"ช่างเป็เคล็ดวิชาที่ลึกล้ำยิ่ง!" อวี้เหวินอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็ประกายราวกับค้นพบขุมทรัพย์ล้ำค่า เขาทอดสายตามองไปยังห้วงความคิด พลางหวนรำลึกถึงเนื้อหาของเคล็ดวิชาอีกครา
'เคล็ดวิชาหมัดอัคนีสังหารนั้น แบ่งออกเป็สามขอบเขตใหญ่ อันได้แก่ ปฐี อัคคี และวารี แต่ละขอบเขตยังแบ่งย่อยออกเป็สามระดับ คือ เเรกเริ่ม กลาง และสูงสุด
ในขอบเขตปฐีนั้น เป็การวางรากฐานแห่งกระบวนท่าของหมัดอัคนีสังหาร พลังอำนาจแห่งหมัดในระดับเริ่มต้นอยู่ที่สามร้อยจิน ระดับกลางอยู่ที่หกร้อยจิน และระดับสูงสุดอยู่ที่เก้าร้อยจิน'
ภาพกระบวนท่าอันสลับซับซ้อนเริ่มฉายชัดในมโนสำนึกของอวี้เหวิน ราวกับมีผู้มาสาธิตอยู่ตรงหน้า เขาสังเกตทุกการเคลื่อนไหว จดจำทุกรายละเอียด เมื่อเริ่มเข้าใจในแก่นแห่งวิชาแล้ว อวี้เหวินจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เริ่มต้นร่ายรำตามภาพที่ปรากฏในห้วงนิมิต
ฝ่ามือและหมัดถูกส่งออกไปในอากาศอย่างหนักแน่น สลับหมุนเวียนราวกับพายุโหมกระหน่ำ เท้าก้าวไปตามจังหวะ ท่วงท่าการยืนมั่นคงดุจขุนเขา ทุกอิริยาบถที่แสดงออกมาล้วนสง่างามและหนักแน่นราวกับผืนปฐี
ในระหว่างที่ฝึกฝนเพลงหมัด อวี้เหวินมิได้ละเลยการบ่มเพาะร่างกาย ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ร้อนระอุราวกับเปลวเพลิง ทั้งสองสิ่งต่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน หมุนเวียนเสริมส่งพลังอำนาจ ก่อกำเนิดเป็ความน่าสะพรึงกลัวและความหนักแน่นให้แก่เพลงหมัดของอวี้เหวินยิ่งขึ้น
เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วยาม จากท่าทีที่ดูขัดเขินในยามแรกเริ่ม บัดนี้ทุกการเคลื่อนไหวของอวี้เหวินกลับกลายเป็ความต่อเนื่องและลื่นไหล ไอพลังภายในร่างกายหมุนเวียนเป็หนึ่งเดียวกับท่วงท่า
ทำให้พลังทำลายล้างและความแม่นยำเพิ่มพูนขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ เขารู้สึกราวกับว่าการเคลื่อนไหวทุกครั้งเป็ไปอย่างง่ายดาย ราวกับร่างกายและจิตใจหลอมรวมเป็หนึ่งเดียว ทุกกระบวนท่าดำเนินไปตามวิถีแห่งตนอย่างแม่นยำ
ความกระจ่างแจ้งในศาสตร์แห่งหมัดปรากฏขึ้นในจิติญญาของเขาอย่างชัดเจน จนกระทั่งเขาสามารถควบคุมพลังทั้งหมดและปล่อยหมัดตรงคู่ไปยังก้อนหินขนาดไม่ใหญ่นักที่วางอยู่เบื้องหน้า
"บึ้ม!" เสียงกึกก้องดังก้องกังวาน บนผิวก้อนหินปรากฏรอยร้าวเป็ใยแมงมุม ก่อนที่มันจะปริแตกออกเป็เสี่ยงๆ ด้วยเสียง "แกร๊ก!" อันน่าสะพรึงกลัว
"ทรงพลัง... ช่างทรงพลังยิ่งนัก! ฝึกเพียงเท่านี้ ข้าถึงกับมีพลังอำนาจมากมายเพียงนี้เชียวหรือ?" อวี้เหวินพึมพำด้วยความตื่นเต้นระคนประหลาดใจ พลางก้มลงมองฝ่ามือทั้งสองข้างที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผงดินทราย
"เ้าหนู... เพียงชั่วก้านธูปเ้าก็สามารถทะลวงสู่ขอบเขตเริ่มต้นของขั้นปฐีได้แล้ว นับว่ามิได้ทำให้ข้าผู้นี้ต้องอับอายขายหน้า" ซ่งเหยียนเฟยเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับมิได้ใส่ใจนัก
อวี้เหวินมิได้แยแสคำกล่าวของซ่งเหยียนเฟยแม้แต่น้อย เขายังคงมุ่งมั่นฝึกฝนต่อไป เมื่อซ่งเหยียนเฟยเห็นว่าอวี้เหวินไม่สนใจตน ใบหน้าหล่อเหลาจึงปรากฏร่องรอยขุ่นเคืองเล็กน้อย พลางแค่นเสียงเบาๆ ในลำคอ รอบกายนั้นร้อนระอุราวกับอยู่ในเตาหลอม มิปรากฏแม้แต่เงาของปักษาบินผ่านท้องฟ้าในบริเวณนี้
หลายราตรีผ่านพ้นไป บัดนี้อวี้เหวินสามารถล่วงเข้าสู่เขตแดนหน้าด่านของพยัคฆ์หางแมงป่องได้แล้ว บริเวณนี้แห้งแล้งและทุรกันดารยิ่งนัก ผืนดินแตกระแหงเป็ริ้วรอยลึก สรรพสัตว์มีพิษต่างพากันคลานออกจากรอยแยกของพื้นดินอย่างเงียบเชียบ
ณ ที่แห่งนี้ไร้ซึ่งร่มเงาของพฤกษาแม้เพียงต้นเดียว บรรยากาศโดยรอบยังคงร้อนระอุ มิมีแม้แต่สุ้มเสียงของวิหคให้ได้ยิน ชุดสีขาวบริสุทธิ์ของอวี้เหวินในยามนี้ชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ เผยให้เห็นมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งภายใต้เนื้อผ้าอย่างรางๆ ร่างกายของเขาในยามนี้มีความทรหดอดทนเป็อย่างยิ่ง
ทว่าเคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติที่เขาฝึกฝนมาถึงคอขวดเสียแล้ว เหลือเพียงอีกก้าวเดียวเท่านั้นก็จะสามารถทะลวงสู่ขั้นต่อไปได้
อวี้เหวินยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลรินบนใบหน้าคมสัน พลางทอดสายตาสำรวจไปยังเบื้องหน้า ณ ที่นั้นปรากฏูเาสูงตระหง่านลูกหนึ่ง ตั้งเด่นเป็สง่าอยู่เบื้องหน้า ตรงกลางของูเามีช่องโพรงขนาดไม่ใหญ่นัก พอให้บุรุษสี่ห้าคนเดินเข้าไปพร้อมกันได้โดยมิยากเย็น
ูเาลูกนี้เมื่อมองจากภายนอกกลับเต็มไปด้วยไอความร้อนที่แผ่พุ่งออกมา ราวกับเป็ต้นกำเนิดแห่งเพลิงทั้งหมดในโลกหล้า บนูเาลูกนี้มิมีแม้แต่ใบหญ้าสักต้นให้เห็น ได้ยินเพียงเสียงคำรามแ่เบา "กรร..." ดังมาจากส่วนลึกภายในูเา ราวกับสัตว์ร้ายกำลังซุ่มซ่อนกายอยู่ภายใน
'ในที่สุดข้าก็มาถึงยังูเาพยัคฆ์หางแมงป่องจนได้' อวี้เหวินรำพึงกับตนเองในห้วงความคิด พลางละสายตาจากขุนเขาเพลิงเบื้องหน้า ซึ่งไอความร้อนยังคงแผ่พุ่งออกมาจนอากาศโดยรอบบิดเบี้ยวคล้ายภาพลวงตา
เขาหันไปสำรวจตรวจตราสภาพแวดล้อมโดยรอบ บริเวณนี้เต็มไปด้วยความแห้งแล้งและเงียบสงัด พื้นดินแตกระแหงเป็ร่องลึกราวกับรอยแผลเป็บนผิวโลก กรวดทรายสีน้ำตาลแดงกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป บ่งบอกถึงความทรุกันดารอย่างแท้จริง
เมื่อพบพานสถานที่อันเหมาะสมแก่การฝึกฝน ซึ่งเป็ลานหินกว้างที่ถูกล้อมรอบด้วยโขดหินสูงต่ำลดหลั่นกันไป อวี้เหวินก็สาวเท้าเดินไปยังที่แห่งนั้น มิไกลจากขุนเขานัก ปรากฏโขดหินน้อยใหญ่ รูปร่างแปลกตาคล้ายสัตว์ร้ายกำลังหมอบคลาน ตั้งเรียงรายอยู่เป็ระยะ
อวี้เหวินเลือกนั่งลงบนโขดหินที่มีพื้นผิวเรียบ รวบรวมสมาธิ จิตใจสงบนิ่งดุจห้วงน้ำลึก ปราศจากความว้าวุ่น เตรียมพร้อมสำหรับการฝึกฝนอีกครา
อวี้เหวินสูดรับไอความร้อนอันรุนแรงที่แผ่ซ่านอยู่ทั่วบริเวณเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ ลึกซึ้ง ราวกับ้าดูดซับทุกอณูแห่งพลังเพลิง ปล่อยให้พลังงานแห่งเพลิงแทรกซึมไปทั่วทุกอณูของเซลล์ กระดูก เส้นเอ็น และโลหิต เริ่มต้นกระบวนการหลอมเหล็กทมิฬ เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายอีกครั้ง คลื่นความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ราวกับมีเปลวเพลิงนับพันกำลังลุกโชนอยู่ภายใน
เซลล์ทุกเซลล์สั่นะเือย่างรุนแรง เริ่มหลอมละลายและแปรเปลี่ยนสภาพ กลายเป็ความแข็งแกร่งที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ สิ่งสกปรกของมลทินที่เจือปนภายในร่างกายค่อยๆ ถูกขับดันออกมาตามรูขุมขนทีละน้อย หยาดเหงื่อสีดำข้นไหลรินลงมาตามผิวกาย
ในยามนี้ร่างของอวี้เหวินราวกับเป็หม้อหลอมโลหะขนาดใหญ่ที่กำลังแผดเผา ิัของเขากลายเป็สีแดงก่ำราวกับเหล็กกล้าที่ถูกเผาจนร้อนจัด ไอควันสีขาวจางๆ เริ่มกระจายตัวออกมาจากร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วยกลิ่นคาวของโลหะเจือจาง กระบวนการหล่อหลอมดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนถึงขีดสุด!
"ตึง!" เสียงกระดูกลั่นเบาๆ ดังขึ้นทั่วร่าง ราวกับมีบางสิ่งแตกหักและก่อกำเนิดใหม่ สีแดงบนผิวกายของอวี้เหวินค่อยๆ จางหายไป เผยให้เห็นผิวกายขาวผ่องดุจหยกเนื้อดี ที่เปล่งประกายเรืองรองเล็กน้อย สิ่งสกปรกที่ถูกขับออกจากร่างกายส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ราวกับซากสัตว์เน่าเปื่อย
'ในที่สุดก็ทะลวงสู่ขั้นกลางของวิชาเตาอัสนีวิบัติจนได้' อวี้เหวินผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ ลึกซึ้ง ราวกับปลดปล่อยภาระหนักอึ้ง เขาปรับลมปราณที่ยังคงไหลเวียนอย่างรวดเร็วให้สงบลงเล็กน้อย พลางเงยหน้าขึ้นสังเกตเห็นว่าดวงตะวันกำลังคล้อยต่ำลง สาดแสงสีส้มทองอร่ามไปทั่วท้องฟ้า บ่งบอกว่ายามเย็นใกล้เข้ามาแล้ว
เขาจึงลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม จัดเก็บสัมภาระที่วางอยู่บนพื้นดิน เตรียมตัวเดินทางกลับสู่เรือนตน หลังจากจัดการทุกสิ่งเรียบร้อย อวี้เหวินจึงมุ่งหน้ากลับไปตามเส้นทางเดิมที่เขาจากมาอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงร่องรอยของการฝึกฝนและกลิ่นเหม็นจางๆ ของสิ่งสกปรกที่ถูกขับออกจากร่างกาย
หลังจากเดินทางลัดเลาะผ่านพุ่มไม้และโขดเขามาได้พักใหญ่ พลันบังเกิดเสียงทุ้มนุ่มดังก้องกังวานขึ้นในมโนสำนึกของอวี้เหวิน ราวกับเสียงกระซิบจากเทพบนสรวง์
"เ้าหนู กลิ่นกายของเ้าในยามนี้ราวกับสัตว์ป่าที่เพิ่งคลุกฝุ่น ควรชำระล้างมลทินเสียก่อนที่จะเดินทางต่อไป อีกเพียงสองลี้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จะปรากฏธารน้ำใสบริสุทธิ์ ไหลลดหลั่นจากผาสูง สามารถชำระกายาให้สะอาดได้ บริเวณนั้นเป็เขตอันสงบสุข ปราศจากซึ่งร่องรอยของสัตว์อสูรร้ายให้ต้องกังวล" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความรังเกียจเล็กน้อย ราวกับต้องทนดมกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
อวี้เหวินเมื่อได้ยินดังนั้น จึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ััได้ถึงไอความร้อนและกลิ่นดินที่ยังคงติดตรึงอยู่บนผิวกาย พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่ลังเล "คำแนะนำของเ้าสมเหตุสมผลนัก" จากนั้นเขาจึงเบี่ยงทิศทาง มุ่งหน้าไปยังธารน้ำที่ซ่งเหยียนเฟยได้ชี้แนะไว้ในห้วงความคิด
เมื่อย่างเข้าใกล้ธารน้ำในระยะทางอีกเพียงยี่สิบจั้งเบื้องหน้า สายตาของอวี้เหวินก็พลันจับจ้องไปยังทัศนียภาพโดยรอบ สองข้างทางเต็มไปด้วยหมู่มวลพฤกษาหลากชนิด สูงตระหง่านเสียดฟ้า ใบไม้สีเขียวสดพลิ้วไหวตามสายลม แสงสุริยาอ่อนยามเย็นสาดส่องลอดผ่านเรือนยอดลงมากระทบพื้นดิน ก่อเกิดเป็เงาที่ทาบทับกันอย่างงดงาม
เสียงสายน้ำไหลรินลดหลั่นจากโขดหินน้อยใหญ่ กระทบกับผืนน้ำเบื้องล่างดัง "ซ่า...ซ่า..." อย่างต่อเนื่อง ก้องกังวานในโสตประสาทของอวี้เหวิน ราวกับบทเพลงแห่งธรรมชาติที่ขับกล่อมให้จิตใจสงบเยือกเย็น เขาจึงเข้าใจได้ในทันทีว่าจุดหมายอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
เมื่อทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้า ก็ปรากฏภาพของน้ำตกขนาดย่อมแห่งหนึ่ง สายน้ำสีขาวราวกับแพรไหม ไหลลดหลั่นลงมาจากหน้าผาหินแกรนิตเตี้ยๆ กระทบกับแอ่งน้ำสีเขียวมรกตเบื้องล่าง ก่อให้เกิดละอองน้ำเย็นชื่นใจที่ลอยละลิ่วในอากาศ
เมื่ออวี้เหวินเดินเข้าไปใกล้ได้ระยะหนึ่ง พลันเสียงกระซิบแว่วเบาเสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามาในหูของเขา ราวกับเสียงกระซิบของภูตไพร ทำให้ร่างของอวี้เหวินหยุดชะงักลงในทันที เท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้าพลันหยุดนิ่ง ราวกับถูกตรึงด้วยมนต์สะกด
'มีผู้คนอยู่ในบริเวณนี้หรือ? เป็ผู้ใดกันที่กล้าล่วงล้ำเข้ามาในป่าลึกแห่งนี้ได้?' เขาครุ่นคิดในใจ ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง พลางเพิ่มความตื่นตัวและระแวดระวังมากยิ่งขึ้น ทุกย่างก้าวที่กำลังจะเกิดขึ้นเต็มไปด้วยความเงียบเชียบและระมัดระวัง ราวกับนักล่าที่กำลังซุ่มซ่อนกายรอคอยเหยื่ออย่างใจเย็น
เขาย่องกรายเข้าไปหาต้นเสียงอย่างช้าๆ ทีละก้าว ทีละก้าว ราวกับกลัวว่าเสียงฝีเท้าจะดังรบกวนความเงียบสงัด ก่อนที่ความคิดจะเลยเถิดไปไกลกว่านี้ พลันความคิดอันเฉลียวฉลาดก็ผุดขึ้นมาในห้วงสมองของเขา ราวกับแสงสว่างที่ส่องนำทางในความมืดมิด
'จริงสิ! ข้ายังมีเเก่นวายุอำพรางอยู่' เขาล้วงมือเข้าไปในอกเสื้ออย่างแช่มช้า ััได้ถึงความเย็นเยียบของลูกแก้วสีดำสนิทที่วางอยู่บนิั หยิบเอาลูกแก้วทรงกลมขนาดเท่าลูกปิงปองออกมาอย่างระมัดระวัง
แสงจันทร์ยามเย็นสาดส่องลงมาต้องกับผิวมันวาวของลูกแก้ว สะท้อนประกายสีดำลึกลับออกมา เพียงแต่ว่าหลังจากที่เขาสามารถควบคุมพลังอำนาจของมันได้แล้ว เขายังไม่เคยใช้ประโยชน์จากมันเลยสักครั้ง นี่จึงเป็ครั้งแรกที่เขาคิดจะนำมันมาใช้ และเป็การใช้มันในสถานการณ์จริงที่อาจมีอันตรายเสียด้วย
"ช่างเถิด ข้าไม่ควรวิตกกังวลจนเกินไป ถึงอย่างไรข้าก็เคยควบคุมพลังของมันได้มาก่อน" เขาพึมพำกับตนเองเบาๆ ราวกับ้าให้ความมั่นใจแก่จิตใจที่กำลังสั่นคลอน
จากนั้นจึงรวบรวมสมาธิทั้งหมด ส่งกระแสจิตอันแข็งแกร่งเชื่อมต่อกับลูกแก้วสีดำสนิท วูบ! ร่างกายของอวี้เหวินค่อยๆ เลือนรางหายไปราวกับหยดหมึกที่ละลายลงในน้ำใส กลืนกลืนไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างรวดเร็ว ต้นไม้ ใบหญ้า โขดหิน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวราวกับหลอมรวมเข้ากับร่างของเขาอย่างน่าอัศจรรย์
ทว่านี่เป็เพียงครั้งที่สองที่เขาควบคุมลูกแก้วสีดำลูกนี้ พลังอำนาจที่เขาสามารถใช้ได้ในยามนี้มีเพียงการปกปิดร่างของตนเองเท่านั้น ยังไม่สามารถใช้มันเพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการเคลื่อนที่ หรือย่างก้าวอย่างแ่เบาไร้ร่องรอย เขาจึงจำเป็ต้องย่องเดินก้าวเข้าไปหาต้นเสียงอย่างช้าๆ ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดล่วงรู้ถึงการมาของตน แม้เพียงเสียงกิ่งไม้เล็กๆ ที่อาจถูกเหยียบย่ำ ก็อาจนำมาซึ่งภัยอันคาดไม่ถึง
ในขณะที่อวี้เหวินกำลังย่องกรายเข้าไปใกล้ต้นเสียงอย่างระมัดระวังดุจแมวป่าที่กำลังซุ่มจับเหยื่อ
บริเวณธารน้ำตกขนาดเล็กที่ไหลลดหลั่นลงมาจากผาสูงชันนั้น ปรากฏร่างอรชรของอิสตรีสองนางกำลังนั่งพักผ่อนบนโขดหินริมธาร และสนทนากันด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความสนิทสนมแแ่ ราวกับพี่น้องร่วมอุทร
อิสตรีทั้งสองสวมใส่ชุดผ้าไหมเนื้อดีสีเขียวอ่อนราวกับสีของใบไม้ผลิ ลักษณะคล้ายคลึงกัน หากผู้มีความรู้ในยุทธภพได้เห็น คงจะทราบได้ในทันทีว่านี่คือเครื่องแบบอันเป็เอกลักษณ์ของสำนักที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง และอิสตรีทั้งสองก็คือศิษย์ผู้มีพร์ของสำนักนั้นเอง
"หากมิใช่เพราะเ้ากระบือซุกซนน้อยตัวนั้นบังอาจมาป่วนเปี้ยน หลอกล่อพวกเราด้วยท่าทางที่ไร้เดียงสา นำพาพวกเราพลัดตกลงไปในบ่อโคลนดูด คงมิต้องเสียเวลามานั่งชำระกายเช่นนี้!" สาวน้อยใบหน้างดงามหมดจดราวกับดอกเหมยแรกแย้ม แต่ทว่าในดวงตากลับฉายแววความดื้อรั้นและซุกซน กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย พร้อมกับกระทืบเท้าเล็กๆ ที่สวมรองเท้าผ้าไหมปักลายดอกไม้ลงบนพื้นหินเย็นเยียบเบาๆ จุกผมสองข้างที่ถูกมัดไว้อย่างประณีตด้วยริบบิ้นสีชมพูอ่อนบนศีรษะกลมมนของนาง ยิ่งขับเน้นความดื้อรั้นและเอาแต่ใจออกมาให้ผู้ที่ได้พบเห็นต้องอมยิ้มในความน่ารักราวกับเด็กน้อย
"ซินซิน เ้าใจเย็นลงก่อนเถิด ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าเ้ากระบือตัวนั้นจะมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวถึงเพียงนี้" หญิงสาวอีกนางหนึ่งส่ายศีรษะอย่างอ่อนโยน ใบหน้าของนางสวยหวานราวกับจันทร์กระจ่างในคืนแรมประดับด้วยรอยยิ้มบางๆที่เเสนเมตตา "อย่างไรก็ตาม เื่ราวก็ผ่านมาแล้ว ไม่อาจหวนคืนหรือแก้ไขสิ่งใดได้อีก พวกเราชำระล้างกายาให้สะอาดเสียก่อน แล้วจึงค่อยเดินทางกันต่อ" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและเยือกเย็น ราวกับสายน้ำที่ไหลเอื่อยรินลงมาจากผาสูง ฟังแล้วให้ความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย
หญิงสาวผู้นี้มีใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาจำแลงลงมาบนโลกมนุษย์ แม้จะมิได้งดงามล่มเมืองจนทำให้เหล่าบุรุษต้องลุ่มหลงดังเช่นเหล่าธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดน์ ทว่าความงามของนางนั้นเป็ความงามที่เรียบง่ายแต่ทว่าลึกซึ้ง ราวกับดอกบัวขาวที่ผุดพ้นน้ำขึ้นมาท่ามกลางความบริสุทธิ์ ชวนให้ผู้คนที่ได้พบเห็นรู้สึกสบายใจและผ่อนคลาย ราวกับสายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านกายาในฤดูวสันต์ นำมาซึ่งความร่มรื่นและสดชื่น
"เ้าค่ะ ท่านพี่" สาวน้อยนามซินซินย่นริมฝีปากเล็กน้อย ดวงตากลมโตยังคงฉายแววไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าอ่อนโยนของผู้เป็พี่ นางก็มิได้ขัดขืนคำกล่าวแต่ประการใด เพียงแต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างเสียมิได้
ในขณะที่ทั้งสองกำลังปลดเปลื้องอาภรณ์เนื้อดีสีเขียวอ่อนออกจากร่างอย่างช้าๆ เผยให้เห็นผิวขาวผ่องดุจหิมะแรกตก เพื่อลงไปชำระล้างกายาในธารน้ำใสที่เย็นฉ่ำ หญิงสาวผู้เป็พี่พลันชะงักการกระทำ มือเรียวที่กำลังจะปลดปมผ้าหยุดชะงัก ดวงตาคู่สวยราวกับดวงดาราบนท้องฟ้ายามค่ำคืนเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับเพ่งสายตามองไปยังทิศทางหนึ่งในป่าลึกที่เงียบสงัด คิ้วเรียวสวยดุจคันศรขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ราวกับััได้ถึงกระแสพลังงานบางอย่างที่แผ่ซ่านออกมาจากบริเวณนั้น
สาวน้อยซินซินเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตจับจ้องไปยังใบหน้าของผู้เป็พี่อย่างใคร่รู้
"มีสิ่งใดผิดปกติหรือเ้าคะ?"
คิ้วที่ขมวดมุ่นของหญิงสาวค่อยๆ คลายลงจนกลับคืนสู่ความงดงามดังเดิม นางส่ายศีรษะเบาๆ พลางแย้มรอยยิ้มบางๆ อันอ่อนโยน ราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "มิมีสิ่งใดหรอกน้องหญิง ข้าคงคิดมากไปเองกระมัง บางทีอาจจะเป็เพียงเสียงของสัตว์ป่า หรือลมที่พัดผ่านใบไม้ก็เป็ได้"
ในห้วงเวลานั้นที่อิสตรีทั้งสองกำลังปลดเปลื้องอาภรณ์เนื้อละเอียดดุจใยไหมลงสู่ธารน้ำใสเย็นเยียบ เพื่อชำระล้างมลทิน
อีกฟากฝั่งหนึ่งของพุ่มไม้หนาทึบที่ขึ้นเรียงรายริมธาร ราวกับผ้าม่านสีเขียวมรกตที่พระเ้าสรรค์สร้าง มีร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำลังย่องกรายเข้ามาอย่างเชื่องช้าและเงียบเชียบ ราวกับเงาที่เคลื่อนไหวไปตามพื้นดิน จนกระทั่งทัศนียภาพของป่าเขาลำเนาไพรที่เขาลัดเลาะมาค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตาของเขา ปรากฏเป็ภาพของธารน้ำตกขนาดเล็กที่ไหลลดหลั่นลงมาจากผาสูงชัน ราวกับสายสร้อยแก้วที่ประดับประดาอยู่กลางผืนป่าเขียวขจีมาแทนที่
อวี้เหวินทอดสายตามองไปยังภาพเบื้องหน้า ดวงตาเป็ประกายวาววับด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง
"ช่างคุ้มค่ากับการเสี่ยงภัยล่วงล้ำเข้ามาในเขตหวงห้ามแห่งนี้โดยแท้! ธารน้ำตกที่งดงามถึงเพียงนี้ สายน้ำใสกระจ่างราวกับผลึกแก้ว เหตุใดข้าจึงไม่เคยล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของมันมาก่อนเล่า"
แต่แล้วสติที่กำลังล่องลอยไปตามความงามของธรรมชาติ ก็พลันถูกกระชากกลับคืนมา เมื่อตระหนักได้ว่ามิได้มีเพียงตนเองที่อยู่ในสถานที่อันเงียบสงบแห่งนี้ จากนั้นเขาจึงหันหน้าขวับไปยังทิศทางด้านซ้ายอย่างรวดเร็ว ราวกับถูกกระแสลมเย็นะเืพัดผ่านด้วยความใ
ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของอวี้เหวินในยามนี้ ทำเอาโลหิตในกายของชายหนุ่มแทบจะหยุดไหลเวียน หัวใจเต้นระรัวราวกับกลองศึก หญิงสาวสองนางกำลังปลดเปลื้องอาภรณ์เนื้อละเอียดออกจากร่างอย่างมิมีพิธีรีตอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้