ภรรยาหลี่หงถึงกับตกตะลึง นางคิดว่าหลังจากจวนโหวจัดงานแต่งงานของนางและหลี่หงแล้วคงไม่มีเงินเหลือ คิดไม่ถึงว่ายังมีเงินเหลืออยู่ถึงหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง แม้จะบอกว่าสินเ้าสาวของนางมีมูลค่าถึงหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง แต่ในสินเ้าสาวนั้นมีเตียงหนึ่งชุดและโต๊ะเก้าอี้ซึ่งได้ใช้ไปแปดพันตำลึงแล้ว ที่เหลืออีกมูลค่าเจ็ดพันตำลึงเป็ภาพวาดและของโบราณอีกเป็เงินไม่น้อย หากนับเป็เงินจริงๆ แล้วมีไม่ถึงหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง หากดูจากตรงนี้รากฐานของจงหย่งโหวนับว่าดียิ่ง
ต้องรู้ว่าสินสอดของหลี่หงจำนวนสองหมื่นตำลึงนั้นเป็เงินจำนวนเท่านั้นตามจริง
“ท่านแม่โปรดวางใจ งานแต่งงานของหลินเจี่ยเอ๋อร์นั้นข้าจะจัดการให้เรียบร้อยอย่างดีที่สุดเ้าค่ะ” ภรรยาหลี่หงกล่าว ในใจนั้นค่อยๆ กระจ่างแจ้งแล้วว่าผู้มีอำนาจที่แท้จริงในจวนโหวยังคงเป็ หลี่ลั่ว
ที่นาพระราชทาน ที่นาหนึ่งพันสองร้อยหมู่ และร้านค้าสองร้าน ล้วนอยู่ในมือของหลี่ลั่ว แต่ภรรยาหลี่หงยังไม่มีความคิดที่จะเอามา นางพอใจกับการดำเนินชีวิตในเวลานี้ แม่สามีเป็คนใจกว้างและตรงไปตรงมา อยู่ด้วยได้ไม่ยาก สามีเป็คนสุภาพอ่อนโยน น้องสาวสามีเป็คนเงียบขรึม น้องชายสามีไม่เข้ามายุ่งกับเื่เล็กๆ น้อยๆ ภายในจวน สามารถมีครอบครัวสามีเช่นนี้ถือเป็วาสนาที่นางได้สั่งสมบุญมาั้แ่ชาติปางก่อน
ณ ค่ายทหารซีเป่ย
“เป็อย่างไรบ้าง?” กู้จวิ้นเฉินมองไปยังหลี่จงิและองครักษ์มือดีที่เดินทางกลับมาจากหุบเขาลั่วเหอ
แม่ทัพอวี๋เซียวได้หายตัวไปที่หุบเขาลั่วเหอเป็เวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ แล้ว สถานการณ์เช่นนี้ไม่เป็ผลดีต่อค่ายทหารซีเป่ยเป็อย่างยิ่ง หากยังหาตัวไม่พบอีก ทางราชสำนักย่อมต้องส่งแม่ทัพคนใหม่มา แต่ซีเป่ยเป็พื้นที่ของสกุลอวี๋ หลังจากแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋แล้วเป็หลี่ซวี่ หลังจากหลี่ซวี่แล้วเป็แม่ทัพอวี๋เซียว แม้จะเป็พื้นที่ของสกุลอวี๋ แต่ก็เป็พื้นที่ของจ้าวหนิงฮ่องเต้เช่นกัน จ้าวหนิงฮ่องเต้อยู่ที่นี่เป็เวลายี่สิบกว่าปี เมื่อยามที่เขาอยู่ที่นี่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทหารต่างซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อเขา
หลี่จงิส่ายหน้า “คว้าน้ำเหลวพ่ะย่ะค่ะ คนทั้งหมดราวกับหายตัวไปอย่างกะทันหัน แม้กระทั่งร่องรอยเล็กน้อยก็ไม่มีให้พบเห็น” ไฉนจึงมีเื่เช่นนี้เกิดขึ้นได้
สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ของกู้จวิ้นเฉินเคร่งขรึมลง ขอเพียงแค่เคยผ่านไป จะต้องทิ้งร่อยรอยเอาไว้เป็แน่ นอกเสียจากว่า...กู้จวิ้นเฉินหรี่ตาลง นอกเสียจากว่าเวลานั้นพี่ชายจะไม่ได้ไปหุบเขาลั่วเหอ ทว่าเขานำทหารไปด้วยห้าร้อยนาย ทั้งๆ ที่ได้บอกว่าไปหุบเขาลั่วเหอ หากไม่ได้ไปหุบเขาลั่วเหอ เช่นนั้นจะไปที่ไหน?
ทหารซีเป่ยมีทั้งหมดห้ากองทัพย่อยด้วยกัน อวี๋เจิ้นซีเป็แม่ทัพใหญ่ รองจากเขายังมีรองแม่ทัพอีกห้าคน และรองแม่ทัพทั้งห้าคนนี้ไม่มีผู้ใดรู้เื้ัของเื่ราวในครั้งนี้ ทำให้กู้จวิ้นเฉินรู้สึกเหลือเชื่อ
“พวกเ้าคิดว่าอย่างไร?” กู้จวิ้นเฉินมองรองแม่ทัพทั้งห้าคนที่นั่งอยู่และถามออกไป
อย่าพูดว่ากู้จวิ้นเฉินหนักใจอยู่คนเดียว พวกเขาก็เองก็หนักใจเช่นเดียวกัน พวกเขาติดตามอวี๋เจิ้นซีอย่างร่วมเป็ร่วมตายมาเป็เวลาสี่ปีแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขาติดตามหลี่ซวี่ อวี๋เจิ้นซีสำหรับพวกเขาแล้วนั้นเป็เสมือนพี่น้องแขนขาของพวกเขา เวลานี้เกิดเื่เช่นนี้ขึ้น พวกเขาจะรู้สึกสบายใจได้หรือไร?
“ลำดับแรกต้องรู้ชัดเจนเสียก่อนว่าเหตุไฉนท่านแม่ทัพจึงได้นำกำลังทหารจำนวนห้าร้อยนายไปหุบเขาลั่วเหอ” รองแม่ทัพจางกล่าว
“ปัญหานี้เมื่อยามที่เปิ่นหวางมาถึงได้ถามพวกท่านแล้ว พวกท่านบอกว่าพี่ชายได้รับรายงานจากสายลับ ฝูชิวได้เตรียมกำลังคนกลุ่มหนึ่ง จะข้ามหุบเขาลั่วเหอมาซุ่มโจมตีทหารของพวกเรา ดังนั้นพี่ชายจึงนำกำลังคนไปต้านรับ ใช่หรือไม่?” กู้จวิ้นเฉินถาม
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” รองแม่ทัพเคอกล่าว “เวลานั้นแม่ทัพบอกกับพวกเราเช่นนี้”
“ดังนั้นปัญหาสำคัญที่สุดในเวลานี้คือต้องหาตัวสายลับที่พี่ชายบอกเอาไว้” กู้จวิ้นเฉินกล่าว “สายลับที่พวกเราวางไว้ในฝูชิวมีผู้ใดรู้เื่นี้บ้า?”
อีกสองวันก็จะปีใหม่แล้ว หากไปตามหาสายลับที่ฝูชิวในเวลานี้ เกรงว่า...แต่ไม่มีผู้ใดกล้าพูด
“รายงาน” ข้างนอกมีเสียงคนพูดขึ้น
“เื่อันใด?”
“มีคนขอเข้าพบฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ บอก...บอกว่าเป็จงหย่งโหวเสี่ยวโหวเหฺยมาส่งของขวัญให้กับฉีอ๋อง เป็รถม้าขบวนใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
อะไรกัน? แววตากู้จวิ้นเฉินเต็มไปด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นความรู้สึกปลาบปลื้มยินดีพลันเอ่อท้นขึ้นภายในใจของเขา แม้สีหน้าของเขายังคงไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แต่ร่างของเขาก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมุ่งไปยังประตู จวิ้นอีรีบติดตามเขาออกไป หลี่จงิและหลี่ต้านรีบรุดติดตาม รองแม่ทัพทั้งห้าที่เหลือต่างมองหน้ากันไปมา จงหย่งโหวเสี่ยวโหวเหฺย ใช่บุตรชายของหลี่โหวเหฺยหรือไม่? เมื่อคิดถึงโหวเหฺยที่ฟาดฟันอยู่ในสนามรบเฉกเช่นยมทูตผู้นั้นขึ้นมา พวกเขาก็ดวงตาแดงก่ำ วิ่งตามออกไปเช่นกัน
แต่ทว่า เมื่อพวกเขาวิ่งออกไปถึงหน้าประตูนั้น เห็นฉีอ๋องและคนอื่นๆ ยืนตกตะลึงอยู่ที่นั่น พวกเขาหันไปมองข้างหน้า คนทั้งหมดล้วนทึมทื่อกันหมด นี่ไม่ใช่เพียงขบวนรถม้าอันใหญ่โต แต่มันคือ...มันคือ....มีคนดวงตาแดงก่ำ ร่ำไห้ออกมา “เป็ข้าวสาร ข้าวสารจำนวนมากมาย”
ข้าวสาร พวกเขาไม่ได้กินข้าวสีขาวมานานแค่ไหนแล้ว?
ทุกวันได้กินแต่หม่านโถว หม่านโถวที่ไร้ซึ่งรสชาติ มื้อแล้วมื้อเล่า แล้วยังกินไม่อิ่ม หม่านโถวสองลูกสำหรับทหารเหล่านี้แล้วจะอิ่มได้อย่างไร?
กู้จวิ้นเฉินเดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ เขาคิดถึงจดหมายของหลี่ลั่ว ในที่สุดก็กระจ่างแจ้งว่าหมายความว่าอย่างไร อีกสองวันก็ปีใหม่แล้ว เขาส่งข้าวสารมาในเวลานี้ เพื่อให้ทหารซีเป่ยได้ฉลองปีใหม่ ลั่วเอ๋อร์...
“ผู้น้อยถวายบังคมฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ของจวนฉีอ๋องก้าวขึ้นมาข้างหน้าคารวะ “เสี่ยวโหวเหฺยสั่งการให้องครักษ์ของจวนฉีอ๋องจำนวนสองร้อยนายคุ้มกันเสบียงเหล่านี้มาที่นี่ เสี่ยวโหวเหฺยให้กระหม่อมนำคำพูดมาถึงทุกท่าน นี่เป็ข้าวสารที่เก็บเกี่ยวได้จากที่นาพระราชทานหนึ่งพันหมู่ของจวนจงหย่งโหว ข้าวสารทั้งหมดสี่แสนห้าหมื่นชั่ง ที่นาพระราชทานนั้นฝ่าาเป็ผู้พระราชทาน ต่อไปข้าวสารที่เก็บเกี่ยวได้จะส่งมาที่ซีเป่ยทุกปีพ่ะย่ะค่ะ”
“ช่างไม่เสียแรงที่เป็บุตรชายของหลี่โหวเหฺย”
“เป็เสี่ยวโหวเหฺยของพวกเราหรือนี่ ช่างดีต่อพวกเรายิ่งนัก”
“เสี่ยวโหวเหฺย? ใช่คุณชายใหญ่หรือไม่? เมื่อก่อนเมื่อคราวที่ติดตามโหวเหฺยเข้าเมืองหลวงยังเคยได้พบเสี่ยวโหวเหฺยท่านนั้น”
“ไม่ใช่” หลี่จงิกล่าว “เสี่ยวโหวเหฺยเป็คุณชายเล็ก เป็ผู้ที่ถือกำเนิดที่ซีเป่ย ต่อมาถูกส่งกลับเมืองหลวง”
“ท่านพูดขึ้นมาเช่นนี้ข้านึกออกแล้ว คุณชายเล็กท่านนั้นเวลานี้เพิ่งจะห้าขวบกระมัง?”
“เป็ไปได้หรือ? เพิ่งจะห้าขวบก็...”
“ถูกต้องแล้ว” หลี่จงิกล่าว “เสี่ยวโหวเหฺยเพิ่งจะห้าขวบก็คิดถึงเื่ใหญ่แล้ว เพราะเขาเป็บุตรชายของหลี่โหวเหฺย หลี่โหวเหฺยเป็คนของกองทัพซีเป่ย” แม้ว่าเขาจะทำการคุ้มกันเสี่ยวโหวเหฺยั้แ่ยังเล็กอย่างลับๆ แต่ทว่าได้ัักับเสี่ยวโหวเหฺยจริงๆ นั้นเริ่มั้แ่เดือนห้าของปีนี้ หลังจากได้ััแล้วจึงรู้ว่า เสี่ยวโหวเหฺยนั้นเป็คนรู้จักพลิกแพลงราวกับปีศาจน้อย การพูดการจา การกระทำ ล้วนมีนิสัยเป็ของตน ทำให้คนนับถือยิ่งนัก คนเช่นนี้เป็นายน้อยในใจของเขา
“ระหว่างทางลำบากแล้ว” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
หัวหน้าองครักษ์ส่ายหน้า “เสี่ยวโหวเหฺยมอบเหล้าองุ่นให้พวกกระหม่อมคนละสองขวด ให้พวกกระหม่อมดื่มระหว่างทางเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย เสี่ยวโหวเหฺยยังให้พวกกระหม่อมนำพวกผักมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ มีมันฝรั่ง ผักตากแห้ง หัวไชเท้าดอง เสี่ยวโหวเหฺยยังกล่าวว่า ผักตากแห้งพวกนี้สามารถนำมาทำเป็น้ำแกงดื่มได้ ไม่จำเป็ต้องเติมเครื่องใดๆ หัวไชเท้าดองนั้นกินเป็กับข้าว ยังมีมันฝรั่งเหล่านี้ มันฝรั่งหั่นเป็ลูกบาศก์ ใส่เกลือเพิ่มเล็กน้อยหุงต้มพร้อมกับข้าวสารรสชาติยิ่งดีนักพ่ะย่ะค่ะ”
มันฝรั่งมากมายเช่นนี้ ผักใบเขียว หัวไชเท้า เพียงพอให้พวกเขากินนานกว่าครึ่งเดือนแล้ว แต่สำหรับหลี่ลั่วแล้วเป็เพียงการเสียเงินไปเพียงไม่กี่ร้อยตำลึง
“หลี่จงิ เ้าพาพวกเขานำข้าวสารไปเก็บไว้ให้ดี สั่งการลงไป วันนี้มื้อกลางวันกินข้าวสวย” กู้จวิ้นเฉินหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวอีกว่า “ทำตามที่เสี่ยวโหวเหฺยสั่งมา นำมันฝรั่งไปหั่นเป็ก้อนสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ เติมเกลือเล็กน้อย หุงต้มพร้อมกับข้าวสวย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าเข้ามาพูดกันด้านใน” กู้จวิ้นเฉินพูดกับหัวหน้าองครักษ์ผู้นั้น
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเข้าไปในกระโจม กู้จวิ้นเฉินจ้องมองหัวหน้าองครักษ์ หัวหน้าองครักษ์หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “นี่เป็จดหมายที่เสี่ยวโหวเหฺยกำชับกระหม่อมให้นำมาให้ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” สิ่งที่กู้จวิ้นเฉิน้าคือสิ่งนี้ แต่เขาไม่รีบร้อนอ่านจดหมาย แล้วจ้องมองถุงผ้าที่อยู่บนร่างของหัวหน้าองครักษ์ หัวหน้าองครักษ์จึงปลดถุงผ้าลงมา มีสองใบ “นี่เป็ของที่เสี่ยวโหวเหฺยนำมาให้ท่าน อีกใบหนึ่งเป็พ่อบ้านให้นำมาให้ท่านพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังมีอีกหรือไม่?” น้ำเสียงของกู้จวิ้นเฉินมีความไม่พึงใจเล็กน้อยแล้ว เอาออกมาให้หมดภายในครั้งเดียวไม่ได้หรือไร? ต้องให้เขาถามอย่างหนึ่งเอาออกมาอย่างหนึ่งเช่นนั้นหรือ?
หัวหน้าองครักษ์หยิบถุงเงินออกมาใบหนึ่ง “นี่เป็ยันต์ป้องกันภัยอันตรายที่เสี่ยวโหวเหฺยวาดเองพ่ะย่ะค่ะ ด้านในเขียนอักษรยันต์โบราณว่า ‘คุ้มครองปลอดภัย’ มอบให้ท่านอ๋องเช่นกัน จากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ มีเพียงเท่านี้”
“อืม เ้าออกไปเถิด” กู้จวิ้นเฉินโบกไม้โบกมือ
หลังจากหัวหน้าองครักษ์ออกไป กู้จวิ้นเฉินนำถุงเงินยันต์ป้องกันภัยแขวนไว้กับตัว แต่เกรงว่าหากแขวนเอาไว้จะไม่ปลอดภัย ดังนั้นจึงนำถุงเงินซ่อนเอาไว้ในอก หลังจากซ่อนเข้าไปแล้ว เขาก็หยิบออกมาลูบคลำอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นซ่อนกลับเข้าไปอีก หลังจากทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง เขาจึงค่อยๆ สบายใจขึ้น ต่อมาเขาจึงเปิดถุงผ้า ในถุงผ้าคือเสื้อคลุมชั้นนอกตัวใหม่สองชุดและรองเท้าใหม่สองคู่ ซีเป่ยเป็พื้นที่อากาศหนาวเย็น เมื่อเขาออกเดินทางมานั้นเพิ่งจะเดือนสิบ เวลานี้อากาศหนาวเย็นจนแทบจะตัวแข็งไปหมด
เสื้อคลุมและรองเท้าทำมาจากขนสัตว์ เป็ขนสัตว์ที่หลี่ซวี่เหลือเอาไว้ หลี่ลั่วให้เหนียนหงและสาวใช้งานเย็บปักคนอื่นๆ เร่งทำออกมา ด้วยเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดจึงเร่งทำได้เพียงเสื้อคลุมสองตัวและรองเท้าสองคู่ กู้จวิ้นเฉินถือเอาไว้ในมือ รู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก จากนั้นจึงนำเสื้อคลุมมาสวม และสวมรองเท้าด้วยตนเอง สายตาตวัดมองไปที่ถุงผ้าของพ่อบ้าน ผลักห่างออกไป ยามนี้ยังไม่้าใช้
ต่อมาเขาเปิดจดหมายที่หลี่ลั่วเขียนมาให้เขา
‘ท่านพี่ฉีอ๋อง เป็อย่างไรบ้าง ข้าคิดถึงท่านยิ่ง แต่ข้าจะรอท่านกลับมาเมืองหลวง อาจารย์ได้มรณภาพไปแล้ว เมื่อท่านเห็นจดหมายฉบับนี้ พี่ใหญ่ได้แต่งงานแล้วเช่นกัน ส่วนพี่หญิงใหญ่นั้นได้หมั้นหมายกับจางเลี่ยนไป๋ เดือนสามปีหน้านางก็จะเป็ฮูหยินของจิ้นซื่อแล้ว จางเลี่ยนไป๋ผู้นี้ข้าถูกตายิ่งนัก น่าจะมีอนาคตไกล
เจียงซูเอ๋อร์เพื่อปฏิเสธการแต่งงานกับองค์ชายฉวี่หลง จึงมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากับถังลิ่ง ทั้งสองได้หมั้นหมายกันแล้ว
ที่สำคัญที่สุดก็คือ องค์หญิงฉวี่หลงและองค์ชายรองได้หมั้นหมายกันแล้วเช่นกัน
อีกเื่คือมารดาและข้าปรึกษากันแล้ว ครอบครัวของเรายังมีที่นาอีกหนึ่งพันสองร้อยหมู่ เริ่มจากปีหน้าเป็ต้นไปก็จะสามารถส่งข้าวสารจำนวนหกแสนชั่งไปซีเป่ยได้ทุกปี แม้จะไม่ได้มากนัก แต่สามารถให้พวกเขาได้กินเป็เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน
ปีใหม่แล้ว เมืองหลวงเห็นการจุดพลุดอกไม้ไฟ ไม่รู้ว่าซีเป่ยจะมองเห็นหรือไม่
ปรารถนาให้ท่านรักษาเนื้อรักษาตัว
หลี่ลั่ว’
กู้จวิ้นเฉินอ่านอักษรทีละตัวๆ เื่ของเจียงซูเอ๋อร์และถังลิ่ง องค์หญิงฉวี่หลงและองค์ชายรองนั้น เขารู้นานแล้ว พ่อบ้านกู่เขียนจดหมายให้เขาทุกเดือน เื่เช่นนี้เขาย่อมต้องบอกกล่าวกับตน
ตัวอักษรแต่ละขีดนั้นเขียนได้เป็ระเบียบ แต่กลับเป็ลายมือของเด็กน้อย ไม่มีส่วนใดมีค่าพอที่จะนำมาเก็บเอาไว้ แต่ในใจกู้จวิ้นเฉินนั้นกลับมีค่าเป็อย่างยิ่ง
ปีใหม่ของซีเป่ยไม่มีการจุดพลุดอกไม้ไฟ กลับกัน ด้วยเหตุที่พี่ชายหายตัวไป ปีใหม่จึงผ่านไปอย่างสลดหดหู่ แต่เขาส่งข้าวสารและผักมาให้ ทำให้พวกเขามีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นมา
ช่างเป็การส่งถ่านท่ามกลางหิมะที่เหน็บหนาว[1]จริงๆ
[1] หมายถึง การส่งความช่วยเหลือให้ในยามที่ลำบาก มาได้ประจวบเหมาะ