อวี๋ฉี่เจ๋อยื่นข้อมือขาวหมดจดออกมาหยิบกระดาษคัดอักษรตัวใหญ่ทั้งสิบแผ่นจากมือของอวี๋เจียวเขาตั้งใจพิจารณาแต่ละแผ่นอย่างละเอียด ดวงตาดุจดอกท้อจดจ้องอย่างเอาจริงเอาจังเส้นผมยาวสยายยุ่งเหยิงอยู่ด้านหลัง
อาจเป็เพราะระยะห่างที่ใกล้กัน ทำให้เส้นผมดำขลับอ่อนนุ่มสยายลงจากไหล่ของเขาไล้ไปตามผิวแก้มของอวี๋เจียวนำพาความรู้สึกจั๊กจี้มาสู่นาง อวี๋เจียวกะพริบดวงตาดำขลับพยายามอดทนไม่ปัดเส้นผมที่คลอเคลียอยู่บนแก้มออกไป
ด้วยระยะห่างเช่นนี้ นางถึงขั้นมองเห็นเส้นขนอ่อนบนใบหน้าของอวี๋ฉี่เจ๋อภายใต้แสงสะท้อนของตะเกียงใบหน้าของเขาละเอียดเกลี้ยงเกลาขาวกระจ่างจนคล้ายกับไม่อาจมองเห็นรูขุมขนใบหน้าด้านข้างของดวงหน้าใสกระจ่างภายใต้แสงไฟสลัวช่างอ่อนโยนกินใจผู้คนไม่ต่างจากภาพโบราณอันสง่างาม
“เ้าจ้องน้องชายของข้าอย่างลุ่มหลงทำไมกัน?” เสียงของอวี๋ฝูหลิงดังขึ้นทันใด
อวี๋เจียวสะดุ้งในางเก็บสายตากลับมาอย่างไม่เป็ธรรมชาติก่อนจะก้าวถอยหลังเพื่อเว้นระยะห่างเล็กน้อยปลายหูขาวหมดจดเจือสีแดงระเรื่อ ใบหน้าที่มักสุขุมอยู่เสมอฉายแววไม่เป็ธรรมชาติอวี๋เจียวกัดริมฝีปากล่าง อธิบายอย่างติดขัดว่า “ข้า...ข้ากำลังดูอักษรที่ข้าเขียนไม่ได้จ้องเขา...”
กล่าวจบ อวี๋เจียวกัดปลายลิ้นตัวเองแ่เบาแสดงให้เห็นว่าการกล่าวเช่นนี้เพื่อปกปิดกลับยิ่งเป็การแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด
“เ้าโกหก! ข้าเห็นอยู่ทนโท่ว่าเ้าจ้องน้องชายของข้าจนเหม่อลอยไปแล้ว!”อวี๋ฝูหลิงทั้งสายตาคมกริบและเปิดโปงอย่างตรงไปตรงมา
กลับเป็อวี๋ฉี่เจ๋อผู้ที่สายตาจดจ้องบนกระดาษเซวียนจื่ออยู่ตลอดที่ส่งเสียง‘อืม’ ออกมาอย่างเอ้อระเหย
ราวกับเสียงอืมแ่เบานี้เคาะลงบนจังหวะหัวใจของอวี๋เจียว ลมหายใจของนางสะดุดไม่รู้ว่าอวี๋ฉี่เจ๋อตอบกลับอวี๋ฝูหลิงหรือตอบกลับนางกันแน่ั์ตาดำขลับของอวี๋เจียวมองออกไปนอกหน้าต่าง ผ่อนลมหายใจออกมาแ่เบาแล้วอ้างว่า“ควรจะทำอาหารเย็นได้แล้ว”
จากนั้นจึงหันหลังเตรียมจากไป
อวี๋ฉี่เจ๋อปริปากรั้งนางเอาไว้ “ถึงแม้ตัวอักษรจะน่าเกลียดแต่ทุกเส้นขีดเป็ระเบียบ ยังต้องใส่ใจมากกว่านี้สักหน่อย”
อวี๋เจียวพยักหน้าแล้วรีบเดินออกมาจากห้องเงาร่างบางให้ความรู้สึกคล้ายกำลังหลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุนหลังออกมาจากเรือนฝั่งตะวันออก นางเอามือกุมหน้าตนเองอยู่ข้างนอกอย่างขัดเคืองใจลอบเอ่ยภายในใจว่า อวี๋เจียวนะอวี๋เจียว อย่างน้อยๆเ้าก็เป็ถึงคนที่เคยใช้ชีวิตมาตั้งหนึ่งชาติทำไมถึงมาบ้าผู้ชายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแบบนี้!
หางตาของอวี๋ฉี่เจ๋อปรายมองตามร่างที่เดินจากไปของอวี๋เจียวครั้นเห็นอวี๋เจียวเขินอายจนหน้าแดงอยู่นอกหน้าต่าง ดวงตาดุจดอกท้อทอประกาย มุมปากหยักยิ้มบางนึกสนใจขึ้นมา
อวี๋ฝูหลิงคว้ากระดาษเซวียนจื่อที่อวี๋เจียวคัดมาดูบนใบหน้าฉายแววหยามเหยียด เอ่ยอย่างระทมใจว่า “ทั้งๆที่ลอกตามตัวอักษรน้องเล็กของข้าแท้ๆ แต่นางก็ยังเขียนได้น่าเกลียดถึงเพียงนี้ช่างเปลืองกระดาษเซวียนจื่อจริงๆ !”
อวี๋ฉี่เจ๋อไม่เอ่ยสิ่งใดยกมือขึ้นเก็บกวาดโต๊ะที่ถูกอวี๋เจียวทำรกให้เป็ระเบียบส่วนอวี๋ฝูหลิงยังคงพูดไม่ยอมหยุดอยู่ด้านข้าง“ปกติเ้าไม่อาจหักใจใช้กระดาษเซวียนจื่อ เมิ่งอวี๋เจียวแค่ฝึกคัดอักษรมีหรือจะคู่ควรใช้กระดาษดีๆ เช่นนี้? น้องเล็ก เ้าจะทำดีต่อนางเช่นนี้ไม่ได้นังเด็กคนนั้นไร้หัวจิตหัวใจ ทำดีต่อนางไปก็ไร้ประโยชน์!”
กระดาษเซวียนจื่อหนึ่งแผ่นราคาสองอีแปะเมื่อก่อนอวี๋หรูไห่ใส่ใจเื่ข้าวของเครื่องใช้เช่นพู่กัน กระดาษน้ำหมึกและจานฝนหมึกของอวี๋ฉี่เจ๋ออย่างมากทว่านับั้แ่ร่างกายของอวี๋ฉี่เจ๋อทรุดโทรม ไม่รู้ว่าเพราะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจภายในจวนกลับตัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ของเขาไป
กระดาษใยปอและกระดาษเซวียนจื่อที่อวี๋ฉี่เจ๋อใช้ทุกวันนี้ล้วนแต่เป็สิ่งของที่เขาใช้เหรียญกษาปณ์ทองแดงที่ได้จากการคัดตำราและเขียนจดหมายให้ผู้อื่นในยามว่างซื้อมาทั้งสิ้น
น้ำหมึกมักซึมกระดาษใยปอได้ง่าย เหล่าบัณฑิตต่างไม่นำมาใช้ฝึกคัดอักษรหลังจากคนทั่วไปซื้อมามักนำมาตัดเป็กระดาษชำระวิชาเขียนพู่กันของอวี๋ฉี่เจ๋อยอดเยี่ยมอย่างมากและใช้น้ำหมึกได้อย่างเหมาะสมต่อให้เป็กระดาษใยปอก็ยังสามารถเขียนอักษรงดงามโดยน้ำหมึกไม่เลอะซึม
“ท่านพี่ หากนางยังอยู่ในสกุลอวี๋ แม้เพียงหนึ่งวันก็เท่ากับเป็คนในครอบครัวรองของพวกเราท่านไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดแล้ว”อวี๋ฉี่เจ๋อเอ่ยอย่างเชื่องช้าหลังจากหยุดชะงักไปชั่วขณะ