่ก็เบิกตากว้างเอ่ยเสียงเหยียดหยัน “อยากให้ไปข้าก็จะไป แต่รอจนกว่าข้าจะเสร็จธุระก็แล้วกัน”
สิ้นคำ นางก็ปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ไป๋เหลียนถอยหลังกลับไป
หลินฟู่อินเดินมาตลอดทางไม่พบใครแม้แต่คนเดียว พอถึงประตูเล็กก็เห็นแม่เฒ่าสวมชุดเก่าๆ โทรมๆ คนหนึ่งเฝ้าประตูอยู่
เพราะเช่นนี้กระมังจึงได้มาเฝ้าประตูเล็กนี่
หลินฟู่อินหยิบเงินออกมาห้าอีแปะแล้วยิ้ม “หมัวมัวผู้เฒ่าท่านนี้ ข้าจะออกไปซื้อขนมสักหน่อย ประเดี๋ยวจะกลับมา ท่านช่วยปิดบังให้ข้าหน่อยนะเ้าคะ”
หญิงชราคิดว่านางเป็สาวใช้สกุลโจวก็หรี่ตา พูดตรงไปตรงมา “แม่นาง ฮูหยินใหญ่มีกฎชัดเจนห้ามผู้ใดออกจากจวนโดยง่าย! เ้ามีป้ายอนุญาตให้ออกจากจวนหรือไม่?”
หลินฟู่อินส่งเงินออกไปแล้วบ่น “โถ่ ท่านแม่เฒ่าเปิดประตูไม่รู้กี่ครั้งแล้วยังจะกล่าวเช่นนี้กับข้าอยู่อีก รีบเปิดให้ข้าออกไปเถอะเ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะซื้อขนมมาฝากท่านด้วย ช่วยข้าปิดบังด้วยนะเ้าคะ”
พอแม่เฒ่าเห็นเงินห้าอีแปะก็หัวเราะเสียจนมองไม่เห็นตา รีบร้อนรับเงินมา ยิ่งได้ยินว่าหลินฟู่อินจะซื้อขนมมาฝากก็ยิ่งยินดี
“โอยๆ ดูข้าเข้าสิ แค่ล้อเล่นกับเ้าเท่านั้นเองนางหนู ไปๆ รีบไปเสียเถอะ เดี๋ยวข้าเปิดประตูรอเ้ากลับมา จะได้ไม่มีใครเห็นเ้าออกจากจวน”
หลินฟู่อินขอบคุณนางแล้วรีบวิ่งออกไป
ในที่สุดก็ออกมาได้แล้ว!
นางหรี่ตาลง ต่อให้เขียนจดหมายส่งให้สกุลหลี่ก็คงจะสายเกินไปแล้ว แต่อย่างไรก็ยังต้องเขียนบอกเล่าความคิดอันสกปรกของนายท่านผู้เฒ่าสกุลโจวให้คนออกหน้าอยู่ดี
น้ำอยู่ไกลไม่อาจดับไฟที่อยู่ใกล้ นางต้องหาคนที่สามารถรับรองความปลอดภัยของหลี่ซื่อให้ได้ก่อน
สกุลโจวสร้างสถานการณ์ที่ไร้ร่องรอยขึ้นมาได้เพราะมีการวางแผนล่วงหน้านับปี กระทั่งสามารถปิดบังนายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่มาได้เป็ปีๆ หลี่ฮูหยินเพียงแกล้งโง่คงไม่อาจปกป้องพวกนางเอาไว้ได้นานนัก
อยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน ทันใดนั้นนางก็นึกถึงหวงฝู่จินขึ้นมา หากเขายังอยู่ นางเพียงส่งคนเข้าไปลอบคุ้มกันในจวนสกุลโจวก็ไม่ต้องกังวลอะไร…
หวงฝู่จินมาเมืองชิงเหลียนจริง แต่ไม่รู้ว่าไปไหน ยิ่งไม่ต้องนึกถึงการตามหาตัว
หลินฟู่อินคิดถึงความเป็ไปได้หลายๆ ทาง แต่อย่างไรก็คิดไม่ออกจึงได้แต่ยอมแพ้ไป
ถึงจะหาเขาไม่เจอก็ยังมีคนอื่นอยู่อีก
หลิวฉิน
หลิวฉินเคยบอกกับนางเป็นัยมาก่อน เขาสนิทกับคนสกุลฉางแห่งภัตตาคารอิ๋งเค่อไหลในเมืองชิงเหลียน ทั้งสองสนิทกันมาก ครั้งนี้คือคุณชายสกุลฉางที่เร่งรัดให้เขาไปหา
อันดับแรกต้องไปร้านขายของชำ ซื้อพู่กันกับกระดาษมาเขียนจดหมาย จากนั้นนำไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อส่งถึงสกุลหลี่ แล้วก็ไปที่ภัตตาคารอิ๋งเค่อไหลเพื่อเสี่ยงดวงดู หลินฟู่อินคิด
พอเขียนจดหมายและนำไปส่งที่โรงเตี๊ยมเสร็จนางก็รีบจ้างรถม้าเพื่อนำทางไปภัตตาคารอิ๋งเค่อไหลทันที เข้าไปถามก็พบว่าหลิวฉินมาพบนายน้อยของภัตตาคารแห่งนี้จริงๆ แต่ตอนนี้คุณชายทั้งสองพากันไปล่องเรือเล่นที่ทะเลสาบแล้ว
หลินฟู่อินเงยหน้ามองฟ้า นางออกมาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว เกรงว่าสกุลโจวจะรู้ตัวว่านางออกมา ทำให้หลี่ฮูหยินกับหลี่ซื่อเป็อันตรายเอาได้
แต่อย่างไรก็ไม่มีทางอื่น ถ้า้าหยุดแผนสังหารคนของสกุลโจว อย่างไรก็ต้องตามหาหลิวฉินให้เจอ
นางจ้างรถม้าอีกครั้ง ให้คนขับเฆี่ยนม้าเร่งไปยังทะเลสาบที่หลิวฉินไป
เห็นทะเลสาบกว้างกับเรือสองชั้นที่ค่อยๆ ลอยเอื่อยเฉื่อยมาถึงท่า หลินฟู่อินดีใจยิ่งนัก รีบโบกไม้โบกมือะโ “หลิวฉิน หลิวฉินอยู่บนเรือหรือไม่?”
หลิวฉินกับนายน้อยฉางแห่งภัตตาคารอิ๋งเค่อไหลกำลังเตรียมตัวลงจากเรือพอดี พอได้ยินเสียงของหลินฟู่อินแวบแรกยังคิดว่าหูฝาดไปเอง
ทว่านายน้อยฉางกลับได้ยินชัดเจนว่าเป็เสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งร้องเรียกชื่อหลิวฉิน
เขาแตะบ่าหลิวฉินแล้วขยิบตาดูมีเลศนัย “คุณชายหลิวของเราช่างเสน่ห์ล้นเหลือ กระทั่งออกมาแล่นเรือในทะเลสาบยังมีสาวๆ วิ่งไล่ตาม…”
“อย่าพูดไร้สาระ เสียงเหมือนเพื่อนข้าที่เมืองชิงหยาง ดูแล้ววิตกไม่น้อย ข้าต้องรีบไปดูแล้ว!” หลิวฉินตั้งใจฟังอีกครั้งก็พบว่าเป็เสียงของหลินฟู่อิน
ชายหนุ่มกังวลขึ้นมา เหตุใดอยู่ๆ ฟู่อินถึงมาเมืองชิงเหลียน ตามหาตัวเขาถึงนี่?
เกิดเื่อะไรขึ้นหรือไม่?
หลิวฉินคิดจะลงเรือเล็ก แต่นายน้อยฉางกลับรั้งตัวเอาไว้ก่อน “ใกล้จะถึงฝั่งแล้ว อย่าเพิ่งลงไปเลย ทะเลสาบตอนนี้ลมแรงยิ่งนัก”
หลิวฉินขัดขืน ตอบด้วยเสียงกังวล “ฉางหนิง นางคือสตรีที่ข้าเล่าให้ฟัง คนที่ทำผักสดในหน้าหนาวให้เ้าได้!”
ได้ยินคำกล่าวของสหาย นายน้อยฉางก็กังวลขึ้นมา “เหตุใดไม่รีบบอกข้าแต่แรก? ตอนนี้คนควรจะอยู่ชิงหยางไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงมาชิงเหลียนเสียได้? หรือผักสดพวกนั้นเปลี่ยนสีใช่หรือไม่? หากเป็เช่นนั้นท่านพ่อตีข้าขาหักแน่ แล้วข้า… ข้าก็ต้องไปเข้ากองทัพตามคำสั่งท่านพ่อ!”
หลิวฉินไม่ใส่ใจ รีบลงเรือเล็กไปโดยมีนายน้อยฉางตามมาติดๆ
พอดูแล้วเป็หลินฟู่อินจริงๆ หลิวฉินรีบร้อนโบกมือร้องเรียกนาง
หลินฟู่อินเห็นหลิวฉินก็โล่งอก
หลิวฉินกับนายน้อยฉางะโขึ้นฝั่ง ไม่ใส่ใจแนะนำฉางหนิงให้หลินฟู่อินก็มองนางด้วยสายตากังวลแล้ว “ฟู่อิน เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงมาถึงชิงเหลียนได้?”
“ผักสดมีปัญหาอะไรหรือไม่?” ฉางหนิงแทรกกายขึ้นมาถาม
หลินฟู่อินเห็นเขาก็พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าคนผู้นี้เป็นายน้อยภัตตาคารอิ๋งเค่อไหล เห็นทั้งสองรีบร้อนมาเช่นนี้คงเพราะคิดว่าผักมีปัญหา นางจึงมองหน้าหลิวฉินก่อนแล้วตอบ “ข้ามาคุยกับท่านเื่ที่ได้พบมา อยากจะขอความช่วยเหลือ ไม่ต้องร้อนใจไปเ้าค่ะ”
ฉางหนิงได้ยินแล้วความกังวลก็หายไปทันที ตอนนี้กลับกลายเป็มองหลินฟู่อินด้วยสายตาเกียจคร้าน คิดกับตัวเองว่าเด็กคนนี้หลิวฉินชื่นชมเสียจนสูงเสียดฟ้ามิใช่หรือ? ที่แท้ก็ยังเป็เด็กน้อยไม่รู้กาลเทศะ ยังไม่โตเต็มวัยเลย…
หลิวฉินได้ยินว่าหลินฟู่อินมีปัญหากลับยิ่งเคร่งเครียดกว่าเดิม “เป็อะไรไป ไม่ต้องกังวล ค่อยๆ พูด ข้าอยู่นี่ ไม่ปล่อยให้เ้าโดนรังแกแน่!”
เขาถึงกับแผ่รังสีดุดันออกมา!
ฉางหนิงมองสหายที่สนิทดังพี่น้อง เด็กคนนี้ดูวิตกมากจริงๆ ส่วนสหายเขาก็เป็กังวลกับเ้าเด็กที่เหมือนต้นถั่วยังไม่โตเต็มวัยนี่ด้วย?
“หาที่คุยกันเถอะเ้าค่ะ เื่ค่อนข้างยาวทีเดียว” น้ำเสียงของนางเคร่งขรึม
หลิวฉินขยิบตาให้ฉางหนิง อีกฝ่ายเห็นก็รีบผิวปาก รถม้าหรูหราคันหนึ่งแล่นเข้ามา
“ผู้นี้คือสหายสนิทข้าชื่อฉางหนิง นั่นเป็รถม้าของเขา เข้าไปคุยกันในนั้นเถอะ” หลิวฉินเพิ่งจะแนะนำสหายตอนนี้เอง
หลินฟู่อินกับฉางหนิงต่างก็เพิ่งพบกัน แต่เมื่อหลิวฉินกล่าวเช่นนี้ย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายเชื่อถือได้ พูดต่อหน้าได้ไม่ต้องกังวล
พอขึ้นรถม้ากันแล้ว หลินฟู่อินจึงสรุปเหตุการณ์และเื่ราวที่เกิดขึ้นในจวนสกุลโจวให้เขาฟัง
หลิวฉินหรี่ตาลง ในดวงตาทอประกายอันตราย
ฉางหนิงมิได้ดุร้ายเหมือนหลิวฉิน อย่างไรก็ไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าสกุลโจวจะทำเื่เลวร้ายเช่นนี้ได้
หลิวฉินสีหน้าเ็า กล่าวอย่างดุดัน “สกุลโจวนั่นจะดีงามเพียงใดก็ช่างเถอะ หากข้าอยากแตะต้องใครก็ได้ทั้งนั้น ฟู่อินเป็สหายสนิทของข้า ข้าไม่ยอมให้พวกสกุลโจวนั่นรังแกนางแน่! ไม่ให้กินข้าวหรือ? คิดจะให้ผู้อื่นอดตายหรืออย่างไร?”
“หลิวฉินอย่าร้อนใจไป เ้ามาจากชิงหยาง สกุลโจวนี้เป็งูดินของชิงเหลียน พูดให้แย่หน่อย คนพวกนี้กับขุนนางท้องถิ่นชิงเหลียนล้วนแต่เป็พวกเดียวกันทั้งนั้น เ้าไม่ควรไปหาเื่ด้วย” ฉางหนิงมองหลินฟู่อิน นึกตำหนินางอยู่ในใจ
สกุลโจวนั่นแม้แต่พวกเขาสกุลฉางที่เป็งูดินเหมือนกันยังไม่กล้าเข้าไปวุ่นวายด้วย อย่างไรตระกูลนั้นก็ผลิตบัณฑิตออกมามากมาย หาใช่พวกที่คนอย่างหลิวฉินซึ่งไร้ที่มาที่ไปจะเข้าไปยุ่งด้วยได้
เด็กคนนี้มาหาหลินฉินเพื่อให้เขาออกหน้าแทนหรือ?
“แม่นางหลิน ในเมื่อท่านมาที่นี่ด้วยเื่สกุลหลี่ ก่อนอื่นก็สมควรหาสกุลหลี่ก่อนเป็ทางเลือกที่ฉลาดที่สุด อีกอย่าง อย่างไรท่านก็หนีออกมาจากเงื้อมมือสกุลโจวได้แล้ว ขอเพียงไม่กลับไปก็ย่อมไม่เป็ไร”
ประโยคนี้เป็การตำหนิหลินฟู่อินว่าลากหลิวฉินเข้าไปยุ่งเื่ระหว่างตระกูลโจวกับตระกูลหลี่สองบ้านนี้
ที่ฉางหนิงพูดเพื่อปกป้องสหายเช่นนี้หลินฟู่อินไม่มีอะไรจะตอบโต้ นางได้แต่อ้าปาก ไม่มีคำกล่าวใดออกมา
หลิวฉินมองนาง จากนั้นมองฉางหนิงแล้วกล่าวเสียงแข็ง “ฉางหนิงพูดอะไรของเ้า? นางอยู่ในที่ไม่คุ้นเคย ถูกรังแกเช่นนี้ ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่ด้วยจะไม่เรียกร้องแทนได้อย่างไร? หากทำเช่นนั้นข้าจะเป็ตัวอะไรกัน?”
รู้ว่าทั้งสองเข้าใจผิด หลินฟู่อินรีบส่ายหน้า “ทั้งสองคนเข้าใจผิดแล้วเ้าค่ะ ข้าไม่ได้ขอให้หลิวฉินช่วยเรียกร้องแทน เพียงแต่จะขอให้ช่วยเหลือสักเล็กน้อย มิได้ให้ไปช่วยถึงในสกุลโจว ข้ามีวิธีอยู่”
ทั้งสองคนต่างก็คิดไม่ถึง เหตุใดนางจึงต้องออกมาตามหาหลิวฉินเพื่อช่วยเื่สกุลโจวด้วย ต่อให้สกุลโจวอยากขังนางกับหลี่ฮูหยินเอาไว้ในจวน ทั้งหมดก็เป็เพียงการคาดเดาไปเองทั้งนั้น ไม่มีหลักฐานแม้แต่น้อย สกุลโจวไม่มีทางยอมรับแน่ มิใช่นางแค่… อยากกล่าวโทษสกุลโจวที่ไม่เลี้ยงอาหารหรอกหรือ?
ประหลาดจริง
หลิวฉินมองหลินฟู่อินด้วยสายตาประหลาดใจ ไม่ให้เขาไปเรียกร้องแทนที่สกุลโจว? โชคดียิ่งนัก ในใจเขารู้สึกยินดีขึ้นมาบ้าง
เขายังไม่ทันออกปาก ฉางหนิงก็รีบตอบทันที “แม่นางหลิน ้าให้หลิวฉินทำอะไรหรือ? รีบพูดมาเถอะ ไม่ต้องบอกว่าขอให้หลิวฉินช่วยก็ได้ ขอเพียงไม่ยากเกินไป ข้าฉางหนิงเองก็จะช่วยเ้าด้วยเช่นกัน”
ข้อแม้เดียวคือไม่ใช่การไปเผชิญหน้ากับสกุลโจว
หลินฟู่อินดวงตาทอประกายน้อยๆ นางทราบความหมายของฉางหนิงจึงกล่าวอย่างอารมณ์ดี “ในเมื่อคุณชายฉางเต็มใจช่วย ข้าก็ต้องขอขอบคุณท่านเ้าค่ะ! ตอนนี้ข้า้าเพียงให้ท่านช่วยปล่อยข่าวว่าคุณชายสี่สกุลโจวมีอนุภรรยาอยู่นอกจวน อนุภรรยาคนนั้นเป็บุตรสาวของขุนนางระดับสูงในเมืองหลวงที่ถูกส่งมาอยู่ชิงเหลียน ยามนี้มีลูกชายฝาแฝดสองคนเ้าค่ะ”
เื่นี้ง่ายดายยิ่งนัก แค่หาพวกนักเลงกับขอทาน โยนเงินให้สักหน่อยก็เรียบร้อย
ฉางหนิงจึงมองหลินฟู่อินแล้วถาม “แม่นางหลิน มีเพียงเท่านี้หรือ?”
“เท่านี้เ้าค่ะ” หลินฟู่อินพยักหน้า
หลิวฉินไม่เข้าใจความคิดของเด็กสาวจึงขมวดคิ้วอยู่นาน สุดท้ายก็มองหลินฟู่อินแล้วถาม “ฟู่อิน เื่นี้ง่ายมาก แค่หาพวกนักเลงกับขอทานก็ได้แล้ว ปล่อยข่าวลือออกไป ให้กลายเป็เื่ที่ชาวเมืองชิงเหลียนนำไปพูดคุยกันบนโต๊ะอาหาร แต่เื่นี้อย่างมากก็เพียงทำให้สกุลโจวขายหน้า ไม่ได้แก้ปัญหาหลักไม่ใช่หรือ?”
ฉางหนิงก็มองหน้าหลินฟู่อินแล้วเห็นด้วย
หลินฟู่อินแสยะยิ้ม ดวงตาเย็นเยียบมองบุรุษหนุ่มทั้งสอง “ท่านต้องรู้ก่อนว่าสกุลโจวเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายตำรา สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่หน้า! โดยเฉพาะคุณชายสกุลโจวเป็บัณฑิต ปีนี้จะเข้าร่วมการสอบ หากมีคนรู้ว่าเขาขาดคุณธรรมย่อมไม่ใช่เื่ดีงามอะไร หึหึ มีแต่จะจมน้ำลายตาย! หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง คุณชายสี่สกุลโจวแอบเลี้ยงอนุไว้นอกบ้านเื่นี้ต้องมีคนรู้อยู่แล้ว แต่เกรงอำนาจสกุลโจวจึงไม่กล้าแพร่ข่าวออกไป”
“พวกสกุลโจวปิดบังไว้ได้ดีนัก แม้แต่ข้าเองอยู่ในเมืองชิงเหลียนก็ยังไม่เคยได้ยินเื่นี้มาก่อน” ฉางหนิงนิ่วหน้า อย่างน้อยพวกเขาสกุลฉางก็ไม่เคยได้ยิน
หลินฟู่อินส่ายหน้า “ท่านไม่ได้ยินไม่ได้แปลว่าผู้อื่นไม่รู้ คุณชายฉางเปิดภัตตาคาร เป็สถานที่ที่ง่ายต่อการได้ยินข่าวลือทุกรูปแบบ เกรงว่าสกุลโจวคงเน้นป้องกันภัตตาคารทั้งหลายเป็พิเศษ”
เมื่อฉางหนิงได้ยินก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลจนต้องพยักหน้ารับ
ชะงักไปครู่หนึ่ง หลินฟู่อินก็กล่าวเสียงเย็น “แค่นี้น่าจะยังไม่พอ พวกท่านลองปล่อยข่าวออกไปอีก บอกว่าคุณชายสี่สกุลโจวมีบุตรชายแล้วสองคน หากหลี่ซื่อคลอดบุตรชายออกมาก็ไม่เป็ไร แต่หากคลอดบุตรสาวออกมา เกรงว่าคุณชายสี่สกุลโจวคนนั้นจะอยากรับอนุภรรยาบุตรขุนนางจากเมืองหลวงเข้าบ้านมาแทนภรรยาเอก”
ที่หลินฟู่อินไม่กระจายข่าวลือเื่แผนร้ายของสกุลโจวออกไปก็เพื่อบังคับให้คนบ้านนั้นไม่กล้าทำอะไรหลี่ซื่อกับเด็กในท้อง เช่นนี้สกุลโจวย่อมไม่กล้าทำอะไรลูกสะใภ้จากสกุลหลี่กับเด็กในท้อง ยิ่งต้องหาวิธีรักษาทั้งแม่ทั้งลูกเอาไว้ให้ได้
หาไม่แล้วหากหลี่ซื่อเป็อะไรไป ก็จะเป็การยืนยันข่าวลือข้างนอกว่าสกุลโจวจงใจฆ่าหลี่ซื่อกับเด็กในท้อง เพื่อเปิดทางให้อนุภรรยาที่เป็บุตรขุนนางระดับสูงเข้าจวน…
ฉางหนิงฟังสิ่งที่หลินฟู่อินกล่าวด้วยความตั้งใจแล้วลองคิดตามก็ต้องประหลาดใจว่าเด็กคนนี้มีความคิดชัดเจนแจ่มแจ้ง มองเื่ราวด้วยสายตาเจนจัด มีลูกล่อลูกชน ทำให้สกุลโจวต้องเสียหน้ารุนแรง ทั้งยังต้องหาวิธีปกป้องหลี่ซื่อกับเด็กในท้องให้ได้อีกด้วย!
ยิ่งกว่านั้นเื่เกิดขึ้นในตอนที่นางติดกับสกุลโจวแล้ว ไม่เพียงคนจะมีความคิดเช่นนี้ออกมาได้ แต่ยังสามารถออกมาตามหาหลิวฉินเพื่อมัดมือมัดเท้าสกุลโจวเอาไว้ได้…
ทำเช่นนี้ไม่ใช่แค่โชค หากไร้สมองกับความคิดชัดเจนจะทำได้หรือ?
ฉางหนิงยังคิดว่าหากเขาอยู่ในสถานการณ์เดียวกันคงไม่อาจคิดหาวิธีแก้ไขได้ ยิ่งไม่ต้องคิดถึงการตอบโต้เอาคืนสกุลโจว
มีทั้งความกล้า มีทั้งสติปัญญาที่แหลมคม เด็กหลินฟู่อินคนนี้คู่ควรต่อการชื่นชมและการผูกมิตร ยามนี้จึงได้เข้าใจว่าเหตุใดหลิวฉินที่เป็สหายสนิทดังพี่น้องของเขาจึงได้เคารพนางยิ่งนัก
เขาเองก็มองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว…
แน่นอนว่าหลิวฉินไม่โง่ ฟังคำพูดของหลินฟู่อินแล้ว ในฐานะคุณชายเ้าสำราญ เขาย่อมทราบว่าต้องทำอย่างไรจึงจะดีที่สุด
ชายหนุ่มหรี่ตา พยักหน้าแล้วกล่าว “ฟู่อิน ข้าเข้าใจแล้วว่าต้องทำอะไร ย่อมทำออกมาได้สมบูรณ์แบบแน่ ไม่ต้องห่วง!” คิดๆ อีกหน่อยก็มองหน้าหลินฟู่อิน แล้วถาม “เ้าคงไม่กลับไปสกุลโจวอีกกระมัง?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้