ไป๋จื่อเยว่ถอนหายใจ คะแนนที่พวกเขาได้รับมาจากโรงพนันในครั้งก่อนถูกใช้ไปกับการฝึกฝนในหอคอยเทียนอวิ่นจนหมดแล้ว
“ทำไมเราไม่ลองดูอีกสักครั้งเล่า? พี่เฟิง คราวนี้ข้าจะสู้เอง”
มู่ขวงกล่าวขึ้น
“กลวิธีแบบนี้ใช้ได้ผลแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากใช้เป็ครั้งที่สองคนอื่นก็รู้ความสามารถที่แท้จริงของเรากันหมดแล้ว คงไม่สามารถใช้วิธีนี้หาเงินได้อีก”
มู่เฟิงส่ายหน้า
“ว่านเอ๋อร์ บัณฑิตคนอื่นในสำนักศึกษาต้องทำอย่างไรถึงจะได้รับคะแนนเพิ่มอย่างนั้นหรือ?”
มู่เฟิงหันไปถามว่านเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้าง
“บัณฑิตส่วนใหญ่จะไปยังวิหารภารกิจเพื่อรับภารกิจมาทำน่ะ โดยสำนักศึกษาเทียนอวิ่นของเราจะรับภารกิจมาจากอาณาจักรต่างๆ และเมื่อเราทำภารกิจเ่าั้สำเร็จ เราจะได้รับคะแนนเป็ผลตอบแทน”
อวิ๋นชิงว่านอธิบาย
“เอาเป็ว่าตอนนี้เราก็ไปหาอะไรทานกันก่อนเถอะ จากนั้นค่อยไปที่นั่น หากเป็ไปได้พวกเราค่อยลองรับภารกิจดู”
มู่เฟิงพยักหน้า จากนั้นพวกเขาก็เดินไปยังโรงอาหารของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น ภายในโรงอาหารแห่งนี้ พวกเขาสามารถใช้เงินซื้ออาหารได้โดยไม่จำเป็ต้องใช้คะแนน
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่ยังไม่บรรลุระดับหยวนตาน ร่างกายของพวกเขาไม่สามารถขาดอาหารและน้ำดื่มไปได้ ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ที่บรรลุระดับหยวนตานขึ้นไปแล้วนั้น ร่างกายจะสามารถต้านทานต่อความอยากอาหารได้
ภายในโรงอาหารในเวลานี้มีเหล่าบัณฑิตอยู่จำนวนไม่น้อย ทำให้บรรยากาศค่อนข้างคึกคัก นอกจากนี้ร้านอาหารที่อยู่ด้านในทั้งหมดก็มีการแบ่งระดับตามคุณภาพสูงต่ำด้วย
สำหรับอาหารระดับสูงจะเป็เนื้อของอสูรร้ายที่มีคุณค่าทางโภชนาการและอัดแน่นไว้ด้วยพลังิญญา ส่วนอาหารระดับล่างก็คือเนื้อสัตว์ธรรมดาที่มีราคาถูก
แน่นอนว่ามู่เฟิงไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง ไป๋จื่อเยว่กับมู่ขวงเองก็เช่นกัน
“พี่เฟิง ท่านกับพี่สะใภ้นั่งรอที่นี่ก่อน เดี๋ยวเราสองคนจะไปนำอาหารมาให้เอง”
ไป๋จื่อเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะพามู่ขวงเดินไปต่อแถวที่ร้านอาหารระดับสูง
“จริงสิ ว่านเอ๋อร์ ข้ามีของขวัญจะมอบให้เ้า”
เมื่อเด็กหนุ่มสาวทั้งสองคนนั่งลงแล้ว มู่เฟิงก็กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะนำกล่องไม้ขนาดยาวออกมาจากแหวนเฉียนคุน
“ตอนนี้น่ะหรือ?”
ว่านเอ๋อร์รู้สึกงุนงง
มู่เฟิงเผยยิ้ม และเปิดกล่องไม้ออก ภายในกล่องมีกระบี่สีขาวเล่มหนึ่งที่มีความยาวสามฟุตบรรจุอยู่
ดูเหมือนว่ากระบี่เล่มนี้จะไม่ได้ทำขึ้นจากทองคำหรือเหล็กกล้า และหากดูจากลักษณะของมันแล้วก็ดูเหมือนว่ามันจะทำขึ้นมาจากกระดูกหรือหยกขาว บนตัวกระบี่นั้นถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังิญญาเลือนราง ส่วนด้ามจับของกระบี่นั้นมีสีแดงเพลิง ทั้งยังมีลวดลายเกล็ดั นอกจากนี้ยังมีพู่ไหมหลากสีห้อยอยู่ตรงปลายด้ามด้วย
เห็นได้ชัดว่านี่คือกระบี่ปราณขั้นสองระดับสูง
กระบี่เล่มนี้มู่เฟิงใช้กระดูกงูเจียวไฟหลอมขึ้นมาตอนที่เขาอยู่ในวิหารสลักลายในเมืองหลวง เขาขอให้ช่างหลอมตีมันออกมาเป็กระบี่ จากนั้นก็ลงลายเส้นอาวุธขั้นสองให้มันด้วยตัวเอง
กล่าวกันตามตรงแล้ว การลงลายเส้นขั้นสองระดับสูงให้มันนั้นเป็อะไรที่ค่อนข้างเสียของ กระบี่กระดูกงูเจียวไฟเล่มนี้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะลงลายเส้นอาวุธขั้นสามได้ด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่ความสามารถของเขาในตอนนี้ลงได้เพียงลายเส้นขั้นสองเท่านั้น
นอกจากนี้ปัจจุบันวรยุทธ์ของว่านเอ๋อร์ยังอยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นเจ็ดแล้ว ดังนั้นนางจึงสามารถใช้กระบี่เล่มนี้ไปจนถึงจนถึงตอนที่นางมีวรยุทธ์ระดับหนิงกังได้
“ช่างงดงามยิ่งนัก…”
หลังจากว่านเอ๋อร์ได้พิจารณากระบี่กระดูกอันงดงามเล่มนี้โดยละเอียดแล้ว ความรู้สึกหลงใหลก็ปรากฏขึ้นในดวงตาคู่สวยของนาง
“กระบี่เล่มนี้มีชื่อว่าว่านชิง เ้าชอบมันหรือไม่?”
มู่เฟิงถามด้วยรอยยิ้ม
“ชอบสิ ขอเพียงเป็ของที่เ้ามอบให้ ไม่ว่าจะเป็อะไรข้าก็ชอบมันทั้งนั้น”
ว่านเอ๋อร์ตอบกลับด้วยยิ้มเช่นกัน นางหันไปจุมพิตลงบนใบหน้าของมู่เฟิง ก่อนจะหันกลับมาสนใจกระบี่ในมืออีกครั้ง
“กระบี่เล่มนี้ช่างงดงามยิ่งนัก”
ในระหว่างนั้นเองก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา สตรีในชุดคลุมสีเหลืองผู้หนึ่งจ้องมองกระบี่ในมือของว่านเอ๋อร์ด้วยแววตาลุกวาว
“มีอะไรอย่างนั้นรึ เฟยเอ๋อร์ เ้าชอบกระบี่เล่มนั้นอย่างนั้นหรือ?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำตาลที่ยืนอยู่ด้านข้างของสตรีผู้นั้นเอ่ยถาม
“อืม ระหว่างที่ทำภารกิจครั้งก่อนกระบี่ของข้าเพิ่งพังไป”
สตรีในชุดคลุมสีเหลืองเอ่ยตอบ
หญิงสาวผู้นี้มีใบหน้างดงามโดดเด่นไม่น้อย ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตสุกสกาวราวกับหยดน้ำ คางเล็กแหลม และผิวที่ขาวใสราวกับหิมะ เมื่อรวมกับชุดคลุมสีเหลืองที่นางสวมใส่กับการรวบผมจนแน่นตึงไปด้านหลังแล้ว ก็ยิ่งขับให้นางดูเป็หญิงงามที่เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์
“หากว่าเ้าชอบ ข้าจะไปซื้อมาให้เ้าเอง”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำตาลกล่าวขึ้นในทันที ราวกับว่า้าทำให้นางพึงพอใจ
“เฝิงอี้ผู้นี้ ช่างรู้จักวิธีทำตัวให้เป็ประโยชน์เสียจริง”
เหล่าบัณฑิตอีกหลายคนที่เดินมาพร้อมกับสตรีในชุดคลุมเหลืองต่างก็แสดงท่าทีรำคาญใจ พลางนึกโทษตัวเองที่มีตอบสนองช้ากว่าอีกฝ่าย
“หลีกทาง หลีกทาง”
ทันใดนั้นเอง ไป๋จื่อเยว่กับมู่ขวงก็เดินตรงเข้ามาพร้อมกับอาหารสี่อย่างในมือ ก่อนจะเดินผ่านกลุ่มคนเ่าั้ไป
แต่ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มสาวทั้งสี่คนจะได้เริ่มรับประทานอาหาร กลุ่มคนของสตรีในชุดคลุมสีเหลืองก็เดินเข้ามาเสียก่อน พวกเขาทั้งห้าคนเหลือบมองไปยังตราสัญลักษณ์บนอกเสื้อของเด็กหนุ่มสาว เมื่อพบว่าอีกฝ่ายเป็เพียงบัณฑิตใหม่พวกเขาก็แสดงท่าทีเย่อหยิ่งออกมาทันที
ในบรรดาคนสี่คน มีสามคนเป็เพียงหน้าใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาในสำนักศึกษาได้ไม่นาน ทว่าพวกเขาทั้งหมดกลับต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่านเอ๋อร์
ท่าทางของว่านเอ๋อร์นั้นให้ความรู้สึกที่ดูสูงส่งเป็อย่างมาก ราวกับว่ามีรัศมีของนางเซียนแผ่ออกมา ประกอบกับใบหน้างามล่มเมืองของนางแล้ว ยิ่งขับให้นางดูสวยสง่าราวกับนางฟ้านาง์
และความงามนี้ แม้แต่สตรีในชุดคลุมสีเหลืองยังต้องรู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะริษยาและ้าตั้งตัวเป็ศัตรูกับอีกฝ่าย
มู่เฟิงกับคนอื่นๆ ต่างก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังกลุ่มคนทั้งห้าที่เดินเข้ามา พวกเขาวางชามและตะเกียบลง
“ศิษย์น้องท่านนี้ ไม่ทราบว่าเ้าซื้อกระบี่เล่มนี้เป็จำนวนเงินเท่าไรอย่างนั้นหรือ ข้ายินดีทึ่จะซื้อต่อและจะจ่ายเพิ่มให้เ้าเป็สองเท่า”
เมื่อมาถึงเฝิงอี้ก็ถามขึ้นมาทันที
ว่านเอ๋อร์เหลือบมองไปยังตราสัญลักษณ์บนหน้าอกของอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวขออภัยและยิ้มอย่างสุภาพว่า “ต้องขออภัยศิษย์พี่ด้วย ข้าไม่อาจขายกระบี่เล่มนี้ให้ท่านได้”
รอยยิ้มอันอ่อนโยนของเด็กสาวทำให้เฝิงอี้และชายหนุ่มคนอื่นๆ ถึงกับเหม่อลอย สตรีในชุดคลุมสีเหลืองอย่างฉู่เฟยเอ๋อร์จึงจงใจพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงด้วยความไม่พอใจ ทำให้ชายหนุ่มเ่าั้พลันได้สติกลับมาอีกครั้ง
“กระบี่เล่มนี้ของเ้าราคาเท่าไร เรายินดีจ่ายให้เป็สามเท่า”
ฉู่เฟยเอ๋อร์กล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ
“บอกว่าไม่ขายก็คือไม่ขาย เชิญพวกท่านกลับไปเถอะ เราจะกินข้าว”
มู่เฟิงเลิกคิ้ว ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น
“โอ้ เด็กน้อย น้ำเสียงนี้ของเ้ามันอะไรกัน?”
ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างรู้สึกคุกรุ่นขึ้นมาทันที เพียงเขาสะบัดฝ่ามือ จานอาหารและตะเกียบของมู่เฟิงก็พลันแตกกระจายก่อนจะตกลงบนพื้น ทำให้อาหารหกกระจัดกระจายไปทั่ว
“เ้าบ้า นี่เ้ากำลังหาเื่อย่างนั้นรึ!”
มู่ขวงโกรธจัด เขาลุกพรวดขึ้นมาทันที ในขณะที่มือทั้งสองกำลังกำหมัดแน่น
ใบหน้าของมู่เฟิงพลันเปลี่ยนเป็ไม่น่ามอง แต่เขายังไม่ถึงขั้นมีโทสะ
“วันนี้กระบี่เล่มนี้ต้องเป็ของข้า เฝิงอี้ เ้าไปนำมันมาให้ข้า และมอบเงินสามพันเหรียญตำลึงทองให้พวกเขาไป”
ฉู่เฟยเอ๋อร์ะโกร้าวขึ้นอย่างโอ้อวดและหยิ่งยโส
จากนั้นเฝิงอี้ก็เอื้อมมือออกไปหมายจะคว้ากระบี่ของว่านเอ๋อร์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ดวงตาของมู่เฟิงเปลี่ยนเป็เ็า ก่อนที่แสงสว่างจะพลันก่อตัวขึ้นบนมือของเขา และกริชสีขาวก็ปรากฏขึ้น จากนั้นเด็กหนุ่มก็แทงกริชเล่มนั้นลงในทันที
ฉึก!
ฝ่ามือของเฝิงอี้ถูกกริชแทงลงบนโต๊ะ เืสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากฝ่ามือของเขาทันที
“อ๊าก…!”
เฝิงอี้แผดเสียงร้องออกมาจนมันดังก้องไปทั่วโถงของโรงอาหาร ว่านเอ๋อร์รีบหยิบกระบี่บนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะขยับตัวไปหามู่เฟิง
เสียงกรีดร้องของเฟิงอี้พลันดึงดูดความสนใจของบัณฑิตส่วนใหญ่ในโรงอาหาร
“สิ่งใดไม่ควรเอาไปก็อย่าคิดจะยื่นมือมาแตะต้อง”
มู่เฟิงกล่าวอย่างเ็า
ฉู่เฟยเอ๋อร์และคนอื่นๆ ถึงกับผงะไปทันที พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฟิงจะโจมตีออกมาตรงๆ ทั้งยังไร้ความปรานีถึงเพียงนี้
เฝิงอี้ใช้มืออีกข้างดึงกริชออก เขาร้องคร่ำครวญด้วยความเ็ปอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองทางมู่เฟิงด้วยดวงตาแดงก่ำ
“เ้า เ้ากำลังรนหาที่ตาย!”
เฝิงอี้แผดเสียงคำรามออกมาอย่างเดือดดาล เขาถือกริชของมู่เฟิงเอาไว้ในมือ ก่อนจะแทงมันไปทางมู่เฟิงอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
ดวงตาของไป๋จื่อเยว่พลันเปลี่ยนเป็เ็า เขาชักระบี่ออกมาในทันที
พรึ่บ!
ประกายแสงกระบี่สีขาวส่องสว่าง กริชในมือของเฝิงอี้พลันถูกกระบี่เล่มนั้นเหวี่ยงออกไปไกล
มู่เฟิงเตะร่างของเฝิงอี้อย่างแรง ทำให้ร่างของเขาถูกเหวี่ยงออกไปหลายเมตรและชนเข้ากับโต๊ะก่อนจะกระอักเืออกมา
“มัวทำอะไรอยู่ รีบไปช่วยเขาเร็วเข้า”
ฉู่เฟยเอ๋อร์ตวาด ชายหนุ่มอีกสามคนพลันได้สติ พวกเขาแผดเสียงคำรามก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาพวกมู่เฟิงในทันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้