ดูเหมือนว่าสิ่งที่ซูเฟยซื่อกล่าวมีเหตุผลในที่สุดหยานเอ๋อร์จึงเอ่ยปาก “บ่าวได้ยินว่าเดิมฮ่องเต้ได้เตรียมร่างพระราชโองการไว้เรียบร้อยแล้วแต่กลับถูกท่านอ๋องเก้าพันปีเสวียนจีทรงทัดทานไว้เ้าค่ะ”
ซูเฟยซื่อถาม “อวี้เสวียนจี? เขายกเหตุผลอะไรมายับยั้งไว้?”
“ชู่ว” หยานเอ๋อร์ใช้นิ้วทำท่าให้ลดเสียงอย่างหวาดกลัวปนใ “คุณหนูสาม ทำไมท่านกล้าเอ่ยชื่ออันโด่งดังของท่านอ๋องเก้าพันปีโดยตรงถ้าถูกผู้คนได้ยิน อย่าว่าแต่ชีวิตน้อยๆ ของท่านเลย เกรงว่าทั้งจวนอัครมหาเสนาบดีอาจต้องเดือดร้อนด้วย ท่านอ๋องเก้าพันปีทรงตรัสว่าผู้ที่จะมาเป็ฮองเฮาต้องมีความเสียสละเพื่อเสาหลักของประเทศชาติเหมือนฮองเฮากู้เช่นนั้น หากไม่มีละก็ อย่างน้อยต้องมีโอรสหรือธิดาสักองค์ แต่คุณหนูใหญ่ไม่มีอะไรทั้งสิ้นดังนั้น...”
ต้องมีความเสียสละเพื่อเสาหลักของประเทศชาติเหมือนฮองเฮากู้?
ซูเฟยซื่อพลันรู้สึกเหมือนหน้าอกถูกค้อนทื่อๆทุบใส่
ไม่คิดว่ามาถึงวันนี้ ขณะที่ไม่มีใครสักคนกล้าพูดเพื่อตระกูลกู้สักประโยค กลับเป็อวี้เสวียนจีซึ่งเคยเสมือนเป็ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทั้งช่วยนางกล่าวประโยคหนึ่งนี้แล้วยังช่วยนางขัดขวางเส้นทางของซูจิ้งโหยวไว้ด้วย
อวี้เสวียนจีเ้าซึ่งเป็ขุนนางทรราชก่อเภทภัยแก่ประเทศชาติล้มล้างประชาชนคนนี้ ทำไมถึงเป็เ้า
อวี้เสวียนจีอายุห้าขวบเข้าวัง อายุแปดขวบก็สามารถออกว่าราชการในท้องพระโรงต่อสู้กับกลุ่มขุนนางอายุสิบสองปีได้เป็ผู้ดูแลขันที อายุสิบแปดปีได้รับการแต่งตั้งเป็อุปราชแห่งตงฉ่างผู้คนขนานนามว่าท่านอ๋องเก้าพันปีเสวียนจี
ขณะที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังทรงพระชนม์ เขาก็ได้กุมอำนาจยิ่งใหญ่ไว้ในมือตำหนิลงโทษอัครเสนาบดีคนปัจจุบันมาแล้ว ยังเคยลบหลู่ทำความอัปยศแก่ซ่งหลิงซิวต่อหน้าปวงชน
หลังจากฮ่องเต้องค์ก่อนเสด็จต ซ่งหลิงซิวได้ขึ้นครองบัลลังก์อวี้เสวียนจีกลับยังคงอาศัยตงฉ่างทำตามใจตนเอง ดังนั้นซ่งหลิงซิวได้ถือว่าเขาเป็เภทภัยร้ายแรงหอกข้างแคร่ที่ยากจะกำจัดทิ้ง
อีกทั้งอวี้เสวียนจีกลับเป็คนเดียวที่นางลอบสังหารไม่สำเร็จด้วย
หลายปีมานี้อวี้เสวียนจีกับตระกูลกู้ได้คลอนอำนาจซึ่งกันและกันให้สมดุลมาตลอดตอนนี้ตระกูลกู้ถูกล้มล้างแล้ว สถานการณ์ที่อวี้เสวียนจีครองความเป็ใหญ่อย่างเป็เอกเทศด้านเดียว ต้องทำให้ซ่งหลิงซิวปวดศีรษะแน่ๆ
พอคิดเช่นนี้ก็รู้สึกสะใจอย่างน่าประหลาด
ซูเฟยซื่อกระดกมุมปากยิ้มทันที “ไปเถอะอย่าให้แม่ใหญ่กับพี่ๆ น้องๆ รอจนร้อนใจเลย”
แม้กล่าวว่าเดินทางร่วมชื่นชมดอกไม้แต่เมื่อเพิ่งมาถึงวัดจิ้งิ่ ซูเฟยซื่อก็ถูกทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียวแล้ว แม่ใหญ่แซ่หลี่ยังคงความงามสง่าสมดังชื่อเสียง ด้วยบอกว่านางร่างกายไม่สบายควรพักผ่อนดีๆ อยู่ในวัด
ซูเฟยซื่อยิ้มอย่างเ็า เห็นได้ชัดว่านางไม่คู่ควรที่จะชมบุปผากับพวกเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ
แต่มวลบุปผชาติของวัดจิ้งิ่เบ่งบานได้สวยงามอย่างแท้จริง กลีบดอกไม้สีชมพูโปรยปรายพรั่งพรูราวกับหิมะตก เป็ภาพดุจห้วงความฝันในโลกมายา แม้แต่หัวใจที่คุกรุ่นไปด้วยการเข่นฆ่าและความแค้นชิงชังดวงนี้ ยังได้รับการปลอบโยนให้สงบลงชั่วคราว
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมหยานเอ๋อร์ถึงไม่สนใจคำสั่งของแม่ใหญ่แซ่หลี่จนต้องไปแอบดูด้วย
แต่แบบนี้กลับเป็เื่ดี สายสอดแนมที่นางแซ่หลี่วางไว้ข้างกายนางออกไปแล้วนางก็เป็อิสระได้สักครู่ด้วย
ถึงอย่างไรหยานเอ๋อร์คงไม่กล้าพูดเื่นี้ออกไปนอกเสียจากว่านางไม่คิดอยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว
ซูเฟยซื่อเปิดประตูออกไป นางคิดจะเดินไปรอบๆ แต่พลันย่นคิ้วด้วยความประหลาดใจ นี่เป็... กลิ่นคาวเื?
นางเคยฆ่าผู้คนมามากมาย จึงไวต่อกลิ่นคาวเืมากกลิ่นคาวเืนี้ไม่จืดจาง ดูไปแล้วาแของคนผู้นี้ยังค่อนข้างร้ายแรงสาหัส
นางเดินตามกลิ่นคาวเืไป เพียงเห็นเงาร่างสีทองเข้มกำลังพิงอยู่ด้านหลังูเาเทียม
มือของเขากุมส่วนท้องไว้แน่น เืสดๆ กลับไหลออกมาตามร่องนิ้วมือไม่ขาดสาย
เป็เืสีดำ? ปากแผลมีพิษ!
แม้คนคนนั้นจะได้รับาเ็ ทว่าปฏิกิริยาตอบสนองยังว่องไวปราดเปรียว เมื่อรู้สึกถึงฝีเท้าของซูเฟยซื่อก็รีบหันศีรษะมา
เขาหันศีรษะครานี้ ซูเฟยซื่ออดไม่ได้ที่จะสูดอากาศหนาวเหน็บเข้าปอดเฮือกหนึ่ง
ใบหน้าที่ราวกับพระเ้าทรงสร้างไว้อย่างประณีต จอนผมราวกับดาบตัด คิ้วดุจหมึกวาด ริมฝีปากบางราวกับย้อมด้วยสีแดงสดปานโลหิต ใต้ขนตาดกหนาเหมือนใยไหมคลุมปิดตาที่มีเสน่ห์แต่เมื่อดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกนิด ลึกๆ ในดวงตางดงามเป็ประกายนั้นถึงกับทอวิสัยชั่วร้ายปานปีศาจกระหายเื
เขากระดกมุมปากยิ้มให้นางคราหนึ่ง ในสภาพท่ามกลางบุปผชาติพรั่งพรูโปรยปราย ซูเฟยซื่อเพียงรู้สึกว่าบุปผาของวัดจิ้งิ่ทั้งหลังล้วนถูกเขาบดบังให้หมองลงไปแล้ว
ตามที่คาดอวี้เสวียนจีสามารถรับคำชมว่า“งามล่มเมือง” นี้ไว้ได้
“เ้าเป็ใคร?” รอยยิ้มของเขางดงามทว่าแฝงไว้ด้วยอันตราย ดุจดอกลำโพงสีดำที่ทำให้ผู้คนหลับใหล
เวลาแบบนี้เขากลับสามารถหัวเราะได้อย่างสบายใจ ก็เหมือนพบพานสหายเก่าบนถนน ซูเฟยซื่ออดไม่ได้ที่จะชื่นชมนับถือเขาหลายส่วน
“ช่างเป็อุบายเมืองร้างว่างเปล่าฉากหนึ่งที่ดีคนที่ไม่รู้ยังคิดว่าเ้าเพียงได้รับาเ็เล็กน้อยแล้ว กำลังยลบุปผาอยู่ที่นี่”ซูเฟยซื่อบอกเล่าเจตนาของอวี้เสวียนจีออกมาทันที
เขาทำเช่นนี้ เพียงแต่ไม่คิดให้มีใครฉวยโอกาสเอาเปรียบให้ซวยซ้ำซวยซ้อนตอนเขาาเ็เพื่อเอาชีวิตเขา
ดวงตาของอวี้เสวียนจีเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย รู้สึกว่าซูเฟยซื่อน่าสนใจ “นังหนูคนนี้ปากคอเราะรายใช้ได้เลยนี่”
เมื่อโดนคนตรงหน้าเรียกวานังหนู ซูเฟยซื่อจึงค้อนตากะหลับกะเหลือก พอจะนั่งยองๆ ก้มลงตรวจดูาแของอีกฝ่าย นางไม่คิดว่าอวี้เสวียนจีจะใจกว้างถึงขนาดคลายมือเผยาแออกตรงหน้านาง
เนื่องจากการปนเปื้อนของพิษเวลานี้าแได้ดำเน่าเฟะไปจนทั่วแล้ว
สาหัสขนาดนี้เลยหรือ?
คิดไปแล้ว ช่างเป็โชคชะตาเล่นตลกกับผู้คนจริงๆนางเคยได้พยายามคิดฆ่าอวี้เสวียนจีเพื่อซ่งหลิงซิวหลายครั้งแต่กลับไม่สำเร็จ
ไม่คิดว่าวันนี้อวี้เสวียนจีอยู่ตรงหน้า ขอเพียงนางไม่คิดจะช่วย ไม่นานเขาก็ต้องตาย
คิดถึงตรงนี้ ซูเฟยซื่อรีบดึงมีดสั้นข้างเอวของอวี้เสวียนจีโดยเร็วกรีดไปยังส่วนท้องของเขา
เพียงได้ยินเสียงกรีดผ้าไหมกระจายไปในอากาศทว่าอวี้เสวียนจียังหรี่ตาเหมือนเดิม ไม่ขยับเคลื่อนไหวสักนิด
ปฏิกิริยาผ่อนคลายไม่เร่งร้อนของเขาทำเอาซูเฟยซื่อพิศวงอยู่บ้าง“เ้าวางใจข้าเช่นนี้? ไม่กลัวข้าฉวยโอกาสสังหารเ้าในดาบเดียวหรือ?”
เมื่อครู่เพียงนางเสือกมีดสั้นไปข้างหน้าเล็กน้อยอวี้เสวียนจีก็คงสิ้นชื่อไปแล้ว
อวี้เสวียนจีหัวเราะอย่างน่าหลงใหล กล่าวอย่างเคลิบเคลิ้มว่า“มีความจำเป็นี้หรือ? เ้าคิดให้ข้าตาย ไม่สนใจข้าก็ได้แล้ว”
“เ้ากลับมองข้ากระจ่างนัก” ซูเฟยซื่อถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้ไปบ้าง
นางไม่คิดสังหารอวี้เสวียนจีจริงๆ การกระทำแบบนั้นเพียงข่มขู่ให้เขาใเท่านั้นไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะใจเย็นเช่นนี้ ในทางกลับกัน กลายเป็ประจักษ์ถึงความไม่สำรวมของนางแล้ว
“เวลานี้ข้าไม่มีเครื่องมือหรือยา เพียงสามารถใช้วิธีดั้งเดิมมากที่สุดเ้าวิงวอนขอให้โชคดีเองเถิด”
กล่าวแล้วซูเฟยซื่อก็ก้มลงดูดพิษจากาแอวี้เสวียนจีด้วยปากของนางทีละเล็กทีละน้อย
ความปวดเสียดแทงแฝงตามด้วยความอุ่นร้อนจากริมฝีปากอ่อนนุ่มของนางกวาดผ่านไปดวงตาหงส์เรียวยาวของอวี้เสวียนจีเบิ่งโพลงอย่างอดไม่ได้ ทว่าดวงตาตู่นั้นกลับหรี่แคบลงราวหลงใหลอย่างรวดเร็ว
ความร้อนเผานาบใต้ท้องยากจะทน ปนเปกับความสบายที่ยากจะใช้วาจาใดพรรณนา เขามองดูซูเฟยซื่อด้วยสายตาหยอกล้อเช่นนั้น “การกระทำของเ้าแบบนี้ หรือไม่กลัวว่าหลังจากข้าถอนพิษเสร็จ ข้าจะซุกซนกับเ้าต่อ?ที่นี่รอบด้านไร้ผู้คน ข้าขืนบังคับเอาแล้วก็ไม่มีใครรู้ด้วยนะ”
“ถ้าเ้าคิด้า เกรงว่าต่อให้ที่นี่มีผู้คนรอบด้านก็ยับยั้งไม่ได้ไม่ใช่หรือ? กลัวก็แต่ท่านจะเก่งแต่ปากก็เท่านั้น” ในใจซูเฟยซื่อกลายเป็ตึงเครียด ทว่าก็รีบเยาะเย้ยกลับไปทันใด
วาจานี้กล่าวชัดเจนว่าอวี้เสวียนจีเป็ขันทีคนหนึ่ง ต่อให้หญิงงามอยู่ตรงหน้า ก็ไม่มีเครื่องมือที่จะใช้การได้
อวี้เสวียนจีเชิดคางขึ้น น้ำเสียงยังคงเนิบนาบดังเดิม แต่รังสีสังหารบนร่างกลับลุกโชนขึ้นโดยพลัน ราวกับปลดปล่อยอำนาจบางอย่างบีบคั้นซูเฟยซื่อไว้“เ้ารู้ว่าข้าเป็ใคร?”
“อวี้เสวียนจีขุนนางทรราชผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซ่งอุปราชแห่งตงฉ่างที่โเี้ เข่นฆ่าสังหารไม่มีสิ้นสุด ทั้งวันเพียงก่อกรรมทำเข็ญเป็เท่านั้น ใครเล่าไม่รู้บ้าง?” ซูเฟยซื่อถูกบรรยากาศกดขี่บีบคั้น กระทั่งหายใจยังยากลำบาก ทว่านางยังแกล้งทำเป็ใจเย็น
อวี้เสวียนจีอึ้งไปทันที เขาถึงกับหัวเราะร่า
เขาโน้มตัวไปข้างหน้า“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ทำไมต้องช่วยข้า?”
ทั้งยังเป็การใช้ชีวิตของตนเองมาช่วยอีก
แม้วิธีการใช้ดูดพิษด้วยปากจะง่ายดาย ทว่ากลับมีความเสี่ยงสูง
หากพลั้งเผลอไม่ทันระวังดูดพิษเข้าไปในร่างของตนถ้าเช่นนั้นคนที่ตายก็เป็นางแล้ว