Chapter nineteen: Simon gives butterflies
“หากกล่าวถึงประวัติเบื้องต้นของการต้อนรับแขกในงานพิธีแต่งตั้งผู้สืบทอดทายาท โดยปกติแล้วแขกที่ได้รับเชิญมักจะต้องเป็ผู้สืบทอดทายาทของตระกูลต่าง ๆ ..”
เสียงเจื้อยแจ้วของโอเมก้าตัวเล็กดังขึ้นทั่วบริเวณของริมแม่น้ำข้างคฤหาสน์ควินท์เรล ถึงแม้ลมเย็นยังคอยพัดผ่านจนรู้สึกถึงความหนาวเย็นได้ แต่แสงแดดอุ่นร้อนที่ตกมากระทบผิวั้แ่เช้าตรู่เช่นนี้ก็ทำให้แพทริเซียรับรับรู้ถึงฤดูร้อนที่เปลี่ยนผ่านเข้ามาได้อย่างชัดเจน
สีของต้นไม้เขียวชอุ่มและดอกไม้นานาพันธุ์ที่ผลิบานรับแสงแดดอย่างเต็มที่ทำให้คนทั้งสองที่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ต้นใหญ่รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเป็เท่าตัว ถึงฤดูร้อนของเอดมันตันนั้นจะไม่ได้ร้อนจัดอย่างหลาย ๆ ที่ แต่แสงแดดที่แรงมากกว่าปกติก็ทำให้พวกเขารู้สึกร้อนขึ้นมาได้เหมือนกัน
แล้วทำไมเขาถึงยังเลือกออกมาเรียนข้างนอกกันอีกนะ
ดวงตากลมโตชำเลืองมองอัลฟ่าหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า เ้าของปลายจมูกโด่งกำลังก้มใจจดใจจ่ออยู่กับหนังสือเล่มใหญ่ในมือซะจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีใครกำลังจ้องอยู่ จริง ๆ แล้วแพทริเซียไม่ได้อยากออกมาข้างนอกในวันที่แดดแรงขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่จะทำยังไงกันล่ะ ในเมื่อคนตรงหน้าดูอยากจะออกมาเรียนข้างนอกซะเหลือเกิน
‘ก็ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไปเรียนข้างนอก’
‘แล้วที่บอกว่าจะพาแซมมี่ไปเดินเล่นล่ะ? โกหกกันเหรอ?’
‘วันไหนจะออกไปเรียนข้างนอกล่ะคุณแพทริเซีย?’
และคำถามเ่าั้ก็ถูกถามซ้ำอยู่เป็เวลาเกือบสัปดาห์ ทั้งที่แพทตั้งใจจะไม่ตามใจไซม่อนมากขนาดนั้นด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ต้องเป็ฝ่ายที่โดนลากออกมานั่งอยู่ที่สวนั้แ่เช้าจนได้ นึกแล้วแพทก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ ดวงตากลมปรายไปมองเ้าสุนัขขนปุยตัวโตที่กำลังนอนงับลูกบอลอยู่ข้างไซม่อน พวงหางของมันส่ายไปมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นว่าเขาหันไปมอง
หมากับเ้าของเหมือนกันอย่างกับแกะ
หลังจากที่สรรพนามของเราทั้งคู่เปลี่ยนไปในวันนั้น แพทเองก็รู้สึกถึงกำแพงบางอย่างที่มันเคยถูกกั้นระหว่างเขากับไซม่อนนั้นพังทลายลงไปหมดแล้ว รวมไปถึงความรู้สึกอคติในใจที่เขาเคยมีมาั้แ่แรกก็ด้วย ในตอนนี้ความรู้สึกเ่าั้มันไม่ได้หลงเหลืออยู่แล้วสักนิด แต่ถูกกลับแทนที่ด้วยความสบายใจและเชื่อใจในตัวอีกฝ่ายขึ้นมาทั้งที่ไซม่อนยังไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ
อาจเป็เพราะความนุ่มนวลและอ่อนโยนที่เขาไม่เคยได้รับจากคนแปลกหน้า หรือเป็เพราะความห่วงใยที่มาจากแววตาคู่นั้นและการกระทำที่ซื่อตรง สิ่งที่ไซม่อนทำออกมาทุกอย่างมันไม่ได้ดูเป็การหลอกลวงหรือแสร้งให้ตายใจเลยสักนิด รวมไปถึงัับางอย่างที่เขามักจะรู้สึกได้เวลาอยู่กับไซม่อนนั่นอีก สัญชาตญาณแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยรู้สึกถึงมาก่อนเลยสักครั้งในชีวิต ความรู้สึกที่อยากถูกปกป้องทั้งที่เขาคอยบอกตัวเองอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาปกป้องตัวเองได้ แต่พอได้อยู่ใกล้อีกฝ่ายและรู้สึกขึ้นมา
การเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองมันไม่สมเหตุสมผลเลยด้วยซ้ำ
แต่พอเป็เื่ของเขากับไซม่อน
เขากลับเชื่อไปทั้งใจ
“คุณแพทริเซีย”
“หืม?” คนตัวเล็กหันกลับไปมองตามเสียงเรียกและพบว่าคนที่เคยตั้งใจอ่านหนังสือกำลังจดจ้องมาด้วยใบหน้าง้ำงอ
อะไรอีกล่ะนั่น?
“เราไม่อยากเรียนแล้ว”
ไซม่อนไม่ว่าเปล่า อีกฝ่ายปิดหนังสือเล่มใหญ่ลงทันทีที่เอ่ยประโยคนั้นจบ และนั่นก็ทำให้แพทริเซียขมวดคิ้วอย่างอัตโนมัติ ั้แ่เริ่มสอนไซม่อนมาจนเข้าเดือนที่สี่ ไม่มีครั้งไหนที่ไซม่อนจะพูดทำนองนี้เลยสักครั้ง เสียงถอนหายใจน้อย ๆ ของอัลฟ่าหนุ่มที่แสดงออกถึงความเบื่อหน่ายของเ้าตัวนั่นอีก
ทั้งที่วันนี้เขายังเริ่มสอนไปไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ
ทำไมถึงดูเบื่อได้ขนาดนั้น
“คุณเบื่อแล้วเหรอ?” โอเมก้าตัวขาวเอ่ยถามคนตรงหน้าอย่างใจเย็น
“เปล่า”
“เบื่อก็บอกได้ เราจะได้พาปฏิบัติแทน”
“เราแค่ไม่อยากเรียนแล้ว”
“คุณไซม่อน!”
อัลฟ่าหนุ่มทายาทตระกูลใหญ่ทิ้งตัวลงนอนกับพื้นหญ้าทันทีที่เอ่ยจบประโยค เล่นเอาคุณครูฝึกสอนอย่างแพทริเซียร้องออกมาด้วยความใและคว้าแขนคนที่อยู่ในเสื้อสีขาวให้ลุกขึ้นนั่งทันที เสียงบ่นโอดโอยจากไซม่อนทำแพทต้องส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ มีไม่กี่ครั้งหรอกที่ไซม่อนจะแสดงอาการเอาแต่ใจเหมือนเด็กแบบนี้ เพราะโดยปกติแล้วก็มักจะถูกแพทริเซียติเตือนให้นั่งตรงและรักษาบุคลิกภาพอยู่เสมอ
แต่ดูวันนี้สิ
มันเกิดอะไรขึ้นกับคุณชายควินท์เรลล่ะเนี่ย
“เราอยากนอน”
“คุณจะนอนตรงไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่ที่พื้นหญ้านี่”
“ทำไมจะไม่ได้ มันก็เย็นดีออก”
“คุณไซม่อน”
“เราเหนื่อย” เขาบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงเหน็ดเหนื่อย
จากที่ตั้งใจจะดุอีกฝ่ายในตอนแรก พอได้ยินเสียงบ่นกระปอดกระแปดแบบนั้นก็ทำแพทริเซียใจอ่อนเข้าอีกแล้ว ดวงตากลมจดจ้องไปยังใบหน้าหล่อเหลาของอัลฟ่าหนุ่มแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาน้อย ๆ ด้วยความสงสาร พักนี้ไซม่อนดูเหน็ดเหนื่อยมากกว่าเดือนที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด ดูจากตารางเรียนของอีกฝ่ายที่ยังคงถูกอัดแน่นและลากยาวไปถึงวันเสาร์ที่เคยเป็วันหยุดพักผ่อนของเ้าตัว ในตอนนี้ก็เหลือวันหยุดเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ขนาดเขาที่ไม่ได้สอนไซม่อนทุกวันยังรู้สึกว่าการทำงานในส่วนของเขามันเหนื่อยเลย แล้วการที่คน ๆ นึงจะถูกประเดประดังความรู้เข้าไปทั้งอาทิตย์แบบนั้น มันคงหนักมากกับเขาจริง ๆ
แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ
เขาเองก็ต้องสอนไซม่อนเหมือนกันนี่นา
และบทเรียนมากมายที่เขาได้เตรียมเอาไว้นั้นมันก็มีเยอะซะจนแพทริเซียก็แอบกุมขมับอยู่ทุกครั้งที่การเรียนการสอนของพวกเขาในบางวันไม่ได้เป็อย่างที่หวังเอาไว้ ยิ่งพักหลังที่เขากับไซม่อนเริ่มสนิทกันมากขึ้น บางครั้งก็ชวนกันเล่นสนุกกันซะดื้อ ๆ ทั้งที่เขาเองควรจะเป็คนหยุดความคิดเ่าั้ ไม่ใช่เป็คนเล่นตามน้ำไปกับอีกฝ่าย แต่จะทำยังไงได้ล่ะ คำพูดที่คอยออดอ้อนอย่างไม่รู้ตัวของไซม่อนมันทำให้แพททั้งรำคาญใจและแพ้ทางไปในเวลาเดียวกัน
สุดท้ายพวกเขาก็จบชั่วโมงการเรียนด้วยเสียงหัวเราะ
และรอยยิ้มที่ส่งหากันอยู่ตลอด
แพทริเซียลอบมองรอยยิ้มที่เขามักจะได้เห็นเมื่ออยู่กันแค่สองคนกับไซม่อน ตอนนี้เ้าของตายิ้มกำลังเล่นขว้างบอลอยู่กับเ้าขนปุยสีขาวอย่างแซมมี่อย่างอารมณ์ดี ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะดูเหน็ดเหนื่อยก็เถอะ แต่ทุกคนก็มักจะมีหนทางในการเยียวยาใจของตัวเอง และการเล่นกับแซมมี่ก็คงเป็อีกหนึ่งทางที่ทำให้ไซม่อนหายเหนื่อยได้เหมือนกัน
เสียงเห่าของแซมมี่ดังขึ้นมาแทนเสียงของเขาที่เคยเจื้อยแจ้วอยู่ร่วมชั่วโมง คนตัวเล็กขยับถอยหลังไปนั่งพิงหลังกับต้นไม้ใหญ่ ในตอนนี้แพททำเพียงแค่นั่งเงียบ ๆ ดูไซม่อนเล่นกับแซมมี่เท่านั้น จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่อยากยอมให้ไซม่อนเล่นสนุกในเวลาเรียนของเขาแบบนี้หรอก แต่ในเมื่อวันนี้ทั้งวันเป็วันของการสอนของเขา การที่ทำให้นักเรียนอย่างไซม่อนผ่อนคลายและสบายใจบ้างมันคงดีมากกว่าการที่จะกดให้อีกฝ่ายนั่งเรียนทั้งที่เขาไม่เต็มใจ
และถ้าหากต้องทำแบบนั้น เขาก็คงไม่สบายใจเหมือนกัน
สายลมเย็นที่คอยพัดผ่านมาปะทะใบหน้าทำแพทริเซียรู้สึกผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อยที่ถูกสะสมมาตลอดทั้งอาทิตย์ได้อย่างง่ายดาย แสงแดดที่ตกกระทบกับพื้นผิวน้ำทำเขาหวนนึกถึง่เวลาในฤดูร้อนที่มักจะใช้ร่วมกับครอบครัว หากเขาไม่ได้ใช้่เวลาเหล่านี้ในการพายเรือคายัคชมวิวรอบคอตตอนเทลหรือไปดูเทศกาลภาพยนตร์ ดูคอนเสิร์ตฤดูร้อนกลางเอดมันตัน มันจะเรียกว่าหน้าร้อนได้ยังไงกันล่ะ
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่แพทริเซียเอาแต่เหม่อมองสายน้ำที่ไหลไปและเอาแต่คิดถึง่ฤดูร้อนที่เขารัก แต่รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่หันไปเห็นใบหน้าของไซม่อนและแซมมี่ที่นั่งจ้องห่างกันไม่ถึงคืบนั่นแหละ โอเมก้าตัวเล็กสะดุ้งโหยงถอยกรูดจนแทบจะเซล้ม สายตาขี้สงสัยที่เหมือนกันทั้งเ้าของและสุนัขทำแพทหลุดขำออกมาแทบจะทันทีที่ตั้งสติได้
“อะไรคุณไซม่อน ทำไมมานั่งมองกันแบบนี้ล่ะ?”
“ก็คุณเหม่ออะไรอยู่ตั้งนาน บอลกลิ้งไปโดนเท้าสามสี่รอบก็ไม่รู้ตัว”
“ขอโทษที เราคิดอะไรเพลินไปหน่อย”
“มีเื่ให้คิดมากเหรอ?” เขาเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมน้ำเสียงนุ่มนวล
“เปล่าเลย”
“เล่าให้ฟังได้นะแพท”
“เราแค่นึกถึงฤดูร้อนปีที่ผ่านมาแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก”
“ฤดูร้อนปีที่ผ่านมาเหรอ?”
เขาไม่ว่าเปล่าแต่กลับจ้องมองมาด้วยแววตาลูกหมา และนั่นก็ทำแพทริเซียขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันที ทุกครั้งที่ไซม่อนมองกันแบบนี้ต้องมีอะไรให้เขาทำอยู่ตลอด ไหนจะเื่ซื้อขนม ให้เล่าการท่องเที่ยวคนเดียว หรือในตอนที่อ้อนขอให้มาเดินเล่นกับแซมมี่เป็เพื่อนอีก อัลฟ่าหนุ่มขยับขายาวชันขึ้นและนั่งกอดไว้ราวกับเด็ก ไร้ซึ่งคำร้องขอใด ๆ จากเขา มีเพียงสายตาที่ยังคงเป็ประกายส่งสัญญาณมาให้เพียงเท่านั้น
“อยากรู้อะไรคุณไซม่อน?”
“ปกติแล้ว.. คนข้างนอกเขาทำอะไรกันบ้างเหรอ หมายถึงใน่ฤดูร้อนน่ะ”
“จริง ๆ ่ฤดูร้อนก็มีกิจกรรมให้ทำเยอะเลยนะ ถ้าที่คอตตอนเทลก็จะมีตลาดนัดตอนกลางคืน มีปิกนิกทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ที่หุบเขากระต่าย ถ้าเป็ในตัวเมืองเอดมันตันก็จะมีเทศกาลเฉลิมฉลองฤดูร้อน มีฉายภาพยนตร์กลางแจ้ง มีเทศกาลดนตรี แล้วก็มีพายเรือคายัคด้วย”
“พายเรือคายัคเหรอ..”
“ใช่ ปกติเราจะไปกับคุณพ่อตลอดเลย ว่าแต่คุณไซม่อนเคยพายเรือคายัคไหม?”
“เคย เคยสิ..”
“ที่นี่เหรอ?”
“อื้ม กับคุณพ่อเหมือนกัน”
เสียงของเขาดูเศร้าลงทั้งที่รอยยิ้มบางยังปรากฏอยู่บนหน้า แววตาที่เคยเป็ประกายก็เปลี่ยนเป็เหม่อลอยทันทีที่พูดจบประโยค อาจจะเป็เพราะความทรงจำในอดีตที่ถูกดึงกลับมาจึงทำให้อัลฟ่าหนุ่มหงอยลงทันตาเห็น
“อยากเล่าไหม?” แพทริเซียเอื้อมมือไปแตะบนแขนของอีกคนอย่างเบามือ
“หมายถึงเื่ที่เคยทำกับคุณพ่อน่ะเหรอ?”
“อื้ม เราเคยเล่าอะไรให้คุณไซม่อนฟังตั้งเยอะ ถ้าหากมันเป็ความทรงจำดี ๆ ที่ควรจะรื้อฟื้นกลับมา เราก็อยากรับฟังนะ”
“มันดี.. ดีมากเลย”
“งั้นคุณไซม่อนช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหม?”
“ได้สิ”
แพทริเซียไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาปล่อยให้ไซม่อนเล่าเื่ราวในความทรงจำไปนานแค่ไหน แต่เขารู้แค่ว่าไซม่อนเป็ผู้เล่าที่ดีมากคนนึง มีไม่กี่คนนักหรอกที่จะทำให้เขาเหมือนได้เดินทางกลับไปเห็นภาพเหตุการณ์เ่าั้ด้วยทั้งที่แค่ใช้คำพูดบอกเล่าเท่านั้น แววตาที่เป็ประกายในตอนที่ได้บอกเล่าเื่ราวแห่งความสุขของเขานั้นมันช่างงดงามเหลือเกิน แววตานั้นชวนมองซะจนแพทริเซียเองอยากจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเก็บภาพตรงหน้าไว้ให้คนตรงหน้าดูเหลือเกิน
อยากให้เขารู้ว่าเวลาตัวเองในตอนที่มีความสุขนั้นเป็ยังไง
รอยยิ้มกว้างมากกว่าทุกครั้งที่แพทอยากให้มันคงอยู่ไปนานนาน
เื่ราวความทรงจำในวัยเด็กของไซม่อนนั้นมักจะมีคุณพ่อของเราอยู่ด้วยเสมอ เพียงแค่แพทได้ฟังก็สามารถรับรู้ถึงความรักและความอบอุ่นที่คุณพ่อของเขาได้มอบให้เขาได้อย่างดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขัดเกลาให้ไซม่อนเป็ไซม่อนมันคงไม่ใช่เพียงเพราะแค่เืเนื้อเชื้อไขอย่างที่ทุกคนพูดกันไว้ แต่เนื้อแท้ของไซม่อนที่เขากำลังทำความรู้จักอยู่นั้นถูกประกอบขึ้นด้วยความรักที่บริสุทธิ์ทั้งนั้น ทั้งการกระทำที่อ่อนโยน จิตใจที่ใสซื่อ ทุก ๆ อย่างนั้นมันเกิดเพราะความรักที่เขาได้รับจากคุณพ่อของเขาทั้งนั้น
เสียงนกยังคงร้องดังก้องอยู่ทั่วบริเวณทะเลสาบ สายลมเย็นยังคงพัดใบไม้ให้พลิ้วไหวราวกับมีชีวิต สีสันของดอกไม้ในสวนกว้างกำลังเติมแต่งให้ฤดูร้อนนี้มีสีสันมากขึ้นอย่างสมบูรณ์ แม้เวลาผ่านล่วงเลยไปเกือบสองชั่วโมงแล้วแต่ริมฝีปากของอัลฟ่าหนุ่มยังคงขยับเล่าเื่ราวมากมายในความทรงจำของเขาอยู่อย่างนั้น และโอเมก้าตัวขาวที่นั่งอยู่ข้างกันก็ไม่ได้ทำท่าทีเบื่อหน่ายสิ่งที่อีกฝ่ายบอกเล่าเลยสักนิด
“แล้วเราก็พายเรือคายัคครั้งแรกที่นี่ด้วย ถ้าเกิดเราพายจากตรงนี้ไปเรื่อย ๆ มันจะไปถึงตรงนั้นที่เราเคยไปนั่งกับเจซวันนั้น จำได้ไหม?” ไซม่อนพูดพลางชี้นิ้วไปตามริมทะเลสาบกว้าง
“จำได้สิ เพราะครั้งนั้นเราก็เดินเลียบแม่น้ำนี่ไปใช่ไหม?”
“ใช่ เก่งมากครับ”
ทั้งที่คำเอ่ยชมจากอีกฝ่ายก็เป็เพียงคำชมทั่วไป แต่ทำไมตอนนี้แพทริเซียถึงหน้าร้อนวูบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลแบบนี้ ฝ่ามือเล็กเลื่อนขึ้นลูบข้างคอของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทางแสร้งทำเป็มองตามที่อีกฝ่ายชี้ราวกับไม่ได้รู้สึกอะไร
“ถ้าเกิดคุณแพทอยากพายเรือคายัคก็บอกเราได้นะ”
“คุณยังมีเรืออยู่อีกเหรอ?”
“ไม่แน่ใจว่ามีหรือเปล่า แต่ถ้าไม่มีก็ซื้อใหม่แค่นั้น”
คนรวยนี่นะ
อยากทำอะไรก็ไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังสักนิด
โอเมก้าตัวเล็กพยักหน้ารับแทนคำตอบ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องตอบอะไรกลับไปกับประโยคที่พูดออกมาเหมือนกับเรือนั้นราคาเท่าขนม แต่ถ้าหากตัวเขานั้นร่ำรวยเหมือนกับบ้านควินท์เรล ตัวเขาเองก็คงจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับประโยคอย่างนั้นสักเท่าไหร่
แล้วจู่ ๆ อัลฟ่าหนุ่มที่เพิ่งเล่าเื่ราวด้วยความอารมณ์ดีก็เหมือนจะพลังงานหมดลงไปยังไงอย่างนั้น สายตาคมของเขาจ้องมองใบหน้าสลับกับตักของแพทริเซียด้วยแววตาปรือ และแพทเองก็ไม่ได้เข้าใจการกระทำเ่าั้อยู่ดี
ง่วงเหรอ หรือว่า กำลังสำรวจอะไรอยู่?
“คุณแพท”
“ว่าไง?”
“เรามีอีกเื่ที่ยังไม่ได้เล่าให้ฟัง”
“อื้ม เล่ามาสิ” ใบหน้าหวานพยักหน้าส่งไปให้พร้อมสีหน้าที่พร้อมจะรับฟัง
อัลฟ่าหนุ่มขยับเปลี่ยนท่าทางมานั่งขัดสมาธิพร้อมกับจ้องหน้าเขาเอาไว้ สองมือใหญ่ค้ำยันที่พื้นหญ้าตรงหน้าไว้เหมือนกับเ้าสุนัขขนปุยสีขาวข้างตัวไม่มีผิด ดวงตากลมของไซม่อนและแซมมี่ที่จ้องมองมาที่เขาทำโอเมก้าตัวขาวหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ก็จะไม่ให้เขาเอ็นดูได้ยังไงกันล่ะ ในเมื่อตอนนี้ตรงหน้าเขาเหมือนมีสุนัขตัวใหญ่สองตัวกำลังจ้องอยู่ยังไงอย่างนั้น ไซม่อนกับแซมมี่เหมือนกันอย่างกับแกะจนเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริง ๆ แล้วเป็คนที่เหมือนสุนัข หรือ สุนัขเหมือนกับคนกันแน่
“ตอนเด็ก ๆ คุณพ่อชอบพาเรามานั่งที่สวนแบบนี้แหละ แล้วก็ชอบเล่าเื่ที่คุณพ่อสนใจใน่นั้นให้ฟัง ตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่าคุณพ่อเล่าเื่อะไรแต่รู้แค่ว่ามันสนุกมาก”
“ก็ยังเด็กอยู่น่ะสิ”
“แล้วคุณพ่อก็จะให้เราเล่าเื่ที่เราเจอมาทั้งสัปดาห์นั้นให้คุณพ่อฟัง”
“ดีมากเลย คุณพ่อคุณคงจะเป็ผู้ฟังที่ดีมาก ๆ”
“เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณพ่อเป็ผู้ฟังที่ดีไหม.. เพราะทั้งชีวิตของเราก็มีแค่คุณพ่อกับเจซที่คอยรับฟัง”
“..”
“แล้วตอนนี้ก็มีคุณแพทด้วยอีกหนึ่งคน” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ด้วยความยินดีเลย”
“ขอบคุณนะครับ”
“คุณไซม่อนก็รับฟังเรามาตั้งเยอะแยะ ให้เรารับฟังคุณไซม่อนบ้างจะเป็อะไรกันล่ะ”
“เราก็อยากขอบคุณอยู่ดี”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาอย่างนุ่มนวล รอยยิ้มกว้างของเขายังไม่จางหายไปจากใบหน้า และนั่นก็โอเมก้าตัวเล็กเผยรอยยิ้มสวยออกมาอีกครั้ง แสงแดดที่ว่าอุ่นร้อนในตอนนี้ ยังไม่สู้กับคำพูดอบอุ่นจากคนตรงหน้าที่ทำให้ฝ่ามือทั้งสองข้างกำลังชื้นเหงื่อได้เลยสักนิด
“คุณแพท”
“หือ?”
“เราขอนอนตักหน่อยได้ไหม?”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างทันทีที่ได้ยินคำร้องขอจากอีกฝ่าย และดูเหมือนว่าอัลฟ่าหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกเฉย ๆ กับคำขอร้องของตัวเองเหมือนกัน ไซม่อนแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเองอย่างประหม่าก่อนจะเอ่ยคำแก้ตัวยาวเหยียดออกมา
“คือเราแค่ชินกับตอนที่นอนตักคุณพ่อแล้วเล่าเื่นั่นนี่ให้คุณพ่อฟังแค่นั้น พ.. พอได้มาเล่าให้คุณแพทฟังวันนี้มันก็รู้สึกคิดไปถึงความรู้สึกตอนนั้นเท่านั้นเอง”
“..”
“ถ้าหากคุณแพทไม่อนุญาต เราไม่นอนก็ได้นะครับ”
ดูเขาพูดเข้าสิ
อย่างกับลูกหมาที่กำลังหูลู่หางตกเลย
จะให้แพทว่ายังไงดีล่ะ ก็ในเมื่อนี่เป็ครั้งแรกในชีวิตของเขาเลยที่มีอัลฟ่ามาขอนอนตักแบบนี้ แล้วเมื่อได้มองแววตาใสซื่อที่ส่งมาเป็เชิงอ้อนวอนแบบนั้น เขาก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ แต่การกระทำแบบนี้ใครเขาจะมาขอกันซึ่งหน้าแบบนี้ล่ะ ถ้าในบทละครที่แพทเคยซ้อมมาตลอดการเรียนของเขา ไอ้พวกบทแบบนี้ก็มักจะไม่มีการเอ่ยขอทั้งนั้นแหละ
น่าอายจะตาย
แต่พอคิดได้ว่าคนตรงหน้าคือไซม่อน ควินท์เรล คนที่แทบจะไม่เคยได้เจอใครก็ทำให้เข้าใจขึ้นมาได้นิดหน่อย จริง ๆ แล้วอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้เพราะเหตุผลที่ให้มามันก็ดูสมเหตุสมผลในแบบของไซม่อนดี แต่ใจเ้ากรรมของเขานี่สิที่ดันเต้นแรงตอนที่ได้รับคำร้องขอแบบนั้นมา
“คุณแพท”
“เอ่อ คือ..”
“เราทำคุณแพทอึดอัดหรือเปล่า?” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างแ่เบา
“ไม่ใช่นะ”
และสีหน้าของเขาในตอนนี้ก็จ๋อยลงซะจนแพทกลัวว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้ออกมา แพทริเซียนึกอยากจะดุตัวเองซ้ำ ๆ ที่มักจะมองไซม่อนเหมือนกับเด็กเล็ก ทั้งที่อีกฝ่ายก็โตแล้วแถมยังอายุเท่ากันกับเขาอีกด้วย ถึงจะอ่อนกว่าเขาเพียงแค่เดือนเดียวก็เถอะ ยังไงอายุของเราทั้งสองคนก็เท่ากันอยู่ดี เขาเองก็ควรจะหยุดสงสารและเอ็นดูไซม่อนเกินกว่าเหตุได้แล้ว
“คุณไซม่อน”
“อื้ม”
ควรจะมองเขาโตเป็ผู้ใหญ่และไม่ตามใจง่าย ๆ อีก
“คือ”
“เราขอโทษนะ”
“มานอนสิ เราอนุญาต”
ให้ตายเถอะ
พระเ้าโปรดทรงช่วยลูกด้วย
และสุดท้ายก็เป็แพทที่ต้องยอมขยับท่านั่งให้อีกฝ่ายได้ทิ้งศีรษะลงมานอนบนหน้าตักของเขา
สาบานต่อพระเ้า ั้แ่เกิดมาแพทริเซียไม่เคยรู้สึกว่ามีครั้งไหนที่ตัวเองนั่งเกร็งจนตัวแข็งเป็หินขนาดนี้มาก่อน ทั้งที่พยายามดึงิญญานักแสดงของตัวเองมาแล้วแต่ทำไมสุดท้ายทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันถึงทำให้เขาเกร็งจนแทบไม่กล้าขยับไปไหนแบบนี้
ศีรษะของไซม่อนที่อยู่บนตักนิ่มยังคงนอนนิ่งไม่ขยับไปไหน ดูจากท่าทางแล้วก็คงไม่ใช่แค่แพทคนเดียวหรอกที่กำลังเกร็ง คนที่กำลังนอนตักของโอเมก้าตัวขาวอยู่ก็กำลังประหม่าอยู่น้อย ๆ เหมือนกัน
แต่ความสบายใจกับสวนทางกับการแสดงออกของร่างกายทั้งหมด
เวลาผ่านไปพักใหญ่ แพทริเซียก็ยังให้อีกฝ่ายนอนอยู่บนตักตามคำร้องขอและปล่อยให้เขาได้ถ่ายทอดเื่ราวตามที่้า มีหลายครั้งที่มือของเขาทั้งสองคนแตะโดนกันหรือจังหวะที่ได้สบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่ััเ่าั้ก็ทำให้แพทริเซียปั่นป่วนในท้องขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ
- Simon’s theory -
“จริง ๆ แล้วน้ำตรงนี้เหมาะกับการพายเรือนะ แต่เราไม่ควรไปอีกฝั่งเท่าไหร่น่ะ”
“ถ้าไปอีกฝั่งเราก็คงจะไม่ได้กลับมาที่คฤหาสน์อีกแล้วล่ะคุณไซม่อน”
“นั่นมันอาจจะดีกับเราก็ได้นะ”
เสียงหัวเราะของไซม่อนดังขึ้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีให้เ้าของตักที่เขากำลังนอนอยู่ ประโยคหยอกล้อที่แพทริเซียก็อยากจะหัวเราะตามไปด้วยแต่พอได้คิดว่าถ้ามีคนของบ้านควินท์เรลมาฟัง เขาทั้งคู่คงจะหัวเราะไม่ออกแน่ ๆ แพทจึงรีบตัดสินใจเมินประโยคนั้นทันที
“แล้วถ้าเราพายไปตรงโน้นอีกล่ะ?”
“ก็จะไปทางบ้านเล็ก”
“บ้านเล็ก?”
“อื้ม บ้านเล็ก ที่เราเคยเล่าว่าเราชอบปั่นจักรยานไปที่นั่นบ่อย ๆ ไง”
“แล้วทำไมในคฤหาสน์ถึงมีบ้-”
“คุณไซม่อนคะ คุณมอร์แกนคะ ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้วค่ะ” เสียงของสาวใช้ที่พูดแทรกขึ้นมาทำสองคนที่กำลังพูดคุยอย่างอารมณ์ดีผละออกจากกันทันที ไซม่อนที่กำลังนอนอยู่ก็ต้องรีบลุกขึ้นมานั่งด้วยความใ
เสียงกระแอมในลำคอของคุณครูจำเป็ดังขึ้นหลังจากที่ตัวเขารีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอย่างร้อนรน และการกระทำเ่าั้ก็เรียกเสียงหัวเราะน้อย ๆ จากคุณชายควินท์เรลได้อย่างง่ายดาย
แพทริเซียใช้มือไล่ปัดเศษฝุ่นที่อยู่ตามเสื้อผ้าของตัวเองออกพร้อมกับส่งยิ้มแห้งให้สาวใช้สองคนตรงหน้า ทั้งที่เขายังไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยซ้ำแต่ตอนนี้กลับรู้สึกร้อนรนเหมือนคนทำผิดมายังไงอย่างนั้น แล้วยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะจากคนที่ยังคงนั่งอยู่กับพื้นก็ยิ่งทำให้เขาทั้งอายและหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“หัวเราะอะไรคุณไซม่อน”
“อะไร เราหัวเราะไม่ได้เหรอ?”
“ลุกได้แล้ว ไปกินข้าวแล้วจะได้มาเรียนต่อ”
“ดึงหน่อยสิ” เขาไม่ว่าเปล่าแต่กลับยื่นมือมาให้แพทพร้อมทั้งส่งสายตาอ้อนวอนอีกด้วย
และยังไม่ทันที่แพทริเซียจะได้ตอบอะไรกลับไป ความอุ่นร้อนของฝ่ามือใหญ่ก็เข้ามากอบกุมเข้าที่มือเขาพร้อมออกแรงดึงจนโอเมก้าตัวขาวแทบเซไปตามแรง แพทไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาปล่อยให้อีกฝ่ายจับมือดึงเขาเดินตามหลังไปั้แ่ตอนไหน
แต่ภาพสุดท้ายที่แพทริเซียได้เห็นก็คือแผ่นหลังกว้างของไซม่อนที่อยู่ตรงหน้า
และความอบอุ่นจากฝ่ามือนั้นก็ทำให้เขารู้สึกถึงผีเสื้อนับร้อยตัวที่กำลังบินวนอยู่ในท้องอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อนสักครั้งในชีวิต
- Simon’s theory -