หลี่ซานยังไม่ทันกลับถึงบ้านก็ได้ยินคนในหมู่บ้านที่เดินกันอยู่บนถนนแคบๆ กล่าวถึงเื่ที่หวังฝูจื้อถูกหลอกจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว หลายคนบอกให้เขาไปคิดบัญชีกับหวังฝูจื้อที่ทำให้วิธีการก่อเตียงเตาหลุดลอดออกไปด้วย
ความจริงหลี่ซานไม่ได้เกี่ยวข้องกับการก่อเตียงเตาแม้แต่น้อย ตอนนั้นผู้ที่ทำสัญญากับตระกูลหวังก็คือลูกๆ ทั้งห้า
หลี่ซานขับเกวียนเข้ามาที่ลานบ้าน น้องชายและบุตรสาวพากันเข้ามาหา ช่วยกันยกของลง จูงลาไปเก็บ ชงน้ำชามาให้ เข้ามาห้อมล้อมตนและถามไถ่เื่ต่างๆ นานา ส่วนภรรยาที่ท้องใหญ่ใกล้คลอดก็ยืนอยู่ที่ประตูห้องโถงส่งยิ้มมาให้เขา ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่น เมื่อได้กลิ่นหอมของเนื้อจึงถามไปว่า “หรูอี้ทำของอร่อยอะไรจึงได้หอมเพียงนี้?”
“ไก่น้ำแดง” ไก่ที่เลี้ยงไว้หลายเดือนโตแล้ว ตัวหนึ่งหนักสองชั่งกว่า ครอบครัวหลี่มีคนมากหลี่หรูอี้จึงฆ่าไก่สองตัวนำไปทำเป็ไก่น้ำแดงและไก่ผัดกระเทียม นอกจากนี้ก็มีน้ำแกงบวบอีกด้วย ส่วนอาหารหลักคือ แป้งเปล่าที่ทำจากแป้งขาวหมัก
หลี่สือดีใจจนหน้าแดง กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ท่านพี่ กินเนื้อไก่”
หลี่ซานรีบเก็บกลืนคำพูดที่ว่า ไม่ใช่ปีใหม่ไม่ใช่เทศกาลจะกินเนื้อไก่อันใดกลับลงท้องไป กิจการดีเช่นนี้ ไม่กี่วันก่อนก็ได้เงินจากจวนเยี่ยนอ๋องมาตั้งมากมาย กินไก่สองตัวจะเป็อะไรไป
ครอบครัวหลี่กินอาหารเย็นกันอย่างอบอุ่น กินกันเสร็จแล้วหลี่ซานก็นำเงินทั้งหมดที่ได้จากการขายของในตลาดที่อำเภอมามอบให้หลี่หรูอี้เช่นเคย
“ท่านพ่อ ตอนบ่ายบ้านเรามีเครื่องโม่หินเพิ่มขึ้นมาอีกเครื่องหนึ่งแล้วเ้าค่ะ ั้แ่พรุ่งนี้ครอบครัวเราจะขายเต้าหู้ให้อู่โก่วจื่อทุกเช้า วันละประมาณหนึ่งร้อยถึงสองร้อยชั่ง”
หลี่ซานใจเต้นตึกตัก มิอาจทนฟังบุตรีพูดจนจบ ก็รีบกล่าวไปก่อนแล้วว่า “หากอู่โก่วจื่อขายเต้าหู้แล้วข้าจะไปขายเต้าหู้ที่ใดเล่า?”
หลี่หรูอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าให้อู่โก่วจื่อไปขายที่อำเภอซั่ง ส่วนท่านก็ขายอยู่ที่ตำบลจินจีและอำเภอฉางผิงเช่นเดิม”
หลี่อิงฮว๋ากล่าวด้วยสีหน้าเรียบๆ “ท่านพ่อ ท่านวางใจเถิด สมองของน้องห้าดีกว่าพวกเราสี่พี่น้องรวมกันเสียอีก นางไม่โง่ยกความร่ำรวยให้ผู้อื่นจนครอบครัวเรายากจนแน่”
หลี่ซานปรายตามองบุตรชายคนที่สามก่อนกล่าวว่า “เ้าสนิทกับซื่อโก่วจื่อ”
“ใส่ความกันแล้ว ข้าเพิ่งรู้เื่นี้ตอนกลับมาจากสำนักศึกษา” หลี่อิงฮว๋ารีบขอความช่วยเหลือจากจ้าวซื่อและหลี่หรูอี้
“ท่านพ่อ เื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับพี่สาม เป็ข้าที่ตกลงกับอู่โก่วจื่อเองเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้กล่าวต่อไป “แม้อู่โก่วจื่อจะอายุเท่าข้า และข้ากับนางอาจเป็เพียงเด็กน้อยในสายตาของท่าน แต่พวกเราก็มีความสามารถพอที่จะหาเงินได้ ข้าเห็นว่าอู่โก่ว จื่อเป็คนดี”
“ข้าเห็นด้วยกับวิธีของหรูอี้” จ้าวซื่อรู้เื่ที่อู่โก่วจื่อเก็บเงินได้สามตำลึงแล้ว
อู่โก่วจื่อมีเงินมากมายเช่นนี้ แต่กลับไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่ให้ตนเองแม้แต่ตัวเดียว อีกทั้งยังไม่ยอมออกไปกินอาหารดีๆ นอกบ้าน แต่กลับซื้อเนื้อมาให้บ้านหลี่เพื่อตอบแทนบุญคุณ ทั้งยังให้เงินหม่าซื่ออีกหลายครั้ง ซื้อของให้บ้านสวี่อีกหลายครั้ง และนำเงินส่วนใหญ่มาขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้น
จ้าวซื่อประทับใจในตัวอู่โก่วจื่อไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อหลี่ซานได้ยินว่าเื่นี้จะไม่ส่งผลกระทบกับการหาเงินของครอบครัวตน เช่นนั้นทุกอย่างก็พูดกันง่ายแล้ว หลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่ง จึงกล่าวออกไปว่า “ตำบลจินจีเป็ทางผ่านไปยังอำเภอซั่ง พรุ่งนี้เช้าข้าจะขับเกวียนไปช่วยซื่อโก่วจื่อและอู่โก่วจื่อขนเต้าหู้ไปจนถึงตำบลจินจี”
บ้านสวี่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับบ้านหลี่ สวี่เจิ้งที่ตอนนี้ไปทำงานสร้างกำแพงเมืองอยู่ที่เมืองเยี่ยน ก็นับเป็พี่น้องต่างแซ่ของหลี่ซาน คอยช่วยเหลือกันและกันยามอยู่ในหมู่บ้านหลี่
หลี่ซานถึงกับยอมช่วยบ้านสวี่โดยไม่กลัวลาเหนื่อยเลยทีเดียว
“ท่านพ่อ ข้ายังมีเื่อื่นจะบอกท่านอีกเ้าค่ะ” เื่ที่หลี่หรูอี้จะบอกก็คือ การเพิ่มกำลังการผลิต อีกไม่กี่วันบ้านหลี่ไม่จำเป็ต้องออกไปขายปลีกเต้าหู้นอกหมู่บ้านแล้ว แต่จะเปลี่ยนเป็ขายส่งอยู่ที่บ้านแทน
หลี่หรูอี้ใช้คำว่า บอก ไม่ใช่หารือ ท่าทีเช่นนี้ของนางก็คือ ้าให้หลี่ซานทำตามที่บอก
หลี่ซานเข้าใจกระจ่างแจ้งโดยพลัน “ที่แท้เ้าซื้อลาตัวที่สามและเครื่องโม่หินเครื่องที่สามมา ก็เพราะ้าเพิ่มกำลังการผลิตเต้าหู้นี่เอง”
“ข้าเคยบอกท่านนานแล้ว แต่ท่านไม่ใส่ใจ”
หลี่ซานผายมือทั้งสองออก อธิบายอย่างที่ตนเข้าใจมาตลอดว่า “ข้าคิดว่าการเพิ่มกำลังการผลิตเต้าหู้ที่เ้าบอกคือ เพิ่มเพื่อให้ข้าไปขายเต้าหู้ที่ตำบลจินจีและอำเภอฉางผิงให้มากขึ้น”
เมื่อเด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่ทราบว่าอีกไม่กี่วันบิดาจะไม่ต้องขับเกวียนไปขายเต้าหู้ที่นอกหมู่บ้านวันละสองรอบแล้ว แต่จะขายเต้าหู้อยู่ที่บ้านแทน ทั้งยังหาเงินได้ไม่น้อย ต่างก็รู้สึกดีใจ พากันสนับสนุนความคิดของน้องสาวเป็การใหญ่
คนทั้งครอบครัวต่างรอคอยที่จะเปลี่ยนกิจการจากค้าปลีกมาเป็ค้าส่ง ไม่ทราบว่าผู้ใดกล่าวถึงหวังฝูจื้อขึ้นมาเป็คนแรก หลี่หรูอี้ที่มีไฟโทสะสุมอยู่เต็มอกจึงด่าว่าหวังฝูจื้อ หวังลี่ตง และชวีหงไปยกใหญ่
ตอนบ่าย จ้าวซื่อได้ยินหม่าซื่อเล่าเื่ที่ครอบครัวหวังฝูจื้อไปหาเื่ตบตีหวังลี่ตงแล้ว นางกล่าวอย่างเ็าว่า “ชวีหงช่างเลวทรามจริงๆ พอได้ยินเสียงคนดังมาตามลมก็ชิงหนีไปก่อน มิเช่นนั้นวันนี้ครอบครัวหวังฝูจื้อคงตบตีนางไปแล้ว”
หลี่ซานกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “หวังลี่ตงจะเอาความกล้าจากที่ใดไปร่วมมือกับคนนอก จะต้องเป็ชวีหงสั่งสอนเป็แน่ ชวีหงสารเลวนัก ทำลายครอบครัวพี่หวังไห่แล้วยังไปทำลายตระกูลหวังอีก”
หลี่อิงฮว๋าคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “ผู้ดูแลเจิ้งคนนี้ชั่วร้ายจริงๆ ตกลงเขาเป็ใครกันแน่?”
“ผู้ดูแลเจิ้งจะต้องไม่ใช่คนใหญ่คนโตแน่นอน คนใหญ่คนโตไม่เหลือบแลการก่อเตียงเตาหรอก เขาอาจเป็นักต้มตุ๋นที่หลอกคนเป็ประจำ เดินทางหลอกผู้คนไปทุกที่ หลอกอะไรได้ก็เอาสิ่งนั้น เมื่อหลอกสำเร็จก็ไปที่อื่นต่อ” หลี่หรูอี้ไม่คิดกลัวเลยว่าจะถูกครอบครัวสงสัยว่าเหตุใดเด็กหญิงที่อยู่แต่บ้านทั้งวันอย่างนางจึงเข้าใจเื่ราวมากเช่นนี้
หลี่ซานอาศัยแสงตะเกียงมองคนในครอบครัว เด็กชายสี่คนถูกส่งไปเรียนที่สำนักศึกษาแล้วย่อมไม่อาจปล่อยให้เรียนรู้เสียเปล่า จะต้องได้ความรู้กลับมาด้วย ด้วยเหตุนั้นจึงกล่าวอย่างเนิบช้าว่า “ตอนข้าไปทำงานสร้างกำแพงเมืองอยู่ที่เมืองเยี่ยน ตอนดึกได้ยินคนที่นอนเพิงเดียวกันพูดถึงเื่แปลกประหลาดของแต่ละพื้นที่ มีหลายเื่เกี่ยวกับคนที่ถูกนักต้มตุ๋นหลอก วิชาต้มตุ๋นหนึ่งในนั้นเรียกว่า เซียนหลบหนี คล้ายกับวิธีที่ผู้ดูแลเจิ้งนำไปหลอกหวังฝูจื้อมากทีเดียว”
คนที่ไปสร้างกำแพงเมืองมาจากแต่ละพื้นที่ของเมืองเยี่ยนและเมืองอื่นๆ ที่อยู่ห่างออกไปเป็ลี้ มีคนทุกประเภท
ในหมู่คนเหล่านี้ บ้างก็เคยทำงานในโรงละคร บ้างก็เป็พนักงานของหอสุรา บ้างก็ทำงานอยู่ที่ศาลาว่าการ หรือจะเคาะบอกเวลา เฝ้าคลังเสบียง ล้วนมีทั้งสิ้น
เพื่อแสดงว่าตนมีความรู้กว้างขวางและเพื่อหาสหายใหม่ พวกเขาจึงนำเื่แปลกๆ ที่ได้พบกับตัวหรือได้ฟังกับหูมาคุยเล่นกัน
เื่ที่หลี่ซานนำไปเล่าก็คือประสบการณ์หนีภัยโรคระบาดที่เกิดเมื่อปีนั้น
ทุกคนต่างเป็คนระดับล่าง กลางวันแบกหินทำงานหนัก กลางคืนพูดคุยไร้สาระ หลี่ซานเป็คนที่มีความจำดีจึงจดจำเื่แปลกๆ ที่ผู้อื่นเล่าได้ทั้งหมด
ก่อนหน้านี้มีสี่ครอบครัวที่คิดจะส่งสตรีมาเป็อนุภรรยาให้หลี่ซาน หลี่ซานมองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่า ้าสูตรทำเต้าหู้ นั่นเป็เพราะได้ฟังเื่แปลกๆ มาจากตอนที่ไปทำงานสร้างกำแพงเมืองนั่นเอง
เด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่กล่าวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “เซียนหลบหนีหรือ”
คราวนี้หลี่ซานทำให้หลี่หรูอี้ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว นึกไม่ถึงว่าท่านพ่อที่ซื่อสัตย์ทึ่มทื่อจะรู้จักเซียนหลบหนีด้วย
เมื่อหลี่ซานเล่าเื่เซียนหลบหนีจบ ก็กำชับกับบุตรชายทั้งสี่ว่า “เหนืออักษรราคะมีอักษรมีดอยู่ หากไม่เอาตัวออกห่างจากสุราและราคะ จะทำให้เกิดเื่เลวร้าย วันหน้าพวกเ้าต้องจดจำคำพูดนี้ไว้ให้ดี อย่าโลภในทรัพย์สินและสตรีเป็อันขาด”
ยามค่ำคืน ณ ห้องโถงของบ้านหวังไห่ หวังไห่โกรธจนหน้าดำคร่ำเครียดราวกับก้นหม้อ ผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ คือเหล่าผู้าุโตระกูลหวังที่มีผมขาวโพลนและฟันหลอไปหลายซี่
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้