“...ท่านเจียเอ่อลั่ว ท่านนอนมิหลับอีกแล้วหรือขอรับ?”
อัศวินแห่งพระวิหารผมสีน้ำเงินผู้หนึ่งผลักประตูใหญ่เข้ามาด้วยใบหน้าง่วงงุน พบว่าหัวหน้าของตนยังคงนั่ง ‘ทำสมาธิ’ อยู่ในโถงประชุมใหญ่อีกแล้ว
แม้จะบอกว่าเป็โถงประชุมใหญ่ ทว่าแท้จริงแล้วเป็สถานที่ที่กองอัศวินใช้จัดประชุมภายใน อีกทั้งยังเป็จุดเชื่อมต่อไปยังหอพักอัศวินและเส้นทางสู่ถนนภายนอกที่จำเป็ต้องผ่าน ในยามเที่ยงคืนเช่นนี้ ภายในโถงประชุมใหญ่เงียบสงัด เจียเอ่อลั่วปิดเปลือกตานั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงมุมหนึ่ง แสงจันทร์สาดส่องกระทบกล้ามเนื้อแข็งแรงบนต้นแขนของเขา ช่างงดงามราวกับรูปปั้นแกะสลักแสนประณีต
ยามเหล่าอัศวินยืนยามกลับหอพัก มักจะพบท่านเจียเอ่อลั่วนั่งอยู่ในโถงใหญ่อย่างเงียบเชียบ ตามถ้อยแถลงของเ้าตัว เป็เพราะ้าทำสมาธิเพื่อฟื้นฟูและพักพลังจิต ดังนั้นในฐานะอัศวินผู้ช่วยของท่านเจียเอ่อลั่ว คล้ายจะมีเพียงตนที่รู้ว่าท่านหัวหน้าเป็โรคนอนมิหลับ มักจะนอนหลับมิสนิทอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งหน้าต่างห้องพักของท่านหัวหน้ายังอยู่ตรงข้ามระฆังทองสัมฤทธิ์ของพระวิหารที่อยู่ไกลออกไปอย่างพอดิบพอดี จึงมักจะถูกเสียงระฆังปลุกให้ตื่นอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงได้มานั่งปิดเปลือกตาทำสมาธิอยู่ในโถงประชุมใหญ่อันเงียบสงบแห่งนี้
“...อืม”
เจียเอ่อลั่วผู้หวงวาจาประดุจทองคำเปิดเปลือกตาขึ้น ั์ตาสีทองมืดสลัวฉายแววอ่อนเพลียอย่างที่มิเคยได้พบเห็นในเวลากลางวัน
อัศวินผมน้ำเงินเผยสีหน้าเป็ห่วง เขายกมือขึ้นพลางอ้าปากทำท่าคล้ายอยากจะเอ่ยบางสิ่ง ทว่าจนแล้วจนรอดกลับมิมีสิ่งใดหลุดออกจากปากแม้แต่คำเดียว ท้ายที่สุดจึงถอนหายใจอย่างเศร้าซึม
เมื่อเอ่ยถึงรองผู้บัญชาการกองอัศวินแห่งพระวิหาร ผู้คนน้อยใหญ่ในสันตะสำนักล้วนแต่พากันเอ่ยชมมิขาดปากว่า --- ทั้งซื่อตรงและสง่างาม เจียเอ่อลั่วผู้องอาจกล้าหาญทั้งยังแข็งแกร่งคือหนึ่งในกำลังสำคัญของสันตะสำนัก สร้างความดีความชอบใหญ่หลวงในการทำศึกกับพวกเผ่าปีศาจ เอาชนะโดยการโจมตีฐานอันแข็งแกร่งของข้าศึกมาหลายต่อหลายครั้ง แม้ยามได้รับาเ็ ท่านรองผู้บัญชาการกลับยังมิคิดถดถอย ยังคงสามารถสร้างรากฐานอันมั่นคงเพื่อจับาาปีศาจมาเป็เชลยได้สำเร็จ
นอกจากนี้ยังมีสิ่งหนึ่งที่มีเพียงบุคคลตำแหน่งสูงของสันตะสำนักและอีกมิกี่คนที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นจึงจะรู้
นั่นคือเมื่อสองอาทิตย์ก่อนยามที่าาปีศาจถูกจับมาเป็เชลย รองผู้บัญชาการเจียเอ่อลั่วพากองอัศวินไปดักซุ่มโจมตีกองทัพของาาปีศาจที่ถอยทัพไปยังหมู่บ้านขี้เถ้า ต่างฝ่ายต่างโรมรันเข้าหากัน สถานการณ์ในสนามรบตึงเครียดอย่างยิ่ง กองอัศวินาเ็ล้มตายไปกว่าครึ่ง กองทัพปีศาจเหลือเศษกำลังทหารที่รอดตายเพียงจำนวนหนึ่ง การต่อสู้ชี้เป็ชี้ตายของาาปีศาจกับรองผู้บัญชาการกินเวลายาวนานกว่าครึ่งชั่วยาม
ท้ายที่สุดาาปีศาจชนะการต่อสู้ด้วยสภาพน่าสังเวช กระนั้นก็คล้ายกับกองทัพของาาปีศาจพ่ายแพ้อย่างย่อยยับเช่นเดียวกัน --- ถึงแม้รองผู้บัญชาการจะได้รับาเ็สาหัส ทว่าก็สามารถสกัดาาปีศาจและถ่วงเวลาให้ทัพใหญ่ได้สำเร็จ ทำให้การต่อสู้ทั้งหมดเข้าสู่่สุดท้าย
ในยามที่ตนพาสมเด็จพระสันตะปาปาเร่งรุดไปถึงด้วยความร้อนใจ สติสัมปชัญญะของรองผู้บัญชาการที่กระดูกแหลกไปหลายชิ้นเริ่มเลือนรางเสียแล้ว ทว่าด้วยสัญชาตญาณของนักรบเขายังคงพยายามหยัดยืนขึ้นมา ใบหน้าที่อาบย้อมด้วยเืสีสดของรองผู้บัญชาการทำเอาผู้ที่เพิ่งเคยพบเจอโลกภายนอกเช่นตนใไม่น้อย ขณะมองหัวหน้าที่เดินด้วยฝีเท้าซวนเซ จะประคองก็มิกล้า จะมิประคองก็มิได้ ตนทำได้เพียงยืนภาวนาอยู่ด้านข้าง มองเหล่าพระสังฆราชห้อมล้อมสาละวนอยู่รอบกายรองผู้บัญชาการที่มีาแเต็มตัว
หลังจากนั้นแม้ว่าจะระดมกำลังผู้คนน้อยใหญ่ในสันตะสำนัก ก็ทำได้เพียงแค่รักษาาแถึงแก่ชีวิตของรองผู้บัญชาการให้จนหายดี ทว่าเวทมนตร์ดำของาาปีศาจที่โจมตีนั้นร้ายกาจและรุนแรงมากเสียจนทิ้งรอยแผลเป็น่าหวาดกลัวั้แ่หน้าผากด้านขวาลากยาวไปจนถึงจมูกข้างซ้ายของรองผู้บัญชาการ
ในยามที่รองผู้บัญชาการฟื้นคืนสติ เมื่อได้เห็นรอยแผลเป็น่ากลัวบนใบหน้าของตนในกระจก ั์ตานั้นฉายแววตื่นตระหนกก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็ความเกรี้ยวกราด แม้จะมิอยากยอมรับชะตากรรมนี้อย่างไร สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ทุบหนึ่งกำปั้นลงบนโต๊ะเพียงเท่านั้น
รอยแผลเป็นั้นคือเครื่องหมายของการแก้แค้นและคำสาปแช่งที่าาปีศาจใช้พลังครึ่งชีวิตแลกมา มิเพียงแต่ทำให้ใบหน้างามดุจเทพลงมาจุติกลายเป็ใบหน้าอัปลักษณ์ แต่ยังคอยเตือนสติรองผู้บัญชาการที่มิเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้มาก่อนว่า --- รองผู้บัญชาการกองอัศวินแห่งพระวิหารผู้แสนทะนงเคยพ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือของาาปีศาจ แม้ว่ายามอยู่ต่อหน้าผู้คนจะสามารถใช้วิธีการแต่งหน้าปกปิดได้ ทว่า ‘เกียรติยศ’ เช่นนี้ยังคงติดอยู่ในใจเจียเอ่อลั่วไปชั่วชีวิต
นับั้แ่นั้นเป็ต้นมา รองผู้บัญชาการก็เริ่มเป็โรคนอนมิหลับ กระจกภายในห้องนอนถูกทุบจนแตกมิเหลือ ใต้ตาของรองผู้บัญชาการคล้ำขึ้นทุกวัน อีกทั้งอารมณ์ยังแปรปรวนกว่าเมื่อก่อนขึ้นเรื่อยๆ --- ยามกลางวันยังคงให้คำชี้แนะและจัดแจงหน้าที่ให้เหล่าอัศวินได้ตามปกติ ทว่าตกดึกเมื่อใดก็มักจะจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
รองผู้บัญชาที่เคยมีจิติญญาเต็มเปี่ยมกลับเศร้าซึมขึ้นเรื่อยๆ ตนเห็นแล้วรู้สึกร้อนใจ แต่กลับมิอาจทำสิ่งใดได้ หวังเพียงว่าหลังพิธีตัดสินของาาปีศาจจบสิ้นลง เมื่อศัตรูตัวฉกาจถูกสังหาร รองผู้บัญชาการอาจจะมีชีวิตชีวามากกว่าเดิมขึ้นสักนิด
หากเป็ประชาชนทั่วไป เมื่อนักบวชหรือบาทหลวงใช้วิชาเยียวยาแห่งแสงก็จะสามารถนอนหลับได้สนิท ทว่าพลังเวทแห่งแสงของท่านเจียเอ่อลั่วเหนือกว่าผู้คนส่วนมากในสันตะสำนักเสียอีก ก็ยังต้องทนทุกข์เพราะจนปัญญากับอาการนอนมิหลับ
แต่คล้ายกับตนจะคิดง่ายดายเกินไป
เมื่อกลับมารายงานการปฏิบัติงานที่สถาบันอัศวิน ตนก็มิอาจอดกลั้นได้อีกต่อไป จึงบอกเื่ราวโดยคร่าวกับอัศวินาุโที่อบรมสั่งสอนตน หลังอัศวินาุโได้ฟังสิ่งที่ตนบรรยายก็เริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน
“...หากเป็เช่นนั้นจริง ท่านเจียเอ่อลั่วคงรู้สึกมิยินยอมอย่างยิ่ง”
“...เพราะเหตุใดกัน? าาปีศาจที่ทำให้รองผู้บัญชาการเสียโฉมจะถูกตัดสินโทษตายแล้วมิใช่หรือ?”
เพียงแต่อัศวินฝึกหัดเช่นตนในตอนนั้นยังมิค่อยเข้าใจความหมายของอัศวินาุโ จึงมองบุรุษวัยกลางคนที่มีรอยยิ้มคลุมเครือตรงหน้าด้วยความสงสัย
“เ้าอายุยังน้อย ยังมีประสบการณ์น้อยนัก มิแปลกหากจะมิเข้าใจความหมกมุ่นเพราะอยากจะแก้แค้นศัตรูที่แข็งแกร่งของเหล่านักรบ”
อัศวินาุโกุมปลายคาง มองออกไปนอกหน้าต่างท่าทางคล้ายกำลังใช้ความคิด
“ก่อนที่ผู้พ่ายแพ้จะได้รับชัยชนะก็ยังคงเป็ผู้พ่ายแพ้ตลอดกาล หากแม้นผู้ชนะสิ้นชีวีลง ย่อมมิอาจลบล้างสมญานามผู้พ่ายแพ้นี้ลงได้...”
......
“อ่า!”
“เคร้ง!”
เสียงร้องด้วยความใและเสียงถาดใส่อาหารตกลงบนพื้นดังขึ้นพร้อมกัน ทำเอาโม่จ้านถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความใก่อนจะค่อยๆ ยันตัวขึ้นจากพื้น าาปีศาจที่สติยังมิเต็มร้อยขยี้ตา กำลังคิดว่าควรจะระบายความหงุดหงิดที่ถูกปลุกใส่ตาเฒ่าตรงหน้าดีหรือไม่
พระสังฆราชลู่อี้ที่เอาข้าวมาส่งเผยสีหน้ามิสู้ดีนัก ชี้นิ้วไปทางโม่จ้านก่อนพูดว่า “เ้าๆๆๆ” อยู่ครึ่งค่อนวัน มิรู้ว่าเป็เพราะโมโหหรือใกันแน่
“เ้าทำอันใดของเ้า หากข้าจะหนีก็คงหนีไปั้แ่แรกแล้ว มิเชื่อในความสามารถของพระสันตะปาปาของพวกเ้าถึงเพียงนั้นเชียว?” โม่จ้านอ้าปากหาวแล้วกวักมือไปทางตาเฒ่า “หากเ้าอยากมัดโซ่ก็รอให้ข้ากินเสร็จก่อนค่อยมัดกลับ หลังมื้อเย็นก็ไม่ต้องมัดแล้ว ยืนนอนมันทรมานเกินไป”
ลู่อี้เต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธ กระทั่งเครายังสั่นตามไปด้วย “เ้ามีสิทธิ์อันใดมาสั่งข้า! ที่สำคัญเ้าปลดโซ่ได้อย่างไร!”
“มือเ้าหละหลวมเพียงใดก็ถามตัวเองเถิด” โม่จ้านพึมพำเสียงเบา สายตาจดจ้องไปตรงเท้าของลู่อี้ด้วยกลัวว่าตาเฒ่าที่เต้นเร่าๆ จะเผลอเหยียบกล่องอาหารของตนเข้า ในนั้นเป็ถึงแหล่งความสุขตลอดครึ่งวันของเขา หากโดนเหยียบจนเสียของก็คงมิมีสิ่งใดให้กินแล้ว
โม่จ้านจอมโกงจงใจยื้อเวลากินข้าวให้นานออกไป เขาสูดปากพลางทำเสียงดังไปทางลู่อี้หลายต่อหลายครั้ง ทำเอาชายชราโมโหจนสุดจะทน
มิใช่เื่ง่ายกว่าาาปีศาจผู้ตกเป็เชลยจะกินเต็มอิ่ม ตาเฒ่าที่โมโหจนเหนื่อยหอบเรียกอัศวินผู้หนึ่งเข้ามา มิรู้ว่าเป็เพราะอยากจะแก้แค้นหรืออย่างไร ลู่อี้จึงสั่งอัศวินผู้นั้นให้มัดแน่นแล้วแน่นอีก แน่นจนกระทั่งโม่จ้านต้องแยกเขี้ยวบอกว่าทนไม่ไหวถึงได้ยอมเพลามือ โซ่ตรวนเย็นเฉียบแนบเนื้อจนรู้สึกเจ็บแสบ ทิ้งรอยประทับเป็เส้นไว้บนกล้ามเนื้อแข็งแรง
กล่าวกันว่าชีวิตมักรักษาสมดุลในตัวมัน หากตอนกลางวันโชคร้ายแล้ว ตอนบ่ายก็น่าจะดีขึ้นสักหน่อยกระมัง? โม่จ้านคิดเช่นนี้
ทว่าโม่จ้านกลับมิได้รับรู้เลยว่านับั้แ่ข้ามมิติมา วิกฤตอันใหญ่หลวงที่นอกเหนือจากความปลอดภัยของชีวิตนั้นกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า...