“ปอเอ๋อร์ ฉัน...” เซี่ยเจิงยังอยากที่จะพูดอะไรขึ้นมาสักหน่อย แต่กลับถูกชวีเสี่ยวปอรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที “ฉลองเถอะนะ” ชวีเสี่ยวปอพุ่งตัวเข้าไปหาเซี่ยเจิงอีกครั้ง ถูไถเขาไปมาอย่างรู้สึกไม่สบายใจ พร้อมทั้งพูดขึ้นเสียงเบาว่า : “ถึงยังไงก็เป็ครั้งแรกที่ได้ฉลองวันเกิดกับนาย หลังจากที่พวกเราสองคนคบกันเลยนะ”
การออดอ้อนเช่นนี้ชวีเสี่ยวปอเขาไม่ค่อยถนัดสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็การก่อเื่เอะอะโวยวายค่อยว่าไปอย่าง แต่ถึงยังไงไม่ว่าการกระทำเมื่อครู่นี้จะเป็อย่างไรในสายตาเซี่ยเจิง จุดประสงค์ของชวีเสี่ยวปอก็ถือว่าบรรลุผลแล้ว
“ก็ได้ๆ ” ท่าทางของเซี่ยเจิงดูเหมือนว่าจะไม่สามารถรับมือกับชวีเสี่ยวปอได้เลย “ไม่ต้องเรียกคนอื่นมานะ แค่เราสองคนก็พอ”
“ฟังนายทั้งหมดเลย” ชวีเสี่ยวปอท่ามือโอเคขึ้นมา พลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “แฟนคนนี้จะทำให้นายได้ฉลองวันเกิดที่น่าจดจำที่สุดอย่างแน่นอน”
“นายนี่เวอร์จริงๆ เลย !” เซี่ยเจิงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปดีดหน้าผากของเขาไปทีหนึ่ง พร้อมทั้งหัวเราะขึ้นมาด้วยแล้ว
“จริงสิ” ชวีเสี่ยวปอถามขึ้นมา “พรุ่งนี้นายไปโรงเรียนไหม? แต่พักอีกสักวันก็ดีนะ รอให้หายดีก่อนแล้วค่อยไป? ”
“ไม่เป็ไร” เซี่ยเจิงลูบจมูกอย่างไม่เป็ตัวเองเท่าไหร่นัก “ถ้าไม่ใช่เพราะจะหลอก...ให้นายมาหา วันนี้ฉันก็ไปโรงเรียนแล้วละ”
“นายพูดให้มันชัดเจนหน่อยสิ” ชวีเสี่ยวปอเงยหน้าขึ้น อีกทั้งสีหน้ายังเปลี่ยนกลายเป็ดุร้ายขึ้นมาด้วย แต่เป็เพราะว่ามันไม่ได้ส่งออกมาใจจริงของเขา ดังนั้นท่าทางกัดฟันจึงไม่ได้ดูน่ากลัวเท่าไหร่นัก
“ฉันผิดไปแล้ว” เห็นได้ยากที่เซี่ยเจิงจะทำท่าทางขี้ขลาดเช่นนี้ออกมาในทันที เขาจับมือของชวีเสี่ยวปอขึ้นมา และกดไปบนฝ่ามือเขาอย่างเบาแรงหนึ่งที “แต่ถ้าไม่พูดแบบนี้ นายก็คงจะไม่มา”
“ก็จริง” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “บางทีถ้าช้าไปอีกสองวัน ฉันอาจจะคิดขึ้นมาก็ได้ว่าจะบอกเลิกยังไงถึงดูเท่ขึ้นมาหน่อย”
หลังจากสิ้นเสียงพูดลง ชวีเสี่ยวปอเองก็อดไม่ได้ที่จะใขึ้นมา ทำไมถึงได้พูดคำนั้นออกมาอย่างง่ายดายขนาดนี้นะ ถึงแม้ว่าจะแค่พลั้งปากพูดออกไป แต่เขาก็ยังรู้สึกค่อนข้างอ่อนไหวพอสมควร ทั้งยังไม่รู้ว่าเซี่ยเจิงจะเก็บไปใส่ใจด้วยหรือเปล่า
“นี่นายเคยคิดเื่นี้จริงๆ เหรอเนี่ย” ในขณะที่พูดเซี่ยเจิงก็ขมวดคิ้วขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป อีกทั้งท่าทางของเขายังเปลี่ยนเป็เ็าขึ้นมาแล้วด้วย
ให้ตายสิ มีปัญหาแล้ว... ความรู้สึกแรกของชวีเสี่ยวปอ
“เปล่าๆ เปล่าๆ เปล่า—— ” ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองติดอ่างหรือประหม่ากันแน่ถึงได้พ่นออกมายาวขนาดนี้ จากนั้นชวีเสี่ยวปอจึงรีบอธิบายทันที “ฉันก็แค่เสียสติไปหน่อย นายเข้าใจไหม? แต่ไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ นะ สมมติว่า...บ้าเอ๊ย ไม่ใช่สมมติสิ จะพูดยังไงกับนายดีเนี่ย”
ยิ่งกังวลก็ยิ่งสับสนวุ่นวาย ยิ่งสับสนวุ่นวายก็ยิ่งร้อนใจ
สุดท้ายแล้วชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกมานั้นล้วนแต่เป็คำพูดไร้สาระทั้งหมด แม้แต่เขายังไม่สามารถโน้มน้าวตัวเองได้เลย นับประสาอะไรที่จะทำให้เซี่ยเจิงเชื่อได้
จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงพ่นหัวเราะออกมา
ชวีเสี่ยวปอ : “ ? ”
“นายหัวเราะอะไรเนี่ย !” ชวีเสี่ยวปอกระวนกระวายจนเหงื่อแตกไปทั้งศีรษะ เขาคิดว่าเพิ่งจะคืนดีกับเซี่ยเจิงได้ไม่ถึงสองชั่วโมงเลย คำพูดไร้สาระของตัวเองก็ยังเข้ามาผสมปนเปจนทำให้เื่ยุ่งวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง แต่เซี่ยเจิงกลับกำลังหัวเราะอยู่งั้นเหรอ?
เดี๋ยวนะ เซี่ยเจิง หัวเราะ?
“นายไม่โกรธเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอมองเขาด้วยความงุนงง
“ฉันไม่ได้บอกว่าฉันโกรธสักหน่อย” เซี่ยเจิงยักไหล่ ความเ็าบนใบหน้าเมื่อครู่นี้หายไปจนไร้ร่องรอย แต่กลับถูกแทนที่ด้วยความสุขที่ไม่อาจปกปิดได้ “ดูท่าแล้วฉันจะแสดงเก่งเหมือนกันนะเนี่ย? ”
“เก่งบ้านนายสิ !” ถึงแม้ว่าปากจะพูดเช่นนั้น แต่หัวใจที่ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้วนั้นเป็ความรู้สึกที่แท้จริง หลังจากอาการตื่นตระหนกของชวีเสี่ยวปอสงบลงไปในที่สุด เขาจึงดึงมือให้หลุดออกจากการเกาะกุมของเซี่ยเจิง แล้วอดไม่ได้ที่จะต่อยเข้าไปที่ไหล่ของเซี่ยเจิงหนึ่งที “นายจะทำให้ฉันใตายเลยใช่ไหม”
เซี่ยเจิงรับหมัดนั้นมาเต็มๆ ไม่ได้หลบหลีกเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังถอนหายใจออกมาอีกครั้ง : “วันหลังห้ามพูดคำนั้นแล้วนะ”
“อืม” ชวีเสี่ยวปอตอบอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเป็คำสั้นๆ ที่ได้ใจความ หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็พูดอย่างหนักแน่นขึ้นมาอีกครั้ง : “เราสองคนไม่ต้องพูดถึงมันเลย โอเคไหม? ”
“ต้องเกี่ยวก้อยสัญญาอะไรแบบนั้นด้วยไหม” เซี่ยเจิงมองชวีเสี่ยวปอที่กำลังเชิดจมูกรั้นขึ้นมา พร้อมด้วยท่าทางอันมุ่งมั่นแน่วแน่ จึงอยากแกล้งเขาเป็พิเศษ เซี่ยเจิงอดไม่ได้ที่จะบีบขยำตัวชวีเสี่ยวปอไปรอบหนึ่ง จากนั้นจึงพูดต่อไปว่า : “เกี่ยวก้อยประทับตรา ร้อยปีไม่เปลี่ยนแปลงแบบนั้นอะ”
“ใครเปลี่ยนคนนั้นเป็ไอ้สารเลว” สิ่งนี้ได้ผลกับชวีเสี่ยวปอจริงๆ เขายื่นนิ้วก้อยออกไปทางเซี่ยเจิง “มาสิ เกี่ยวก้อยกัน”
นิ้วก้อยของทั้งคู่พันเกี่ยวเอาไว้ด้วยกัน สุดท้ายจึงยื่นนิ้วโป้งออกมาแตะกันหนึ่งครั้ง
หลังจากที่การกระทำนี้จบลง ทั้งสองคนก็หัวเราะออกมายกใหญ่อย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ รู้สึกว่าพวกเขานี่ติงต๊องใช้ได้เลย
เมื่อออกจากห้องครัวมา ทั้งสองคนก็กลับเข้าไปคุยกันในห้องนอนของเซี่ยเจิงอยู่พักหนึ่ง เวลาผ่านไปนานพอสมควร ชวีเสี่ยวปอจึงเตรียมตัวกลับบ้านแล้ว
“ฉันไปส่ง” เซี่ยเจิงคว้าเสื้อคลุม พร้อมทั้งลุกขึ้นยืน
“ไม่ต้อง” ชวีเสี่ยวปอยืนขว้างเขาเอาที่หน้าประตู “นอนนิ่งๆ บนเตียงไปเถอะ ข้างนอกมันหนาว”
“งั้นฉันไปส่งนายที่หน้าปากซอยก็ได้” เซี่ยเจิงยืนกรานอย่างดื้อรั้น “ไปกัน เดี๋ยวพอเห็นนายขึ้นรถฉันจะวิ่งกลับเข้าบ้านเลย แค่สามนาทีเอง”
ทั้งสองคนเพิ่งจะเดินเข้ามาในซอยได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาภายใต้ความมืด ชวีเสี่ยวปอจึงหยิบขึ้นมาจากในกระเป๋า ก่อนที่จะเห็นว่าเป็สายวิดีโอคอลจากซือจวิ้น
“ปอเอ๋อร์ !” ซือจวิ้นใช้จมูกชี้ไปยังกล้อง พร้อมทั้งะโขึ้นมาเสียงดังลั่ง จากนั้นก็รีบพูดต่อไปว่า : “ให้ตายเถอะ ทำไมทางนั้นของนายถึงได้มืดขนาดนี้ !”
“ไม่มีไฟไง” ชวีเสี่ยวปออธิบาย “มีอะไร? ”
“ฉันโทรมาดูนายหน่อย” ซือจวิ้นเปลี่ยนท่าทางเป็นอนหงาย ยกโทรศัพท์ขึ้นมาสูงมาก จึงทำให้ใบหน้าไม่ใหญ่เต็มจอแล้ว “จะถึงบ้านแล้วเหรอ? ทะเลาะกับเซี่ยเจิงหรือเปล่า? นายสองคนเป็ยังไงกันบ้าง? ”
โห สามคำถามรวด
ในขณะนั้นเซี่ยเจิงยืนอยู่ด้านข้างพลางหยิบบุหรี่ออกมาจุด ในความมืดเช่นนี้ชวีเสี่ยวปอมองเห็นสีหน้าเขาได้ไม่ชัดเท่าไหร่นัก แต่เขารู้สึกว่า เซี่ยเจิงคงน่าจะกำลังกลั้นขำอยู่
“พูดสิๆ พูดสิๆ ปอเอ๋อร์ทำไมนายถึงไม่พูดล่ะ? หรือว่านายต่อยกับเซี่ยเจิงขึ้นมาจริงๆ แล้ว? ไม่มั้งปอเอ๋อร์ นายวู่วามเกินไปแล้วนะ แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้ นายสองคนยังต้องเป็เพื่อนร่วมโต๊ะกันอีกตั้งปีครึ่ง” ชวีเสี่ยวปอไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย ในตอนนี้ซือจวิ้นที่อยู่ปลายสายกลับเริ่มแสดงละครฉากใหญ่ขึ้นมาในหัวของเขาเป็ที่เรียบร้อยแล้ว “ปอเอ๋อร์ นายถูกต่อยจนหน้ายับเลยใช่รึเปล่า? นายเดินไปตรงที่ที่มีแสงหน่อยได้ไหม? ตอนนี้นายอยู่ไหน ให้ฉันไปรับดีกว่านะ”
ในที่สุด เซี่ยเจิงก็ทนไม่ได้ไหวอีกต่อไป ขยับเข้ามาในกล้อง พร้อมทั้งทักทายซือจวิ้นออกไป : “ไฮ”
ถึงแม้ว่าในซอยจะไม่มีไฟ แต่เมื่อภาพในหน้าจอมีใครเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน ซือจวิ้นเองก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
“เขาปกติดีทุกอย่าง” เซี่ยเจิงพ่นควันบุหรี่ออกมา พลางยกมืออีกข้างขึ้นมาโอบไหล่ของชวีเสี่ยวปอไว้ แสดงความสนิทสนมของเขาทั้งคู่ผ่านจอโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายเห็นอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด “ไม่ได้ทะเลาะกัน ไม่ได้ต่อยกัน แล้วก็ไม่ได้เลิกกันด้วย”
“อ๋อ ฮ่า ฮ่า” ซือจวิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ ออกมา “เซี่ยเจิง ยังเป็ไข้อยู่ไหม? ”
“หายแล้ว” เซี่ยเจิงหยิบโทรศัพท์จากมือของชวีเสี่ยวปอมาถือไว้ พร้อมทั้งขยับเข้ามาใกล้กับใบหน้าของตัวเอง “แล้วก็พรุ่งนี้จะไปโรงเรียนแล้วด้วย”
“อ๋อ ถ้างั้นก็ดีใจด้วยนะ เอ๊ะ ไม่ใช่สิ คือว่า เซี่ยเจิง นายเอาโทรศัพท์คืนให้ปอเอ๋อร์หน่อยได้ไหม? ฉันมีอะไรจะพูดกับเขาหน่อย”
ชวีเสี่ยวปอหัวเราะจนสั่นไปทั้งตัว เขารับโทรศัพท์มาพลางถามไปว่า : “อะไรอีก? ”
เสียงคร่ำครวญของซือจวิ้นได้ยินไปทั่วทั้งซอย
“ปอเอ๋อร์นายนี่มันเลวจริงๆ ! ! !”