ตอนนั้นพวกเขากลัวว่าบุตรสาวออกเรือนไปแล้วจะถูกครอบครัวสามีกดขี่ข่มเหง พวกเขาจึงนำทรัพย์สินของมีค่าในบ้านไปเป็สินเดิมให้บุตรสาวทั้งหมด สองสามีภรรยาทำนาด้วยความยากลำบาก อาศัยเพียงฤดูเก็บเกี่ยวประทังชีวิต จะมีเงินเหลือมาซื้อของให้เด็กผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไร
“ที่จริงท่านป้าไม่ได้ซื้อให้ข้า แต่ข้าหาเงินมาด้วยน้ำพักน้ำแรง และซื้อกลับมาเอง” ิเป่าจูเข้ามารับ่ต่อ
ท่านป้าทำเพื่อนางถึงเพียงนี้ นางจะให้หวังซื่อมาชี้หน้าหยามเหยียดท่านป้าได้อย่างไร
อุตส่าห์ลงแรงขนาดนี้ เป้าหมายก็คือตนเอง นางไม่อยากให้ผู้อื่นเดือดร้อน
“แม่หนู...” ท่านป้าตาแดง
แต่ิเป่าจูกลับมองนางด้วยสายตาที่เด็ดเดี่ยว
ดังนั้นนางจึงได้แต่ถอนหายใจ และไม่พูดอะไรอีก
“หาเงินมาได้อย่างไร เ้าไปทำงานในเมืองรึ ที่ตระกูลไหนล่ะ” ิเถี่ยจู้ยิ้มอย่างลำพองใจ
สามคำถามติดกัน ถามจนิเป่าจูเป็ใบ้พูดไม่ออก
เื่นี้ไม่สามารถโกหกกันได้ ด้วยความดื้อรั้นของิเถี่ยจู้ จะต้องให้คนเข้าเมืองไปตรวจสอบ ถึงเวลานั้นหากไม่มีผลลัพธ์ก็จะยิ่งลำบากมากขึ้น
“ฮึ หามาเอง ข้าว่าขโมยกำไลหยกของข้าแล้วเอาไปขายโรงจำนำในเมืองมากกว่า ถึงได้ของสกปรกเหล่านี้มา”
ั้แ่ต้นจนจบิเป่าจูไม่ได้พูดอะไรเลย ิเถี่ยจู้กับหวังซื่อเห็นนางจนปัญญาจะตอบโต้ก็สบตากัน พลางเผยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
คนที่มุงดูอยู่ด้านนอกเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์
ทุกคนต่างพูดเป็เสียงเดียวกันว่าิเป่าจูเป็คนผิด
“อย่าปากแข็งอีกเลย หากเ้ายอมรับว่าขโมยกำไลหยก ข้าจะเห็นแก่ที่เ้ายังอายุน้อย ไม่ขับเ้าออกจากหมู่บ้าน แต่ต้องชดใช้เงินคืนให้ครอบครัวลุงของเ้า”
หัวหน้าหมู่บ้านและคนอื่นๆ ต่างเข้าข้างครอบครัวของิเถี่ยจู้มาั้แ่ต้น เมื่อเห็นิเป่าจูอธิบายเหตุผลไม่ได้ ก็มั่นใจยิ่งขึ้น
หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวเช่นนี้ ก็เป็การตอกฝาโลงโดยสมบูรณ์
“ข้าไม่ยอมรับในสิ่งที่ไม่ได้ทำ พวกท่านไม่เชื่อ ข้าก็จนปัญญาเหมือนกัน” คำกล่าวนี้คือความดื้อรั้นสุดท้ายของิเป่าจู
“เห็นแก่ที่เ้าเป็เืเนื้อเชื้อไขของน้องชายข้า เื่ขโมยของข้าจะไม่แจ้งทางการ ชดใช้เงินยี่สิบตำลึงมาก็ถือว่าสิ้นเื่กันไป” ิเถี่ยจู้กล่าวอย่างไร้ยางอาย
“ยี่สิบตำลึง” ท่านป้าร้องออกมาด้วยความใ ชาวบ้านที่ล้อมรอบก็มีปฏิกิริยาแบบเดียวกัน
หญิงชาวบ้านที่มีกำไลหยกเป็สินเดิมจริงๆ ต่างแทบไม่อยากเชื่อ ิเถี่ยจู้เรียกร้องราคาสูงเช่นนี้ เทียบเท่ากับการปล้นโดยไม่ต้องสงสัย
กำไลหยกน้ำดีทั่วไปห้าหกตำลึงก็สูงสุดแล้ว ต้องใช้ถึงยี่สิบตำลึงที่ไหนกัน
แล้วเด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะชดใช้ไหวได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าจงใจบีบคนให้ตาย
“ได้ ยี่สิบตำลึงก็ยี่สิบตำลึง แต่เมื่อท่านป้าสะใภ้บอกว่าข้าเอากำไลหยกไป ซ้ำยังเอาไปขายโรงจำนำในเมือง ท่านบอกได้หรือไม่ว่ากำไลหยกนี้มีรูปพรรณสัณฐานอย่างไร ราคาเท่าไร”
ิเป่าจูตอบตกลงโดยไม่ลังเล แน่นอนว่ามีวัตถุประสงค์อื่นแฝงอยู่ ตอนนี้นางยังต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง ขณะเดียวกันก็ต้องเปลี่ยนทัศนคติแบบเหมารวมของคนในหมู่บ้านด้วย
หลังจากทุกคนได้ยินเื่นี้ ต่างก็คิดว่าไม่สมเหตุสมผลที่จะให้คนต้องจ่ายถึงยี่สิบตำลึง
หวังซื่อได้ยินคำถามของิเป่าจู แม้จะไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร แต่กลับคิดว่าตนเองมีโอกาสที่จะโขกราคาให้สูงขึ้นอีก หากบอกว่ากำไลหยกราคาพันตำลึงทอง นางเด็กโสโครกนี่ก็จะจ่ายเพิ่มให้อย่างนั้นหรือ
“โธ่เอ๋ย พูดถึงข้าก็เศร้าใจยิ่งนัก นี่เป็ของที่บรรพบุรุษตระกูลมารดาข้าทิ้งไว้ให้ กำไลเป็หยกแกะสลักมูลค่าพันตำลึงทอง... ไม่ได้ ยี่สิบตำลึงน้อยเกินไป ร้อยตำลึง คืนให้ข้าร้อยตำลึง แล้วข้าจะไม่ส่งเ้าให้ทางการ” หวังซื่อกลอกตาหลุกหลิก
แต่พอหวังซื่อเอ่ยปากออกมา สายตาของทุกคนที่มองนางก็เปลี่ยนไปทันที กลายเป็ความคลางแคลงสงสัย บ้านมารดาของนางยากจนขนาดนั้นจะมีกำไลมูลค่าพันตำลึงทองได้อย่างไร
“หวังซื่อ เ้าโกหก โทษฐานหลอกลวงก็ไม่ใช่เื่เล็กเหมือนกัน” ตอนแรกหลี่ไหวฺอวี้ก็ยังไม่เข้าใจว่านางยอมรับความผิดง่ายๆ ได้อย่างไร แต่บัดนี้นับว่าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว กำไลหยกแกะสลักไม่มีอยู่จริง มีแต่กำไลไม้เท่านั้นถึงจะแกะสลักได้
“หนุ่มหน้าขาวอย่างเ้ามีสิทธิ์อะไรมาว่าข้าโกหก เ้ากับนางมันก็พวกเดียวกัน” หวังซื่อถลึงตาใส่หลี่ไหวฺอวี้
“ป้าสะใภ้ แน่ใจหรือว่ากำไลหยกของท่านเป็กำไลหยกแกะสลัก มูลค่าพันตำลึงทอง” ิเป่าจูสีหน้าสงบนิ่ง ถามหวังซื่ออีกครั้ง
แต่เวลานี้หวังซื่อกำลังถูกพันตำลึงทองบังตา พอได้ยินคำกล่าวของิเป่าจูก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น “กำไลหยกของบรรพบุรุษข้า จะไม่มั่นใจได้หรือ ข้าว่าเ้าไม่อยากให้เงินมากกว่า ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ไปแจ้งทางการ...”
พูดจบหวังซื่อก็ดึงมือของิเป่าจู แสร้งทำเป็จะพานางไป
“ป้าสะใภ้... นับแต่โบราณมา ไม่เคยมีหยกแกะสลัก...”
“เ้าพูดเหลวไหล” หวังซื่อหัวใจเต้นผิดจังหวะ แต่ยังปากแข็งมองิเป่าจูอย่างจงเกลียดจงชัง
“เหลวไหลไม่เหลวไหลไม่ใช่สิ่งที่ท่านกับข้าจะตัดสินได้ ไปเถอะ พวกเราเข้าเมืองไปแจ้งทางการตอนนี้เลย” พูดจบ ิเป่าจูก็คว้าแขนของหวังซื่อกลับบ้าง
“ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป นางกีบเท้าเล็ก ปล่อยข้า อา... ท่านพี่ รีบช่วยข้าเร็ว”
สิ้นคำกล่าว ก็ยิ่งกรีดร้องดังกว่าเมื่อครู่นี้ ทุกคนต่างไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผันเช่นนี้ แต่ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า “หัวขโมย” ที่แท้จริงคือผู้ใด
“ิเป่าจู เ้าจะทำอะไร นี่ป้าสะใภ้ของเ้านะ รีบปล่อยมือเร็วเข้า” ิเถี่ยจู้รู้สึกว่าตนเองเสียหน้าจนหมดสิ้น ทุกคนต่างรู้กันหมดแล้ว
“ท่านลุง ข้าจะไม่พาป้าสะใภ้ไปส่งทางการเื่ของกำไลก็ได้ แม้แต่เงินยี่สิบตำลึงที่ข้าเอ่ยเมื่อครู่ ก็สามารถให้พวกท่านได้ ถือเป็การขอบคุณที่พวกท่าน ‘ดูแล’ พวกเราตลอดหลายปีมานี้ แต่ว่า...”
หวังซื่อที่ถูกปล่อยออกมาได้ยินคำกล่าวของิเป่าจู ั์ตาก็สว่างวาบขึ้นมา นางไม่อยากไปพบเ้าหน้าที่ทางการ ตอนนี้ก็ยังได้เงินอีกด้วย ไม่ว่าสิ่งใดนางก็ยอมทำทั้งนั้น
“แต่ว่าอะไร เ้ารีบพูดมา” ิเถี่ยจู้ยังไม่เปล่งเสียง หวังซื่อก็ชิงเอ่ยปากขึ้นมาก่อน จึงถูกิเถี่ยจู้ถลึงตาใส่อย่างแรง
สำหรับิเป่าจูคนก่อน เงินยี่สิบตำลึงอาจเป็ราคาที่นางไม่มีวันเอื้อมถึง แต่ิเป่าจูเวลานี้ ขายสมุนไพรครั้งเดียวก็ได้มาสบายๆ ดังนั้นนางจึงยินดีที่จะใช้เงินยี่สิบตำลึงนี้มาแลกความสงบสุขของตนเอง
“ข้า้าให้ป้าสะใภ้ยอมรับในสิ่งที่ตนเองทำด้วยปากของตนเอง ว่าเื่กำไลวันนี้แท้จริงแล้วเป็อย่างไรกันแน่”
ยังไม่ทันที่ทุกคนจะเข้าใจสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป คำพูดจากปากของิเป่าจูกลับตำใจพวกเขายิ่งกว่า
“นอกจากนี้ข้ายัง้าตัดความสัมพันธ์กับิเถี่ยจู้สองสามีภรรยาคู่นี้ ต่อจากนี้ไปสะพานก็ส่วนสะพาน [1] ถนนก็ส่วนถนน ไม่ว่าจะเกิดแก่เจ็บตาย ก็ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีก” ิเป่าจูแสดงท่าทีเด็ดขาด ตัดสินใจอย่างแน่วแน่
หลี่ไหวฺอวี้ถอยกลับไปที่ประตูั้แ่เมื่อครู่นี้ เขาพิงประตูวางตัวเป็คนนอก แต่สายตาจดจ้องสตรีนอกในไม่ตรงกัน [2] ซึ่งยืนอยู่กลางลาน
ภายนอกดูอ่อนแอไม่ทนลม ดูเหมือนยอมปล่อยให้คนกดขี่ข่มเหง แต่แท้จริงมีจิตที่มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว สิ่งที่ตัดสินใจแล้วจะไม่หวั่นไหวง่ายๆ
หากไม่ใช่นอกในไม่ตรงกันแล้วจะเป็อะไรได้
“นี่... พวกเ้ามีความคิดเห็นอะไรหรือไม่” หัวหน้าหมู่บ้านหันไปถามิเถี่ยจู้ ดูจากท่าทีของหวังซื่อก็เห็นได้ว่าเื่ขโมยกำไลดังกล่าวก็แค่การสร้างเื่ขึ้นมา
ิเป่าจูสมควรได้รับคำขอขมาจากหวังซื่อ
แต่อีกเื่ที่ิเป่าจูกล่าวไว้ ถึงแม้เขาจะเป็หัวหน้าหมู่บ้าน ก็ไม่สามารถตัดสินใจเื่ภายในครอบครัวของผู้อื่นได้ เื่นี้ยังต้องถามความคิดเห็นของิเถี่ยจู้
หลังจากได้ยินแล้วิเถี่ยจู้ก็ประหลาดใจยิ่ง นางหนูคนนี้้าตัดความสัมพันธ์ ทั้งยัง้าให้ขอขมา?
เขากับหวังซื่อต่างมองหน้ากัน ทั้งสองต่างมีแผนการอยู่ในใจแล้ว
หวังซื่อมองิเป่าจู เมื่อเห็นรอยยิ้มในแววตาของอีกฝ่าย หัวใจพลันเกิดความวิตกกังวลอย่างมาก ขอขมาก็ยังดีกว่าติดคุกติดตะราง
ิเป่าจูเห็นท่าทีของทั้งสองฝ่าย ก็หัวเราะเยาะหยันในใจ จิตคนโลภไม่รู้จักพอดั่งงูกลืนช้าง!
“ไม่ได้ แต่หากเ้าสามารถเอาเงินร้อยตำลึงออกมาได้ ต่อไปจะงานแต่งงานศพ ข้าิเถี่ยจู้ก็จะไม่ถามอีกเลย แต่สำหรับคำขอขมาของป้าสะใภ้เ้าย่อมได้อยู่แล้ว”
สิ้นคำกล่าว ทุกคนต่างเริ่มกระซิบกระซาบกัน และมองิเป่าจูด้วยความเห็นอกเห็นใจที่มีลุงกับป้าสะใภ้แบบนี้
ิเป่าจูได้ยินเื่ที่ทุกคนต่างซุบซิบกัน ก็คลี่ยิ้มมุมปาก เป้าหมายของนางลุล่วงแล้ว
ิเป่าจูรู้ว่าคนละโมบสองคนนี้ไม่มีทางรับปากง่ายๆ จึงตั้งใจสร้างบทสนทนาเหล่านี้ออกมา เพื่อใช้เงินยี่สิบตำลึงมาแสดงให้คนทั้งหมู่บ้านได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของสามีภรรยาคู่นี้
“ยี่สิบตำลึงขาดตัว มากกว่านี้แม้แต่เฟินเดียวก็ไม่ได้ อย่างไรเสียคนโกหกเวลานี้ก็ไม่ใช่ข้า อย่างมากพวกเราก็แค่ไปพบเ้าหน้าที่ด้วยกัน จริงหรือไม่ พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย”
“ใช่ ไปพบเ้าหน้าที่”
“รังแกกันขนาดนี้ไปพบเ้าหน้าที่เถอะ”
เมื่อได้ยินคนรอบด้านต่างคล้อยตาม อารมณ์ของิเป่าจูก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ นางรู้ คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็หญ้าเหนือกำแพง ลมพัดไปทางไหน พวกเขาก็เอนไปทางนั้น ิเป่าจูจึงไม่ถือสาที่จะเป็สายลมหอบนี้
พอได้ยินว่าพบเ้าหน้าที่ ิเถี่ยจู้กับหวังซื่อก็เริ่มลนลาน
“พวกเราล้วนเป็ครอบครัวเดียวกัน ไยต้องทำขนาดนี้ ยี่สิบตำลึงก็ยี่สิบตำลึง แต่กำหนดเวลาช้าสุดคือหนึ่งเดือน”
แม้ใจของิเถี่ยจู้จะไม่ยินยอม แต่มีเงินมาเพิ่มยี่สิบตำลึงไม่ดีตรงไหน ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่คิดว่าสองคนนี้จะหาเงินยี่สิบตำลึงมาได้ สุดท้ายแล้วก็ต้องเป็ลูกไก่ในกำมือตนเองอยู่ดี
“ิเถี่ยจู้ เ้าโหดร้ายเกินไปแล้ว ต่อให้เป็ข้า ภายในหนึ่งเดือนก็ยังเอาเงินยี่สิบตำลึงออกมาไม่ได้” ชาวบ้านคนหนึ่งะโขึ้นมา
คนผู้นี้มาจากครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดีในหมู่บ้าน เมื่อเห็นิเถี่ยจู้กดดันทุกวิถีทางก็ทนมองไม่ได้ ลุกขึ้นก้าวออกมาทันที
ในที่สุดพวกเขาก็ดูออกเสียที เห็นอยู่ว่าิเถี่ยจู้ไม่คิดจะปล่อยิเป่าจูกับิเป่าอวี้ไปง่ายๆ พวกเขาเห็นว่าเด็กไม่มีความสามารถในการหาเงินจึงใช้วิธีนี้มาบีบคั้น
“ใช่ๆ เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ หัวหน้าหมู่บ้านก็ยังไม่แน่ว่าจะมี” คนอื่นๆ ไม่กล้าเสียงดัง แต่ก็ยังวิจารณ์เสียงเบา
หัวหน้าหมู่บ้านกลับหน้านิ่วคิ้วขมวดแต่ไม่เอ่ยสักคำ ถึงอย่างไรก็เป็เื่ของผู้อื่น เื่เงินิเป่าจูก็เป็คนรับปากเองว่าจะให้ิเถี่ยจู้ แน่นอนว่าเื่กำหนดเวลาก็ควรให้พวกเขาปรึกษาหารือกันเอง
ิเป่าจูเห็นหัวหน้าหมู่บ้านไม่ออกความเห็น ท่าทางเหมือนจะเห็นด้วยกับแนวทางของิเถี่ยจู้โดยปริยาย นางก็ไม่ได้คาดหวังว่าหัวหน้าหมู่บ้านจะเข้าข้างตนเองอยู่แล้ว ดังนั้นจึงตอบตกลง
“ได้ ตกลงตามนี้”
เดิมทีนาง้าจะสะสางเื่นี้ให้จบในทันที เพราะเงินที่ได้จากการขายสมุนไพรก่อนหน้านี้ ถึงชักออกมายี่สิบตำลึงก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง
แต่มานึกดูอีกที หากนำเงินมากมายถึงเพียงนั้นออกมาในคราวเดียว คนในหมู่บ้านจะคิดอย่างไร ด้วยความโลภของิเถี่ยจู้กับหวังซื่อก็ยังไม่แน่ว่าจะงัดลูกไม้อะไรออกมาเล่นงานนางอีกบ้าง
มีปัญหาน้อยลงอย่างไรก็ดีกว่ามีเื่เพิ่มขึ้น จึงตอบตกลงตามข้อเสนอของหัวหน้าหมู่บ้าน แต่กำหนดเวลาของิเถี่ยจู้ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายให้นางรอดชีวิต
คนทั้งลานต่างคิดไม่ถึงว่านางจะตอบตกลงเงื่อนไขที่แสนโหดร้ายเช่นนี้ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะหาเงินมาจากไหนมากมาย คิดแล้วก็รู้สึกว่านี่เป็เื่เพ้อฝันที่ไม่มีวันเป็จริงได้
“เอามาก่อนสิบตำลึง” ิเถี่ยจู้กอดอกพูดขึ้นมา
“นี่มันโก่งราคากันนี่” ิเป่าอวี้นึกว่าิเถี่ยจู้อยากได้เพิ่มอีกสิบตำลึง จึงเอ่ยอย่างเดือดดาล
การกระทำของิเถี่ยจู้ทำให้ผู้อื่นต่างงุนงง รอฟังว่าเขาจะอธิบายอย่างไร
“ผลประโยชน์ยกให้เ้าไปแล้ว พวกเราก็จะเสียเปรียบไม่ได้เหมือนกัน ตอนนี้จ่ายมาสิบตำลึง ต่อให้พวกเ้าหนีไป พวกเราก็ยังมีค่าประกัน มิเช่นนั้นอย่างมากก็แค่สู้ให้ตายกันไปข้าง”
เมื่อเห็นิเป่าจูรับปากง่ายๆ ิเถี่ยจู้ก็เริ่มระแวง เขากลัวว่าิเป่าจูพูดเพื่อหลอกลวงตนเอง
ดังนั้นตอนนี้ต้องบีบให้นางจ่ายออกมาส่วนหนึ่งก่อน
ิเป่าจูยิ้มมุมปาก เข้าใจความคิดของิเถี่ยจู้เป็อย่างดี นี่ไม่ใช่ว่ากลัวนางหนีหรอกหรือ
เชิงอรรถ
[1] สะพานก็ส่วนสะพาน ถนนก็ส่วนถนน หมายถึง ทางใครทางมัน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีก
[2] นอกในไม่ตรงกัน หมายถึง ภายนอกแสดงออกอย่างหนึ่ง แต่ความคิดในใจกลับเป็อีกอย่างหนึ่ง คล้ายกับสำนวนไทยที่ว่า ‘หน้าไหว้หลังหลอก’ หรือ ‘ปากหวานก้นเปรี้ยว’
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้