ครั้นป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งสังเกตเห็นเจิ้งหยวน สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนเป็รังเกียจเหมือนเห็นอึหมา เ้าลูกเต่านี่ยังกล้าโผล่มาตรงหน้าเธออีก หากไม่ใช่เพราะเธอ บางทีเสี่ยวสยาอาจได้แต่งเข้าสกุลเฝิงแล้วก็ได้! คำพูดของเจิ้งหยวนฟังอย่างไรก็เหมือนหัวเราะเยาะที่เธอยกหินขึ้นมาทับเท้าตัวเอง
[1] เธอโกรธเสียจนตัวสั่น
เจิ้งหยวนแสร้งเป็มองไม่เห็น ทั้งยิ้มจนตาหยี เธอมองหาเก้าอี้แล้วนั่งลงพลางกล่าวต่อว่า “ถึงคนขาพิการแซ่หลิวหน้าตาอัปลักษณ์ แถมยังพิการ แต่ฉันได้ยินว่าเขาทำงานคล่องแคล่ว ปีหนึ่งเก็บแต้มงานและได้ส่วนแบ่งเสบียงไม่น้อย พี่เสี่ยวสยาของฉันก็ขยันขันแข็ง แต้มงานที่หามาเกือบจะได้เท่าผู้ชายคนหนึ่ง คนขาพิการแซ่หลิวไม่มีคุณพ่อคุณแม่ต้องเลี้ยง หลังพี่เสี่ยวสยาแต่งเข้าไปก็อยู่กินกันแค่สองสามีภรรยา ถ้าอย่างนั้นส่วนแบ่งเสบียงและเงินทองของพวกเขาสองคนในทุกๆ ปีคงมีใช้ไม่หวาดไม่ไหวเลยละมั้ง?”
ไฟโทสะของป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งบรรเทาลงในทันที เธอหรี่ั์ตาลง ไม่รู้ว่าเจิ้งหยวน้าพูดอะไร
“เฮ้อ...” เจิ้งหยวนส่ายหัวถอนหายใจ “ไม่รู้เหมือนกันว่าคนขาพิการแซ่หลิวเห็นพี่เสี่ยวสยาไม่เป็ที่รักของครอบครัวขนาดนี้ จะอาศัยว่าบ้านเดิมเธอไม่มีใครรังแกเธอหรือเปล่า? ป้าสะใภ้ ป้าว่าเขาจะรังแกพี่เสี่ยวสยาของฉันไหม? ฉันกังวลว่าเขาจะตีเธอทุกวี่ทุกวัน หรือไม่ก็ให้เธอทำงานตลอดไม่ได้หยุดพัก
นี่ยังไม่เท่าไรนะ แต่หากคนขาพิการแซ่หลิวนั่นไม่ให้เงินพี่เสี่ยวสยาจะทำยังไงล่ะ? ถ้าพี่เสี่ยวสยาอยากซื้อของให้บ้านเดิมบ้าง
อาจจะไม่มีเงินเลยละมั้ง”
“อีกอย่างพี่เสี่ยวสยาของฉันไม่มีเสื้อผ้าใหม่ใส่ออกเรือนเหมือนเด็กสาวบ้านอื่น ไม่รู้จะเกลียดชังบ้านเดิมหรือเปล่า? ต่อไปไม่มาสนิทสนมบ้านเดิมจะทำยังไงดี?”
“ยังมีคนขาพิการแซ่หลิวนั่นอีก เ้าสาวสวมเสื้อผ้ามีรอยปะชุน ไม่เพียงขายขี้หน้าบ้านเดิม คงขายหน้าเขาด้วยมั้ง? ถ้าเขาโกรธขึ้นมา
วันหน้าไม่ยอมรับญาติฝั่งภรรยาอย่างสกุลเจิ้งแล้วจะทำยังไงล่ะ?”
ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งยิ่งฟังยิ่งหน้าเขียวคล้ำ เธอรู้ว่าเจิ้งหยวนไม่ได้เจตนาดีหรอก แต่คิดแล้วคำพูดเธอก็สมเหตุสมผล ถึงกระนั้น เธอก็ยังจดจ้องมายังเจิ้งหยวนด้วยแววตาเอาเื่ ดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ทว่าเจิ้งหยวนกลับทำเพียงปรายตามองร่างป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งเท่านั้น ราวกับว่าเธอไม่รู้สึกรู้สาอันใดต่ออารมณ์คุกรุ่นของอีกฝ่าย “ป้าสะใภ้ใหญ่ ฉันว่าเสื้อผ้าบนตัวคุณค่อนข้างใหม่อยู่นะ คงให้พี่เสี่ยวสยาใส่ได้พอดีเลย”
สิ้นเสียงก็ไม่รั้งรอป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งตอบกลับ เจิ้งหยวนลุกขึ้นเดินออกจากห้องทันที ข้างนอกแสงแดดกำลังดี รู้สึกสบายเนื้อสบายตัว แถมยังสบายอารมณ์กว่าห้องโถงข้างในเยอะ
ครั้นผ่านไปสักพัก ขบวนรับเ้าสาวของคนขาพิการแซ่หลิวก็มาถึง ดนตรีบรรเลงกันสนุกสนานครื้นเครงสมงานมงคลสมรส คนขาพิการแซ่หลิวแบกเจิ้งสยาขึ้นหลัง ขาของเขาไม่ดี ข้างกายเลยมีคนคอยช่วยพยุง
เจิ้งหยวนเห็นคนขาพิการแซ่หลิวครั้งแรก เพียงมองก็รู้ว่าเหตุใดเจิ้งสยาไม่อยากแต่งกับผู้ชายคนนี้ คนขาพิการแซ่หลิวผิวดำคล้ำมาก องค์ประกอบบนหน้าก็ดูไม่ดีเหมือนจับตัวกันเป็ก้อนแล้วไม่ยอมคลายออก แม้อายุจะเพิ่งสามสิบปี แต่เส้นผมบนหัวกลับบางแล้ว ดูแก่สุดๆ แม้ว่าเขาจะสวมชุดสูทจงซาน [2] สีฟ้าสะอาดตา แต่เจิ้งหยวนก็มองออกทันทีว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายรักสะอาดจากเล็บที่มีเศษดินติด เขาอัปลักษณ์ แก่ และสกปรก แต่ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งก็ยังยินดีให้ลูกสาวแต่งงานกับเขาเพื่อเงินสินสอดเล็กน้อย แม้เจิ้งสยาหน้าตาไม่ได้สวยมากและผิวดำนิดหน่อย ทว่าก็สะอาดหมดจด องคาพยพบนหน้าสมส่วนไม่ผิดรูป ทั้งเธอยังทำงานคล่องแคล่วว่องไว เป็เด็กสาวไม่แย่คนหนึ่งเลย
ไม่ว่าเจิ้งสยาจะเคยทำสิ่งใดลงไปบ้าง เวลานี้เจิ้งหยวนเพียงรู้สึกสะท้อนใจกับชะตาชีวิตของเธอเท่านั้น ยุคสมัยนี้ไม่รู้ยังมีเด็กผู้หญิงเหมือนเธออีกเท่าไรที่ครอบครัวให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่า โดนพ่อแม่ปฏิบัติอย่างโหดร้าย และรู้แค่ต้องเชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่อย่างเดียว หรือต่อให้ต่อต้าน ก็ไม่รู้ว่าควรดิ้นรนเพื่อตัวเองอย่างไร กระทั่งความคิดอยากแย่งชิงการแต่งงานกับสกุลเฝิง คาดว่าป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งคงเป็คนต้นคิดแล้วคอยยุยงด้วยซ้ำ
นี่คือเื่น่าเศร้าของยุคสมัยนี้
เมื่อพบเจิ้งสยาอีกครั้ง เธอเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว เป็ชุดเสื้อเชิ้ตผ่าหน้าลายทางที่ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งใส่ก่อนหน้านี้ ส่วน่ล่างเป็กางเกงสีฟ้าตัวใหม่ รองเท้าแม้ไม่ใหม่เอี่ยม แต่เจิ้งสยาน่าจะตั้งใจขัดอย่างดีจนสะอาดสะอ้าน อย่างน้อยก็ดูเหมือนใหม่ เธอไว้ผมสั้นเท่าติ่งหู นอกจากดอกไม้สีแดงสำหรับแต่งงาน สิ่งที่มีสีสันสดใสเพียงอย่างเดียวบนตัวคือกิ๊บติดผมพลาสติกสีแดงสองอันที่ติดอยู่ข้างใบหู ดูมีบรรยากาศของเ้าสาวขึ้นมาบ้าง
เจิ้งหยวนเห็นกิ๊บสีแดงอันนั้นค่อนข้างคุ้นตา เจิ้งเจวียนก็กระตุกแขนเสื้อเธอเงียบๆ ด้วยสีหน้ากระวนกระวายพอดี เธอกระซิบบอก “พี่สาวรอง ฉันให้พี่เสี่ยว
สยายืมกิ๊บที่พี่ให้มา…”
เธอก็ว่าอยู่ว่ากิ๊บนั่นดูคุ้นตานัก
เจิ้งหยวนเงียบไม่พูดไม่จา นั่นจึงยิ่งทำให้เจิ้งเจวียนกังวลกว่าเดิม เธอเห็นเจิ้งสยาน่าสงสารถึงให้ยืมกิ๊บไป ความจริงเธอเองก็ชอบกิ๊บคู่นั้นมากจนทำใจให้ยืมแทบไม่ลง “พี่สาวรอง…”
“อีกสองวันไปเอาของคืนมาแล้วกัน” เจิ้งหยวนบอก ความจริงใช่ว่าจะให้กิ๊บเจิ้งสยาไม่ได้ แต่ของมันมาจากหลินเสี่ยวหยาง หากต่อไปเกิดคลื่นลมเพราะของสิ่งนี้อีกคงไม่ดีนัก
“อื้อ” ได้ยินดังนั้น เจิ้งเจวียนจึงค่อยผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ก่อนพยักหน้ายิ้มๆ จนตาหยี
ปีนี้น้องสาวเธอเพิ่งอายุสิบห้าปี ตัวสูงแค่คิ้วของเธอเท่านั้น ท่าทางไร้เดียงสาเสียจนเจิ้งหยวนอดยื่นมือไปหยิกแก้มไม่ได้ ตั้งปณิธานว่าอนาคตเจิ้งเจวียนจะต้องไม่มีจุดจบอาภัพเช่นนั้นอีก ตัวเธอจะหาสามีแสนดี ที่รักเธอ ทะนุถนอมเธอ ดีต่อเธอไปชั่วชีวิตให้เอง
“เฮ้ คาดไม่ถึงเลยว่าคนขาพิการแซ่หลิวหน้าตาน่าเกลียดขนาดนี้จะแต่งภรรยาได้!”
“น่าเกลียดแล้วแต่งภรรยาไม่ได้เหรอ? จะสงสารก็แต่เสี่ยวสยา เธอเป็ผู้หญิงที่ดีมาก
ทำงานคล่องแคล่ว แถมยังเก็บแต้มได้เยอะด้วย”
“ยัยซ่งจินฮวาใจดำอำมหิตนัก ให้ลูกสาวแต่งงานกับผู้ชายเช่นนี้ได้ยังไงกัน”
“ชิ ต้องเพราะคนขาพิการแซ่หลิวให้สินสอดเยอะไม่ใช่หรือไง”
“เท่าไรๆ?” มีคนถาม
“ได้ยินว่าสองร้อยหยวนแน่ะ”
“ไม่ใช่สองร้อย ร้อยเดียวต่างหาก”
“ทำไมไม่ใช่สองร้อยแล้วล่ะ สองร้อยนะ!”
“เธอไม่รู้อะไร แรกเริ่มบอกสองร้อย ต่อมาเปลี่ยนเป็ร้อยเดียวแล้ว ฉันจะบอกให้ มันเป็อย่างนี้…”
เสียงซุบซิบนินทาดังอยู่รอบบริเวณ ที่มาของการแต่งงานนี้มันน่าอับอายจริงๆ จนเจิ้งหยวนทนฟังไม่ไหว เธอจึงดึงเจิ้งเจวียนมาหลบข้างๆ ดีที่ลานบ้านป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งมีเนินให้พักอยู่ พอยืนบนเนินนั้นก็สามารถเห็นเหตุการณ์ข้างนอกได้อย่างพอดิบพอดี
คนขาพิการแซ่หลิวแบกเจิ้งสยามาถึงรถจักรยานนอกลานบ้าน หลังเจิ้งสยานั่งมั่นคงแล้ว คนขาพิการแซ่หลิวก็ปั่นจักรยานกลับบ้านตนเองด้วยท่าทีคึกคัก เด็กๆ ที่มามุงดูรอบข้างต่างวิ่งตามไป
งานมงคลในบ้านเกิดมักจัดขึ้นตอนเที่ยงวัน คนขาพิการแซ่หลิวแต่งภรรยาย่อมต้องจัดงานที่บ้านคนขาพิการแซ่หลิว ส่วนญาติที่มาส่งตัวฝ่ายเ้าสาวจะตามไปบ้านฝ่ายเ้าบ่าวภายหลัง โดยฝ่ายเ้าบ่าวต้องเป็คนรับรองแขก
ในกองยังช่วยสมทบทุนให้แก่ครอบครัวที่จัดงานสมรสด้วย อย่างไรเสีย เวลานี้ทุกครัวเรือนต่างก็มีปริมาณเสบียงที่แน่นอนและเพียงพอ จัดเลี้ยงมื้อหนึ่ง้าอาหารจำนวนมาก หากไม่ช่วย คงไม่มีใครจัดงานแต่งกันแล้ว ครอบครัวคนขาพิการแซ่หลิวมีเขาคนเดียว หามาได้เท่าไรก็กินเอง เสบียงที่ปันส่วนมาจึงกินไม่หมด แล้วยังเลี้ยงหมูอีกสองตัว ดูท่าเขาจะมีชีวิตไม่เลวเลยทีเดียว งานแต่งนับเป็เื่ใหญ่ พอคิดดูแล้ว หากบ้านไหนแต่งงานแล้วเต็มใจใช้ปลาและเนื้อดีๆ มาประกอบอาหารต้อนรับแขกก็ดูมีหน้ามีตาดีไม่ใช่หรือ? ฉะนั้น เขาเลยไปรายงานเบื้องบน
เมื่อได้รับการยินยอมจึงทำการฆ่าหมูหนึ่งตัว ครึ่งหนึ่งขายให้รัฐ
ส่วนอีกครึ่งนำมาจัดงานเลี้ยง ทำอาหารอร่อยๆ เลี้ยงคนได้หลายจานเลยทีเดียว
เจิ้งหยวนเป็คนไม่เห็นแก่กิน เลยไม่ได้ตามคุณพ่อคุณแม่ไปบ้านคนขาพิการแซ่หลิวด้วย
เชิงอรรถ
[1] ยกหินขึ้นมาทับเท้าตัวเอง หมายถึง คิดร้ายกับคนอื่น จึงย้อนกลับมาหาตัวเอง
[2] ชุดสูทจงซาน หมายถึง เครื่องแต่งกายแบบใหม่ของชายชาวจีนที่ซุนยัตเซ็นคิดค้นขึ้นหลังสิ้นสุดการปฏิวัติในปี 1962 ซึ่งได้รับต้นแบบจากเครื่องแบบนักเรียนนายร้อยของญี่ปุ่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้