ฉู่เหลียนพยักหน้าตอบรับคำขอของพี่สะใภ้ นางย่อมต้องดูแลแม่สามีเป็อย่างดี แม้จะมีโอกาสได้พบหลิวฮูหยินเพียงไม่กี่ครั้ง ทว่าฉู่เหลียนก็สามารถบอกได้ว่าแม่สามีของนางผู้นี้เป็ผู้ซื่อสัตย์ ใจดี และอ่อนโยนยิ่ง
หากนางไม่ทำ เฮ่อเหล่าไท่จวินต้องไม่พึงพอใจในตัวนางเป็แน่ อย่างน้อย ๆ ก็คงไม่ใส่ใจนางเฉกเช่นที่มาเยี่ยมหลิวฮูหยินเป็การส่วนตัวเช่นนี้ ทุก ๆ การกระทำของเฮ่อเหล่าไท่จวินล้วนแสดงออกชัดเจน
เมื่อทั้งคู่เดินเล่นภายในจวนได้พักใหญ่ ก็พากันกลับมายังเรือนชิ่งสี่ ซึ่งเป็เวลาใกล้เที่ยงพอดี
เมื่อเหลียวหมัวมัวเห็นนายหญิงทั้งสองมาถึง นางก็เรียกให้สาวใช้ยกสำรับอาหารขึ้นโต๊ะ ในขณะนั้น พี่เลี้ยงพาบุตรสาวทั้งสองของโจวซื่อมานั่งรอที่ห้องรับแขกอยู่ก่อนแล้ว ส่วนเฮ่อเหล่าไท่จวินก็มีสาวใช้ค่อย ๆ ประคองมานั่งเช่นกัน
ไม่นานนักบนโต๊ะกลมก็เต็มไปด้วยจานอาหารมากมาย ทว่าแม้จะยินดีกับอาหารที่ยกมา เฮ่อเหล่าไท่จวินก็ยังทอดถอนใจ “สตรีทุกนางในจวนเราล้วนมารวมตัวกันแล้ว ยกเว้นแต่มารดาของเ้า...หากนางแข็งแรงพอจะมานั่งร่วมทานอาหารกับเราได้ก็คงดี!”
เมื่อเฮ่อเหล่าไท่จวินกล่าวจบ ทุกคนก็เงียบไป เหลียวหมัวมัวเห็นบรรยากาศดูย่ำแย่จึงรีบเปลี่ยนเื่ “ฮูหยิน ดูสิเ้าคะ วันนี้มีคางคกหิมะด้วย!”
คางคกหิมะเป็หนึ่งในวัตถุดิบที่ราคาแพงที่สุดเสมือนในยุคปัจจุบันของฉู่เหลียน ทั้งดีต่อผิวพรรณและยังช่วยบำรุงปอด แม้นางจะเป็นักชิม แต่นางก็ไม่เคยได้เห็นอาหารที่ทำจากคางคกหิมะจริง ๆ มาก่อน เนื่องจากเงินทองที่ไม่ได้มีมากมาย
ได้ยินเหลียวหมัวมัวกล่าวดังนั้น ฉู่เหลียนก็ตวัดสายตาขึ้นมองถ้วยเคลือบใบเล็กลายกระดองเต่าสีเขียวที่มีอะไรสักอย่างสีดำ ๆ อยู่ครึ่งถ้วย
ฉู่เหลียน: .........
นี่คางคกหิมะเรอะ? มุมปากของฉู่เหลียนบิดเบี้ยวอย่างอดไม่ได้ นางน่าจะรู้อยู่แล้ว ดูจากเหตุการณ์ใน่สองสามวันที่ผ่านมานี้ นางควรจะเลิกคาดหวังกับครัวของโลกนี้ได้แล้ว ในโลกยุคราชวงศ์อู่เฮงซวยนี่ไม่มีหวังกับอาหารดี ๆ หรอก! นางไม่ควรคาดหวังสิ่งใดเลย อย่างน้อยหากคิดได้เช่นนี้ นางก็จะไม่ผิดหวังซ้ำ ๆ เรื่อยไป
นางจะไม่สนเลยหากเป็วัตถุดิบทั่ว ๆ ไป แต่นี่คางคกหิมะเชียวนะ! สิ่งที่ต่อให้มีเงิน ก็ใช่ว่าจะหาซื้อได้ แล้วคนพวกนี้ก็ทำแค่จับมันวางในกระทะแล้วก็...ต้ม? แค่นี้หรอ? แถมยังทำเสียจนกลายเป็ก้อนดำ ๆ ที่ดูไม่น่ากินสักนิด อย่างกับยาพิษ หรืออาหารจากศาสตร์มืดอย่างนี้! ใคร...ใครมันจะไปกล้าทานกัน?
ความสนใจของฉู่เหลียนพุ่งขึ้น ก่อนจะดับวูบลงเมื่อเห็นหน้าตาของอาหารที่ทำจากคางคกหิมะ ในตอนนี้นางจึงไร้ซึ่งความปรารถนาที่จะลิ้มรสเ้าสิ่งนี้ไปแล้ว
ฉู่เหลียนเอนหลังกลับไปที่เดิม เดี๋ยวคงมีคนอื่นทานไอ้เ้า ‘อาหารราคาแพง’ นั่นแทนนางเองล่ะ…
เมื่อเหลียวหมัวมัวพูดถึงอาหารจานเด็ด เฮ่อเหล่าไท่จวินก็ฟื้นจากความเศร้าอย่างรวดเร็วและส่งยิ้มให้แก่หลานสะใภ้ทั้งสองของนาง “ไทเฮาเป็ผู้ส่งคางคกหิมะเหล่านี้มาให้ นับเป็อาหารหายากราคาแพงอย่างหนึ่ง สิ่งนี้ดีต่อสตรีนัก เดี๋ยวพวกเ้าทั้งสองนำไปแบ่งกันก็แล้วกัน”
โจวซื่อเคยทานคางคกหิมะมาก่อนและรู้ถึงสรรพคุณของมันเป็อย่างดี แววตาคาดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง ทว่าฉู่เหลียนกลับไม่มีความกล้าที่จะทานไอ้อาหารจานดำ ๆ นี่แม้แต่น้อย
นางตอบอย่างสุภาพ “คางคกหิมะนี่มีอยู่น้อยนิดนัก เหตุใดท่านย่าไม่ทานเองเ้าคะ? ร่างกายหลานสะใภ้ยังแข็งแรงดี ยังไม่จำเป็ต้องทานหรอกเ้าค่ะ!”
เมื่อฉู่เหลียนกล่าวเช่นนั้น โจวซื่อก็ไม่มีทางจะรับคางคกหิมะไว้เองคนเดียวได้ นางจึงกล่าวเช่นเดียวกัน
ทว่าพวกนางย่อมไม่สามารถเปลี่ยนใจเฮ่อเหล่าไท่จวินได้ เหลียวหมัวมัวจึงตักแบ่งคางคกหิมะออกเป็สามถ้วยเล็ก ซึ่งไม่รวมเด็ก ๆ อีกสองคน เพราะสิ่งนี้ไม่เหมาะสำหรับเด็ก
เหลียวหมัวมัวยิ้มขณะส่งถ้วยที่ใส่คางคกหิมะให้ฉู่เหลียน “นายหญิงสามโชคดียิ่งนักเ้าค่ะ กระทั่งฮองเฮาเองยังได้เสวยคางคกหิมะเพียงปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น ท่านมาได้ถูกเวลาจึงมีโอกาสได้ทานสิ่งนี้ด้วย”
ฉู่เหลียนรู้สึกแย่จนอยากจะร้องไห้ นางไม่ได้อยากมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ จริงมั้ย? ไม่มีทางแน่ ถ้าการมาอยู่ตรงนี้หมายถึงการต้องทานเ้านี่!
ในที่สุด เมื่อไม่มีทางเลือกแล้ว ฉู่เหลียนก็ฝืนกลืนคางคกหิมะสีดำปี๋ลงคอ ให้พูดตรง ๆ ก็คือ รสชาติเลวร้ายสุดประมาณ คางคกหิมะนี้ถูกทอดและต้มนานจนเกินไป ทำให้รสชาติยิ่งเค็มกว่าเดิม สิ่งเดียวที่ลิ้นของนางรับรู้ได้ คือรสจัดของความเค็ม ขณะที่รสชาติดั้งเดิมอื่นของมันหายไปจนเกลี้ยง
เมื่อทานเสร็จ นางก็รีบซดน้ำซุปที่ไร้รสชาติลงไปล้างคอถ้วยหนึ่ง
มื้ออาหารที่โถงชิ่งสี่นี้ นับเป็หนึ่งในความเ็ปที่สุดเท่าที่นางเคยพบเจอ
ฉู่เหลียนกลืนคางคกหิมะลงไปราวกับมันคือยาขม ทว่ากลับเห็นเฮ่อเหล่าไท่จวินและโจวซื่อต่างดื่มด่ำกับรสชาติของมันอย่างช้า ๆ ทีละคำ พร้อมซดน้ำซุปเต็มปาก ดั่งว่ากำลังทานอาหารแสนอร่อย หากว่านางมิได้เห็นคางคกหิมะที่ดำไหม้เป็ตอตะโกถูกแบ่งเป็สามถ้วยด้วยตาตัวเอง ฉู่เหลียนคงคิดว่าสาวใช้ยกอาหารคนละอย่างขึ้นโต๊ะเป็แน่
นอกจากนี้ ชาที่ยกขึ้นโต๊ะล้วนแต่เป็เซนฉะ ฉู่เหลียนรู้ดีว่าตนไม่ควรทำตัวให้ผิดแผกไปจากผู้อื่นต่อหน้าเฮ่อเหล่าไท่จวิน ยามนี้จึงอึดอัดยิ่งนัก นางจะขอเครื่องดื่มอื่นก็คงไม่ได้ แต่ท้องของนางเองก็รับเซนฉะลงไปไม่ได้เช่นกัน
เมื่อทานอาหารเสร็จ เฮ่อเหล่าไท่จวินและโจวซื่อก็รับผ้าเช็ดมือจากสาวใช้ พวกนางต่างเช็ดมือและบ้วนปากอย่างสง่างาม หลังจากนั้นเฮ่อเหล่าไท่จวินก็้านอนพักกลางวัน ฉู่เหลียนจึงถือโอกาสนี้หลบกลับไปยังเรือนซงเถาของตน
นางไม่กล้าอยู่นานนัก ด้วยเกรงว่าเฮ่อเหล่าไท่จวินจะบังคับให้นางทานอะไรที่พิสดารยิ่งกว่านี้
บ่ายแล้วเฮ่อซานหลางก็ยังไม่กลับมา ฉู่เหลียนที่เดินกลับมาถึงเรือน นางรีบรุดดื่มน้ำเปล่าลงไปสามแก้ว ก่อนจะกลั้วคอต่อด้วยน้ำเกลือ เพื่อกำจัดรสชาติแปลกประหลาดที่ติดค้างอยู่ในปากออก
หลังจากถูกทรมานอยู่ที่เรือนชิ่งสี่ราวครึ่งวัน ในที่สุดฉู่เหลียนก็ได้พักผ่อน นางเอนกายลงบนเก้าอี้นุ่มข้างหน้าต่าง ผ่อนคลายสบายใจไปกับสายลมเย็น ๆ ของฤดูร้อนที่พัดมาอย่างอ่อนโยน เหมาะแก่การนอนงีบเป็อย่างยิ่ง
ฉีเยี่ยนและสาวใช้คนอื่น ๆ เห็นว่านายหญิงตัวน้อยของพวกนางง่วงนอนแล้ว จึงนำเอาผ้าห่มบางเบามาห่มตัวให้ ก่อนจะล่าถอยไปอย่างเงียบงัน และปล่อยให้ฉู่เหลียนอยู่เพียงลำพัง
เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม ฉู่เหลียนที่งีบหลับก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อยกแขนขึ้นนางก็สังเกตเห็นกำไลหยกแดงบนข้อมือซ้ายของตน พาให้นึกถึงสิ่งที่โจวซื่อเล่าให้ฟังเมื่อเช้า
นางขมวดคิ้วครู่หนึ่ง ก่อนจะขานเรียกสาวใช้ “ฉีเยี่ยน!”
ฉีเยี่ยนเร่งร้อนเดินเข้ามา “นายหญิงสาม มีอะไรจะสั่งบ่าวหรือเ้าคะ?”
ฉู่เหลียนผุดลุกจากที่นั่ง มือขวาขยับเล่นกำไลที่สวมอยู่อีกฝั่ง “ไปเถอะ ข้าอยากเห็นสินเดิมที่อยู่ในห้องเก็บของ”
“เอ๊ะ? ท่านอยากดูสินเดิมหรือเ้าคะ?” ฉีเยี่ยนมิคาดว่าฉู่เหลียนจะถามถึงสิ่งนี้ขึ้นกะทันหัน สินเดิมนั้นเป็สิ่งที่ถูกเลือกมาก่อนแต่งงาน ดังนั้นนางจึงเคยดูทุกสิ่งในรายการนั้นแล้ว และย่อมต้องรู้ดีที่สุดว่าสินเดิมของตนมีมูลค่าเพียงใด แล้วเหตุใดจึงยัง้าดูมันอีกเล่า?
“ใช่ ทำไมหรือ? หรือข้าจะดูสินเดิมของตนมิได้?”
ฉีเยี่ยนรีบส่ายหน้า “รอสักครู่นะเ้าคะ ประเดี๋ยวบ่าวจะไปเอากุญแจห้องเก็บของมาให้
ฉู่เหลียนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยขณะยิ้มและโบกมือไหว ๆ ไล่ฉีเยี่ยน “ไป ไป”
ถึงอย่างไรนางก็เป็บุตรสาวสายหลักของจวนอิ้ง แม้จะมิได้เป็ที่โปรดปรานเท่าใดนัก ทว่าจวนอิ้งกั๋วกงก็ยังมอบสินเดิมให้แก่นางก่อนจะตบแต่งเข้าจวนจิ่งอันป๋อที่เป็ที่นับหน้าถือตาของคนไปทั่วเมืองหลวง หากสินเดิมของเ้าสาวมีน้อยไปก็ย่อมดูไม่ดีเป็แน่
ในชาติก่อนนางต้องหาเงินทุกเหรียญด้วยตนเอง แต่เมื่อมายังยุคราชวงศ์อู่นี้ นางโชคดีนักที่ได้ทุกสิ่งมาเป็ของตนโดยที่ไม่จำเป็ต้องทำอะไรสักอย่างเดียว แค่คิดก็อารมณ์ดีแล้ว
ในยุคราชวงศ์อู่นี้ บุตรีที่แต่งออกจะต้องมีสินเดิมของตนบันทึกเก็บไว้ สินเดิมล้วนเป็ทรัพย์สินส่วนตัวของพวกนาง แม้ว่าหลังจากนั้นจะหย่าร้างจากสามี สตรีเหล่านี้ก็ย่อมสามารถนำเอาสินเดิมทุกชิ้นกลับไปได้โดยไร้ซึ่งคำถามใด นับเป็หนึ่งในกฎหมายราชวงศ์อู่ ดังนั้น ยิ่งเ้าสาวมีสินเดิมติดตัวมามากเท่าใด พวกนางก็ยิ่งได้รับความเคารพนับถือจากบ้านใหม่มากเท่านั้น ในเมืองหลวงอันเฟื่องฟูนี้ จำนวนสินเดิมยังเป็สิ่งชี้วัดว่าบุตรีผู้นั้นเป็ที่โปรดปรานมากเพียงใดในบ้านเดิมอีกด้วย ยิ่งมีสินเดิมมาก เ้าสาวย่อมสามารถเชิดหน้าชูตาได้มาก แม้กระทั่งในหมู่ภริยาขุนนางด้วยกัน
ในนิยายมิได้บอกว่าสินเดิมของฉู่เหลียนมีกี่มากน้อย และเมื่อฉู่เหลียนข้ามมิติมาถึงยุคนี้ในวันงานแต่งพอดี นางยิ่งไม่มีเวลาดูสิ่งเ่าั้ จึงยังไม่ทราบชัดว่าตนเองมีทรัพย์สินเท่าใดแน่
ฉีเยี่ยนเดินนำหน้าโดยมีกุ้ยหมัวมัวเดินอยู่ด้านหลังเคียงข้างฉู่เหลียน ทว่าทั้งคู่ต่างก้มหน้าด้วยสีหน้าแปลกประหลาด พวกนางลอบมองฉู่เหลียนที่ยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่บ่อยครั้ง
เรือนซงเถาอยู่ไม่ห่างจากห้องเก็บของคู่ จึงใช้เวลาไปเพียงไม่นานก็มาถึง
ฉีเยี่ยนสั่งให้สาวใช้ที่เฝ้าหน้าประตูให้ออกไป และเปิดประตูหนึ่งในห้องเก็บของออกด้วยตนเอง “นายหญิงสาม สินเดิมของท่านส่วนใหญ่อยู่ที่นี่เ้าค่ะ”
ภายในห้องเก็บของนี้มิได้มีแสงมาก ทว่าก็ยังเป็่เวลากลางวัน ดังนั้นจึงมีแสงสว่างส่องลอดเข้ามาให้ฉู่เหลียนมองเห็นทุกสิ่งด้านใน
ห้องนี้ค่อนข้างใหญ่โต มีชั้นวางของเก่าแก่หลายชั้น แต่ละชั้นล้วนว่างเปล่า และมีหีบเปล่าที่เปิดอ้าวางอยู่ทั่วไป บริเวณด้านในสุดของห้องมีหีบสีแดงวางอยู่ตรงมุม เนื่องจากห้องนี้ว่างเปล่า หีบแดงนั้นจึงโดดเด่นสะดุดตายิ่ง
ทันทีที่นางก้าวเข้าห้อง ฉู่เหลียนก็อดมิได้ให้มุมปากยกขึ้น นางมองไปรอบห้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง ก่อนจะหันไปมองกุ้ยหมัวมัว กุ้ยหมัวมัวเองก็หันไปมองฉีเยี่ยนแทบจะในทันที เพื่อให้นางเร่งก้าวออกไปจับแขนของฉู่เหลียนไว้ “นายหญิงสาม เหตุใดท่านไม่นั่งลงตรงนี้ล่ะเ้าคะ? ประเดี๋ยวบ่าวกับหมัวมัวจะไปนำหีบเ่าั้ออกมาให้นายหญิงสามดูเอง”
ฉู่เหลียนมองฉีเยี่ยนที่หลบตานางอย่างสงสัย ก่อนจะนำนางไปนั่งที่โต๊ะโดยไม่กล่าวสิ่งใด
หลังจากนั้นกุ้ยหมัวมัวและฉีเยี่ยนก็นำหีบห้าหกใบมาวางไว้เบื้องหน้า แม้จะเป็หีบไม้ที่สูงเท่าเอว ทว่าสตรีสองนางกลับสามารถยกมาได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าภายในคงมีของไม่มากนัก
กุ้ยหมัวมัวส่งรายการที่ม้วนอยู่ในซองหนังสีแดงให้แก่ฉู่เหลียน แล้วจึงกล่าวอย่างระมัดระวัง “นายหญิงสาม นี่เป็รายการสินเดิมของท่านเ้าค่ะ โปรดตรวจสอบดูว่ามีสิ่งใดผิดพลาดหรือไม่”
ยามที่ฉู่เหลียนสั่งให้ฉีเยี่ยนไปนำกุญแจห้องเก็บของมานั้น กุ้ยหมัวมัวก็ไตร่ตรองกับตนเองว่าเหตุใดฉู่เหลียนจึงอยากดูสินเดิมของตน สุดท้ายนางก็คาดว่าคงเพราะฉู่เหลียนเกรงว่าจะมีสิ่งใดขาดตกไปกระมัง จึงได้้าตรวจสอบอีกครั้ง
ฉู่เหลียนยิ้มรับรายการมาเปิดดู ดวงตาดั่งผลชิ่งกวาดนับรายการอยู่ในใจ ดูแล้วมีทั้งสิ้น 99 อย่าง นางลอบพยักหน้า พอใจกับจำนวนเ่าั้
ดังนั้นนางจึงเริ่มอ่านรายการเ่าั้ด้วยน้ำเสียงปนตื่นเต้น พร้อมทั้งให้กุ้ยหมัวมัวและฉีเยี่ยนนำของเ่าั้มาให้ตนตรวจดู
“ฉากกั้นห้องสี่ฤดูอันวิจิตร” ฉู่เหลียนอ่าน
กุ้ยหมัวมัวและฉีเยี่ยนลอบมองหน้ากันก่อนจะนำเอาขอบฉากและผืนผ้าฉลุลายออกมาวางบนโต๊ะเบื้องหน้าฉู่เหลียน
ฉีเยี่ยนกล่าวขึ้นอย่างเขินอาย “นายหญิงสาม หากเราประกอบและแยกชิ้นฉากนี้อีกครั้ง ผ้าฉลุลายคงเสียหายเป็แน่ หากยังไม่ใช้ ยังไม่ประกอบย่อมดีกว่าเ้าค่ะ”
ฉู่เหลียนนิ่งงันไป ทีแรกนางอ่านรายละเอียดในรายการสินเดิมอีกครั้ง ก่อนจะมองสิ่งของเบื้องหน้าตน ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เ้าของที่มีชื่อหรูหราว่า ‘ฉากกั้นห้องสี่ฤดูอันวิจิตร’ นี้กลับเป็เพียงผ้าปักฉลุลายกับไม้ทาสีไม่กี่ชิ้น...แม้นางจะไม่เชี่ยวชาญเื่การตีราคาสินค้า ทว่าเพียงมองก็บอกได้ว่าของสิ่งนี้ไม่มีค่าอะไร อย่างมากราคาก็คงไม่ถึงสิบตำลึง
หลังจากดูของอีกสองสามชิ้นแล้ว ทุกสิ่งล้วนไม่ต่างจากฉากกั้นที่ เหมือนจะหรูหราแต่ไม่ได้มีค่าอะไรทั้งนั้น อาจจะดูสวยงามอยู่บ้าง ทว่าเทียบกับสมบัติแท้ ๆ มิได้เลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดฉู่เหลียนก็คร้านจะดูของทั้งหมด นางโบกมือให้กุ้ยหมัวมัวปิดหีบแล้วเอาไปเก็บเสีย จากนั้นก็นิ่งไปพร้อมกับรายการสินเดิมในมือ
นางดูรายการสิ่งของอย่างละเอียดแล้ว ในนี้มีอยู่เกือบ 100 อย่าง แต่กลับไม่มีสิ่งใดที่มีค่าแม้แต่น้อย จากที่กุ้ยหมัวมัวคิด สิ่งเดียวที่มีค่าอยู่บ้างคือตราประทับหยกเหลืองที่นางนำออกมาพกติดตัวไว้ตลอดเวลา
นอกจากของร้อยอย่างนี้แล้วก็ไม่มีอะไรอีก ไม่มีร้านค้า หุ้นส่วน หรือกระทั่งที่ดิน ไม่มีเลย!
ฉู่เหลียนหัวเราะขมขื่นในใจ นางคงมิได้โชคดีไปทุกเื่เสียแล้ว
เทียบกับสินเดิมของหลิวฮูหยินแล้ว สินเดิมของนางนับว่าอัตคัดยิ่งนัก