Chapter thirty-three: being your first
แผ่นหลังของคนตัวเล็กพิงประตูไม้บานใหญ่ของบ้านมอร์แกนทันทีที่มันถูกปิดลง ความรู้สึกหวิวในใจยังคงไม่หายไปสักนิดหลังจากที่เขาลงมาจากรถคันหรูของบ้านแมคคอยด์ หากให้พูดตามตรง แพทริเซียก็ยังคงอยากอยู่กับไซม่อนอีกสักหน่อยนั่นแหละนะ แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อเวลาและโอกาสนั้นมันดูไม่เป็ใจให้พวกเขาเลยสักนิด สองขาเรียวก้าวเข้าไปในบ้านที่เงียบเชียบด้วยความสงสัย ปกติแล้วหากไม่ใช่คุณพ่อก็ต้องเป็คุณแม่ที่ต้องอยู่บ้านแต่วันนี้ดูเหมือนกับว่าจะไม่มีใครอยู่บ้านสักคนซะอย่างนั้น แพทริเซียก้าวลากขาของตัวเองไปหยุดอยู่ที่โซฟาตัวโปรดก่อนจะทิ้งตัวลงด้วความอ่อนเพลีย กลิ่นหอมของผ้าห่มผืนเล็กที่คุณแม่มักจะวางเตรียมไว้ที่โซฟาไม่ว่าเขาจะอยู่หรือไม่ก็เป็อีกอย่างที่ทำให้แพทริเซียรู้สึกว่าตัวเองนั้นได้มาถึงบ้านจริง ๆ แล้ว
รู้สึกเหมือนได้เติมพลังใจยังไงอย่างนั้นเลย
มันก็จริงอยู่ที่่นี้คฤหาสน์ควินท์เรลนั้นไม่ได้มีอะไรให้รู้สึกเหนื่อยใจเหมือนอย่างที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของเขาและไซม่อนก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนพัฒนามาเป็ความรู้สึกที่เขาไม่ได้คาดหวังไว้สักนิด ถึงจะเหลือเวลาอีกไม่นานที่การสอนของเขาและบทบาทในคฤหาสน์ควินท์เรลของเขาจะจบลง แต่ยังไงเขาก็ยังคงยืนยันว่าอยากจะใช้เวลาทุกวินาทีและทำหน้าที่ของเขาในฐานะครูฝึกสอนให้มันจบลงไปได้ด้วยดีที่สุด เพราะสุดท้ายแล้ว หากจบทุกอย่างในคฤหาสน์ควินท์เรล เขาก็ต้องกลับมาเป็นักศึกษาธรรมดาคนนึงที่ต้องไล่ตามความฝันและอนาคตของตัวเองอยู่ดี นึกแล้วแพทริเซียก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อยทุกครั้ง
และยังไม่ทันที่แพทริเซียจะได้ปิดเปลือกตาคู่สวยนั้น กลิ่นของดอกกุหลาบที่ถูกจัดวางในแจกันที่มุมห้องก็ลอยพัดมาแตะจมูกจนเขาต้องลืมตาขึ้นมาทันที กลิ่นกุหลาบที่ไม่ได้คล้ายกับกลิ่นกุหลาบป่าที่คฤหาสน์ควินท์เรลเท่าไหร่นักแต่ทุกครั้งที่ได้กลิ่นก็ทำให้เขาหวนนึกถึงฝันที่ทำให้เขาจมอยู่นานหลายเดือน และเขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลด้วยซ้ำว่าทำไมเขาถึงเอาแต่ฝันถึงบ้านหลังเล็กที่เต็มไปด้วยกุหลาบหลังนั้น บ้านที่เขาได้เห็นในฝันก่อนจะได้เห็นและมันก็ดูเหมือนกับความจริงไปซะหมด มีเพียงแค่ฝันร้ายที่เขาโดนกระชากในคืนนั้นนั่นแหละที่ยังไม่เป็จริงและเขาก็หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นกับเขา
ทุกอย่างมันดูเหมือนความจริงจนน่ากลัวไปหมด
รวมถึงผู้หญิงในฝันคนนั้นก็ด้วย
จนถึงตอนนี้แพทริเซียก็ยังไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็ใคร อาจจะมีอยู่จริงหรืออาจจะไม่มี แต่สุดท้ายแล้วผู้หญิงคนนั้นจะเกี่ยวข้องอะไรกับเื่ความฝันของเขาและบ้านหลังนั้นล่ะ พอได้นึกถึงบ้านโรสซีลิน แพทริเซียก็คิดถึงเื่เล่าของคุณโรสซีลินขึ้นมาจนทำเอาขนลุกขึ้นมาทั้งตัว หากผู้หญิงคนเดียวที่จะเกี่ยวข้องกับบ้านหลังนั้นก็ต้องเป็คุณโรสซีลินซึ่งเป็คุณแม่ของไซม่อน แต่ถ้าหากเขาไม่เคยแม้แต่ได้เห็นรูปหรือใบหน้าของคุณโรสซีลินสักครั้ง การที่จะฝันถึงจนเห็นชัดเจนขนาดนั้นก็คงเป็เื่แปลกน่าดู
โอเมก้าตัวขาวส่ายหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองด้วยความเหนื่อยใจ บ้านหลังเล็กที่ไร้ซึ่งเสียงที่คุ้นเคย ความเงียบเชียบของบ้านที่มักจะถูกเติมเต็มด้วยเสียงรายการโปรดที่คุณพ่อชอบดูและเสียงทำอาหารจากในครัวของคุณแม่ ในตอนนี้มันเงียบเหงาจนคนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนโซฟารู้สึกตัวเล็กลงไปยิ่งกว่าเดิมซะอีก เข็มนาฬิกาบ่งบอกว่าในตอนนี้ใกล้จะเป็เวลาสี่โมงเย็นแล้วแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไร้วี่แววคุณแม่ที่มักจะกลับบ้านใน่เวลานี้
หรืออาจจะเป็เพราะเขากลับมาแบบไม่ได้บอกก่อนนะ
ไวกว่าความคิด ฝ่ามือเล็กเลื่อนลงไปค้นในกระเป๋าเสื้อคลุมของตัวเองแต่เขาก็ต้องชะงักเพราะโทรศัพท์มือถือที่เขาคิดไว้ว่าอยู่ในนั้นแน่ ๆ แต่ในตอนนี้กลับไร้วี่แววของมันซะอย่างนั้น แต่เขาก็จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขาจับโทรศัพท์มือถือนั้นเป็ตอนที่เขาใช้มันถ่ายรูปของไซม่อนเอาไว้ตอนที่อยู่บนรถ หากมันจะตกหายไปก็คงอยู่บนรถแหละมั้ง เขาหวังอย่างนั้นนะ
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
ปลายนิ้วเรียวกดจิ้มเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองด้วยความคุ้นชิน โทรศัพท์บ้านถูกยกขึ้นแนบหูก่อนที่เสียงรอสายจะดังขึ้นทำให้คนที่กำลังกระวนกระวายใจรู้สึกชื้นใจขึ้นมาสักหน่อย แต่แล้วจู่ ๆ เสียงเรียกเข้าที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นอยู่ไกล ๆ จนแพทริเซียต้องวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเดินตามเสียงที่เขาได้ยิน เสียงเรียกเข้าดังขึ้นมาใกล้ทุกย่างก้าวที่เขาเข้าไปใกล้ประตูบานใหญ่นั้น
หรือว่าจะตกอยู่ที่หน้าบ้าน?
ประตูไม้บานใหญ่ที่เพิ่งปิดลงไม่นานก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง แต่นั่นก็ต้องทำให้แพทริเซียเบิกตากว้างด้วยความใ เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือเครื่องสีขาวของเขายังคงดังอยู่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่ทำให้แพทริเซียใก็คงเป็คนที่ยืนฉีกยิ้มจนตาเป็สระอินั่นแหละ โอเมก้าตัวขาวชะโงกหน้าดูรถของบ้านแมคคอยด์ที่ควรจะจอดอยู่ที่หน้าบ้านเหมือนเดิมแต่ในตอนนี้กลับไม่มีแม้แต่เงาของรถหรืออัลฟ่าตาสองสีนั่นเลยสักนิด
“เราอยู่ด้วยคนสิ” เ้าของเสียงทุ้มพูดออกมาหน้าตาเฉยผิดกับเ้าของบ้านที่กำลังกระวนกระวายกลัวว่าใครจะมาเห็นอัลฟ่าตรงหน้าเข้า แพทริเซียรีบดึงคนตัวสูงเข้ามาในบ้านก่อนจะปิดประตูจนเกิดเสียงดังและลงกลอนไว้ด้วยความใ
มันก็จริงอยู่ที่ไม่มีใครเคยได้เห็นใบหน้าของทายาทควินท์เรล โดยผิวเผินมันอาจจะไม่ได้ดูน่ากลัวหรือน่าอันตรายสำหรับไซม่อนเท่าไหร่นัก แต่พอแพทริเซียฉุกคิดได้ว่าเขาเคยเจอบุคคลที่สามารถเป็อันตรายกับไซม่อนเข้าน่ะสิจึงทำให้เขาร้อนรนอยู่แบบนี้ หากคนของอีแวนส์เจอไซม่อนที่อยู่กับเขา ให้ตายยังไงคนพวกนั้นก็ต้องรู้แน่นอนว่าไซม่อนเป็ใคร และมันก็ไม่ได้ปลอดภัยเท่าไหร่นักกับการที่เขาออกมาอยู่ข้างนอกแบบนี้ นึกแล้วก็อยากโทรไปดุเจซให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ไม่ดีใจเหรอที่เรามา”
“มันอันตรายรู้ไหม ทำไมถึงไม่กลับไปกับเจซล่ะ”
“ก็เรายังไม่อยากกลับ เราอยากอยู่กับคุณนี่”
“ถ้าคนที่คฤหาสน์จับได้ขึ้นมามันก็เป็เื่ใหญ่น่ะสิ มันไม่ดีเล- ไซม่อน! ฟังเราบ้างหรือเปล่าเนี่ย?!”
เสียงของแพทริเซียกลายเป็เพียงแค่อากาศทันทีที่ไซม่อนได้ก้าวเข้ามาในตัวบ้าน เ้าของั์ตาคมมองไปรอบบ้านหลังเล็กที่เขาไม่คุ้นเคยด้วยความตื่นเต้น อัลฟ่าหนุ่มค่อย ๆ ก้าวเดินสำรวจรอบบ้านทีละนิด ตอนแรกแพทก็เดินบ่นตามทุกย่างก้าวที่เขาไปอยู่หรอกแต่พอได้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ดูสนใจอะไรเขาสักนิดก็เลยปล่อยเลยตามเลยไปนั่นแหละ
แต่ยังไงเขาก็ต้องคุยกับเจซให้รู้เื่ก่อน
ทิ้งะเิไว้ให้เขาชัด ๆ เลยแบบนี้
อย่าให้เจอนะคุณชายแมคคอยด์
แพทริเซียปล่อยให้ไซม่อนใช้เวลาอยู่นานสองนานในการสำรวจบ้านจนอีกฝ่ายพอใจ แล้วมันก็นานพอที่จะทำให้เขาได้คุยกับเจซจนเข้าใจแล้วด้วย สุดท้ายที่อัลฟ่าหน้าซามอยด์นี่มานั่งจ๋องอยู่ที่บ้านของเขาก็เป็เพราะเ้าตัวนั่นแหละ ทั้งที่เขาเองก็ตกลงกันไปแล้วแท้ ๆ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมจนเจซต้องเป็ฝ่ายยอมเองนั่นแหละ เพียงแค่นึกถึงเสียงถอนหายใจยาวก็ดังจากโอเมก้าตัวขาวจนคนที่กำลังนั่งจ้องโทรทัศน์เครื่องเล็กต้องเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัย
“เป็อะไรเหรอ คุณดูนี่สิ รายการนี่เราไม่เคยได้ดูที่คฤหาสน์เลย”
“เราคุยกับเจซมาแล้วนะ”
“คุยอะไร ไม่เห็นอยากจะฟัง”
“เจซบอกว่าเดี๋ยวมะรืนจะมารับ”
“เราอยู่กันถึงวันคริสมาสต์เลยไม่ได้เหรอ?” ไซม่อนเอ่ยพร้อมใบหน้าง้ำงอ
“เราต้องกลับก่อนคริสมาสต์อีฟ ห้ามเถียง”
ถึงอีกฝ่ายจะดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักแต่สุดท้ายไซม่อนก็ต้องยอมโดยดีนั่นแหละ แพทริเซียปล่อยให้ไซม่อนนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์เพียงลำพังก่อนเขาจะลองติดต่อพ่อกับแม่ และสุดท้ายก็ได้รับคำตอบที่ช่างประจวบเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันเหลือเกิน คุณพ่อและคุณแม่ของเขาเดินทางไปเที่ยวอีกเมืองด้วยกันสองต่อสองเพราะเขาไม่ได้ติดต่อกลับมา ดังนั้นเขาก็เลยมีเพียงเขาและไซม่อนนั่นแหละที่ต้องติดแหง็กอยู่ในบ้านเพื่อความปลอดภัยของไซม่อน
เฮ้อ อย่างน้อยในตู้เย็นก็ยังพอมีอะไรให้ประทังชีวิตล่ะนะ
“แพท แพทริเซีย” เสียงโอดครวญดังขึ้นมาจากคนที่กำลังทิ้งตัวพิงที่โซฟาขนาดเล็กซึ่งดูไม่เหมาะกับเ้าตัวเลยสักนิด แพทริเซียไม่ได้สนใจที่อีกคนเรียกเท่าไหร่นักเพราะในตอนนี้เขามีหลายอย่างให้ทำมากมายเหลือเกิน ฝ่ามือเล็กมัวแต่จัดการเก็บของที่ไม่เข้าที่เข้าทางตรงหน้าแต่ก็ยังขานรับอีกฝ่ายอยู่ในลำคอ
“อื้ม”
“เราหิวแล้วแพท ท้องร้องอีกแล้ว”
“หิวอีกแล้วเหรอ? ตอนอยู่บนรถก็เพิ่งกินโดนัทไปไม่ใช่หรือไง”
“ก็เราหิวแล้วนี่” ไซม่อนบ่นอุบพลางเลื่อนมือไปหยิบหมอนอิงบนโซฟามากอดไว้แนบอก
และเสียงออดอ้อนนั้นก็ทำให้แพทริเซียใจอ่อนได้ทุกที โอเมก้าตัวขาวเลื่อนกล่องใบใหญ่กลับไปที่เดิมก่อนจะลุกขึ้นมายืนมองคนที่กำลังหันมาเว้าวอนด้วยสายตาลูกหมาที่คุ้นเคย
“นะ”
เพียงแค่คำเดียวที่หลุดออกมาจากปากของอัลฟ่าหนุ่มก็ทำให้เ้าของบ้านรีบก้าวยาว ๆ ไปที่ครัวทันที ถึงปากแพทริเซียจะบอกว่าไม่อยากตามใจไซม่อนแค่ไหน แต่ทุกครั้งก็เป็เขาอยู่ดีนั่นแหละที่คอยตามใจอีกฝ่ายตลอด ดวงตากลมโตมองสำรวจในตู้เย็นทันทีที่เปิดมันออกมา ปกติแล้วเขาก็ไม่ได้ทำอาหารบ่อยเท่าไหร่นักหรอก จะมีก็แค่คอยเป็ลูกมือให้คุณแม่เป็ครั้งคราวเท่านั้นแหละ
เขาจะทำอาหารถูกปากไซม่อนไหมเนี่ย
หรือถ้าหากทำไซม่อนท้องเสียขึ้นมาล่ะจะเป็ยังไง
“ทำอะไรน่ะ?”
แล้วจู่ ๆ แพทริเซียที่กำลังยืนครุ่นคิดอยู่หน้าตู้เย็นก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงกระซิบที่ดังขึ้นอยู่ข้างหูโดยที่ไม่ทันตั้งตัว
“ไซม่อน!!” แพทริเซียแหวใส่ทันทีที่หันไปและพบว่าเป็อีกฝ่ายที่เอาคางมาเกยไหล่เขาไว้อยู่ อีกฝ่ายฉีกยิ้มส่งมาให้ด้วยความไม่เดือดร้อนใจยิ่งทำให้แพทริเซียโมโหเข้าไปใหญ่ คนตัวเล็กทุบลงเบา ๆ ที่ไหล่กว้างก่อนจะดันให้อีกคนห่างออกจากตัวพร้อมใบหูที่แดงก่ำทันที
“ทำไมต้องทุบเราด้วยเล่า แค่ถามเอง”
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าโผล่มาแบบนี้ เราในะ”
“เราเดินเสียงดังออก มีแต่คุณนั่นแหละที่ยืนคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้”
“ก็คิดเมนูให้คุณกินนี่ไงเล่า” แพทริเซียส่ายหน้าไปมาก่อนจะก้มหยิบของออกมาจากตู้เย็นด้วยความตั้งใจ ถึงในใจจะมีเมนูที่อยากทำให้อีกฝ่ายลองกินก็เถอะ แต่เขาก็ไม่ได้มั่นใจในฝีมือของตัวเองเลยสักนิดแถมไซม่อนก็คงคุ้นเคยกับรสชาติอาหารที่เลิศหรูของคฤหาสน์ควินท์เรลอีก เพียงแค่คิดคิ้วเรียวสวยก็ขมวดเข้าหากันจนไซม่อนต้องก้มลงมามอง
“แพท”
“ว่าไง?”
“เราช่วยทำอาหารได้ไหม?” เขาเอ่ยบอกพร้อมยกนิ้วขึ้นมาถูปลายจมูกแก้เขิน
“คุณเคยทำเหรอ?”
“ไม่เคยหรอก แต่เราเคยไปนั่งดูแม่ครัวทำอยู่บ้าง”
“เราบอกไว้ก่อนเลยนะว่าเราสอนคุณไม่ได้แล้วเราก็ไม่ได้ทำอาหารเก่งด้วย เราสอนคุณได้แค่เื่การแสดงกับเื่พิธีเท่านั้นแหละ”
โอเมก้าตัวขาวบ่นยาวเหยียดพร้อมปิดประตูตู้เย็นและหอบวัตถุดิบทั้งหมดที่พอมีอยู่ออกมาวางไว้บนโต๊ะ
“เหมือนจะไม่มีชีสเลยแฮะ พาสลีย์ก็หม-” เสียงหวานถูกกลืนหายลงไปในลำคอทันทีเมื่อจู่ ๆ อัลฟ่าตัวสูงก็จับไหล่ของเขาให้หันมามองหน้ากัน
“ไซม่อน”
“..”
“อะไรของคุณเนี่ย เราจะทำกับข้าว”
“ขอแค่สองวันได้ไหม?”
“สองวัน?”
แพทริเซียเอ่ยทวนคำถามของอีกคนซ้ำด้วยความไม่เข้าใจ มือที่กำลังจับอยู่ที่ไหล่ของเขาค่อย ๆ ผ่อนแรงบีบลงทีละนิดก่อนที่ปลายนิ้วโป้งทั้งสองข้างจะเปลี่ยนมาลูบวนแ่เบาที่หัวไหล่ของเขาอย่างใจเย็น
“คุณเป็อะไรไซม่อน”
“ขอแค่สองวันที่ให้เราได้เป็คนธรรมดา”
“..”
“คนธรรมดาที่ไม่ใช่คนที่คุณถูกจ้างให้ไปสอนหรือต้องมารับผิดชอบอะไรเื่เรา ให้เราได้เป็แค่คนธรรมดาที่ชอบคุณมาก ๆ แล้วก็อยากใช้เวลาสองวันนี้กับคุณแบบคนธรรมดาทั่วไปโดยที่ไม่ต้องคิดเื่อื่น”
“ไซม่อน”
“ให้เราได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำกับคุณเถอะนะ เราอยากให้คุณเป็คนที่อยู่กับเราตอนที่ได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่างครั้งแรก ไม่ต้องสอนก็ได้ แค่ทำมันไปด้วยกัน”
“..”
“นะ”
โอเมก้าตัวเล็กช้อนตามองคนที่กำลังจับไหล่ของตัวเองอยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนที่รอยยิ้มหวานของแพทริเซียจะถูกส่งไปให้คนตรงหน้าด้วยความเต็มใจ เขาพยักหน้ารับคำขอของอีกฝ่ายโดยที่ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไปทั้งนั้น คำอธิบายมากมายและคำขอที่ออกมาจากริมฝีปากของไซม่อนทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็จังหวะโดยที่อีกฝ่ายเองก็อาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ สิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมามันไม่ได้ดูหวานหรือพยายามจะเอาอกเอาใจอะไรให้เขารู้สึกเขินเหมือนประโยคจีบของคนทั่วไปหรอก แต่ความซื่อตรงและความจริงใจที่เขาััได้น่ะสิที่ทำให้แก้มอิ่มทั้งสองข้างกำลังขึ้นสีขึ้นมาช้า ๆ และยิ่งเมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมือมาวางัับนกลุ่มผมนิ่มอย่างแ่เบาแล้วผละออกไปอย่างอ้อยอิ่งนั่นแหละที่ทำให้แพทริเซียเอาแต่ก้มหน้าหยิบจับของบนโต๊ะอย่างไม่มีสติเลยสักนิด
ขนาดอยู่ด้วยกันตามลำพังเพียงไม่กี่ชั่วโมงยังทำเขาเป็ขนาดนี้
หากคืนนี้ต้องอยู่ด้วยกันจริง ๆ แพทริเซียจะทำยังไงล่ะเนี่ย
- Simon’s theory -
มื้ออาหารเย็นที่ออกจะทุลักทุเลในการทำสักหน่อยแต่สุดท้ายก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีอย่างไม่น่าเชื่อ ยังดีที่คุณแม่เคยจดสูตรซุปฟักทองของโปรดเขาไว้ให้และไซม่อนก็กลายเป็ลูกมือที่ดีทำให้ซุปฟักทองที่ทำเองครั้งแรกของเขาและไซม่อนมันออกมาหอมกรุ่นเรียกน้ำย่อยในท้องได้เป็อย่างดี ขนมปังสดใหม่ที่เขาเพิ่งซื้อมาก็ถูกอบไปพร้อมกับปลาแซลม่อนชิ้นโตที่ถูกทาด้วยเนยและกระเทียม ถึงเมนูที่ทำมันจะดูง่ายสำหรับคนอื่นแต่สำหรับคนที่ทำอาหารจริงจังครั้งแรกอย่างเขาและไซม่อนนั้นมันไม่ได้ง่ายเลยสักนิด เรียกได้ว่ากว่าจะทำทุกอย่างเสร็จจนพร้อมทานก็ทำพวกเขาหิวกันจนไส้กิ่วเลยทีเดียว แต่เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มหลังจากที่ไซม่อนได้ชิมอาหารฝีมือตัวเองครั้งแรกก็ทำให้เขาหายเหนื่อยเป็ปลิดทิ้ง สองข้างแก้มของเขาเต็มไปด้วยอาหารที่อัดแน่นเหมือนกับเด็กเล็กที่ชอบกินของอร่อย
อยากเลี้ยงไซม่อนแบบนี้ทุกวันเลย
แพทริเซียใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดผมของตัวเองที่กำลังจะแห้งสนิทพร้อมมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความเคยชิน ความมืดมิดปกคลุมคอตตอนเทลเข้าแล้ว มีเพียงพระจันทร์และดวงดาวระยิบระยับเท่านั้นที่ส่องแสงให้ได้เห็น แสงไฟจากละแวกบ้านถูกดับลงทีละหลัง คอตตอนเทลเป็ย่านที่ค่อนข้างเงียบสงบในตอนกลางคืนแต่ก็เป็มิตรมากเหลือเกินในตอนกลางวัน และนี่ก็เป็อีกเหตุผลที่เขาชอบละแวกบ้านของเขามากกว่าที่ไหนที่เคยไปมา
เสียงตะกุกตะกักดังออกมาจากในห้องน้ำจนทำให้แพทริเซียต้องหันไปมอง แล้วภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาหลุดขำออกมาด้วยความเอ็นดูทันที
“คุณว่าเสื้อมันเหมาะกับเราไหม?” ไซม่อนก้มมองดูเสื้อยืดตัวเล็กที่ตัวเองกำลังใส่อยู่ด้วยความไม่คุ้นชิน
“เหมาะ คุณใส่แล้วน่ารักออก”
อัลฟ่าหนุ่มดูแปลกตาไปเมื่ออีกฝ่ายใส่เพียงแค่เสื้อยืดสีขาวที่แพทริเซียเองคิดว่ามันตัวใหญ่ที่สุดในตู้ของเขาแล้ว เมื่อไปอยู่บนตัวอีกฝ่ายมันกลับดูตัวเล็กและรัดร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของไซม่อนซะอย่างนั้น แต่ก็ยังโชคดีหน่อยที่เขาเจอกางเกงนอนของคุณพ่อที่มีขนาดความยาวขาพอ ๆ กับอีกฝ่ายละนะ แพทไม่อยากจะนึกสภาพไซม่อนใส่กางเกงของเขาเลยสักนิด เพราะวัดจากความยาวของขาแล้วมีหวังปลายขากางเกงจะต้องไปอยู่บนเข่าของไซม่อนอย่างแน่นอน
เสียงประตูห้องน้ำถูกปิดลงด้วยฝีมือของอัลฟ่าตัวสูงที่ผมเปียกลู่ลงมาจนกรอบหน้าของเขามีหยาดน้ำเกาะอยู่ ภาพของไซม่อนในตอนนี้ดูแปลกตาไปแต่ก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายดูดีน้อยลงเลย ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในชุดนอนราคาแพงที่อีกฝ่ายมักจะสวมใส่ด้วยซ้ำ ไซม่อนทรุดตัวนั่งลงข้างกันพร้อมกับใช้ผ้าขนหนูซับที่ผมเปียกชื้นของเขาด้วยท่าทีเงอะงะ
“พรุ่งนี้เราจะทำอะไรกันเหรอ?” เ้าของเสียงทุ้มเอ่ยถาม
“เราว่าจะทำความสะอาดบ้าน คุณพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนก็ได้นะ”
“เราอยากทำด้วย”
“ไม่ต้องหรอกน่า เราทำได้”
“ให้เราช่วยทำได้ไหม? ถือว่าเป็ค่าตอบแทนที่ให้มาพักที่บ้านก็ได้”
แล้วใครจะไปเถียงเขาได้กันล่ะ
แพทหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพยักพเยิดหน้าตามใจอีกฝ่าย โอเมก้าตัวขาวในชุดนอนตัวเก่งทิ้งผ้าขนหนูผืนเล็กลงตะกร้าผ้าก่อนจะเก็บเอาเสื้อผ้าของไซม่อนที่ถูกวางพับไว้ลงไปพร้อมกัน
“ตามใจคุณก็แล้วกัน งั้นซักเสื้อผ้าของตัวเองด้วยนะ”
“ได้สิ แต่อันนี้คุณต้องสอนเรานะ”
“รู้แล้วน่า”
กลิ่นหอมที่เป็เอกลักษณ์ของแพทริเซียลอยพัดมาแตะจมูกอัลฟ่าหนุ่มที่นั่งอยู่ปลายเตียงจนเขาอดไม่ได้ที่จะสูดเอากลิ่นที่เขาชื่นชอบนั้นเข้าไปจนเต็มปอด ั์ตาคมลอบมองสำรวจไปทั่วห้องนอนเล็กที่เขาแทบไม่ได้สังเกตอะไรเลยั้แ่ก้าวเข้ามาและเขาก็พบว่าทุกอย่างถูกจัดวางไว้เป็ระเบียบและเรียบง่ายเหมือนเ้าของห้องไม่มีผิด กรอบรูปที่บรรจุรูปของแพทริเซียั้แ่เด็กจนโตถูกวางเรียงไว้อย่างใส่ใจ เพียงแค่ได้มองก็เหมือนว่าเขากำลังได้เห็นพัฒนาการการเติบโตของแพทริเซียผ่านรูปยังไงอย่างนั้นเลย
น่ารักั้แ่เด็กเลย
“เช็ดแบบนั้นเมื่อไหร่จะแห้ง เดี๋ยวก็เป็หวัดกันพอดี”
แล้วก่อนที่ไซม่อนจะได้เอ่ยอะไรกับเ้าของห้อง เขาก็ต้องชะงักเพราะความเย็นเฉียบของฝ่ามือเล็กที่เอื้อมมือมาดึงผ้าขนหนูจากเขาไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไร กลิ่นหอมของแพทริเซียเข้มข้นมากยิ่งขึ้นเมื่อเข้ามาอยู่ใกล้เพียงแค่คืบเดียว คนตัวเล็กใช้ผ้าซับที่ผมของเขาอย่างพิถีพิถันเหมือนกับที่พี่เลี้ยงมักจะทำให้อยู่เป็ประจำ แต่พอเป็แพทริเซียที่ทำให้ก็ทำให้เขามีความคิดแปลก ๆ ขึ้นมาซะอย่างนั้น
ไวกว่าความคิด ฝ่ามืออุ่นเลื่อนขึ้นไปััเอวบางของคนตรงหน้าผ่านเสื้อนอนที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่อย่างถือวิสาสะ อัลฟ่าหนุ่มมองใบหน้าหวานของคนที่กำลังเช็ดผมให้เขาอยู่เหมือนกับที่อีกฝ่ายก็กำลังจ้องมองมาเหมือนกัน ความเงียบทำให้เสียงลมหายใจของเขาทั้งคู่ดังชัดจนน่าอาย ั์ตาคมที่เคยจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตนั้นก็ถูกเลื่อนลงมามองที่ริมฝีปากสวยนั้นอย่างละสายตาไม่ได้
“แพทริเซีย”
“อื้อ”
เสียงหวานตอบรับในลำคอเมื่อถูกรั้งเอวบางลงมานั่งบนตักแกร่งของอัลฟ่าหนุ่ม วงแขนแข็งแรงโอบกอดแพทริเซียไว้หลวม ๆ ทั้งที่ยังจ้องมองริมฝีปากเล็กนั้นไม่หยุด เสียงหัวใจของทั้งคู่ดังขึ้นจนต่างฝ่ายต่างได้ยินจังหวะที่กำลังเต้นระรัวนั้น ใบหน้าหล่อเหลาเลื่อนเข้าไปใกล้โอเมก้าตัวเล็กในอ้อมกอดอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแ่
“เราจูบได้ไหม?”
ไร้ซึ่งคำตอบจากลูกแมวน้อยในอ้อมแขน มีเพียงแค่การพยักหน้ารับเป็สัญญาณให้อัลฟ่าหนุ่มได้ทำอย่างที่ใจ้า ไซม่อนเอียงหน้าเล็กน้อยก่อนริมฝีปากอุ่นจะแตะจรดลงบนกลีบปากสีสวยค้างไว้อย่างนุ่มนวล
ไร้ซึ่งการรุกล้ำ
มีเพียงแค่ริมฝีปากที่แตะกันเท่านั้น
จูบแรกของเขาทั้งคู่ที่ใช้เวลาเพียงแค่ไม่นานก่อนจะผละออกจากกันด้วยใบหน้าเห่อร้อนทั้งคู่ แต่ัันุ่มหยุ่นที่ริมฝีปากนั้นก็ยังคงทำให้คนที่นอนอยู่ข้างกันนั้นต้องเม้มปากนึกถึงััอยู่ตลอดทั้งคืน ัันุ่มนวลและแ่เบานั้นมันเหมือนกับฝันไม่มีผิด แต่อย่างน้อยก็ยังมีััอุ่นที่คอยกระชับมือจนทำให้หลับไปนั่นแหละที่ย้ำเตือนว่าทุกอย่างมันคือเื่จริง
- Simon’s theory -