เพราะคำพูดเอาใจจุนห่าวของของหานรุ่ยประโยคนั้น ทำให้จุนห่าวเปรียบเสมือนฟ้าหลังฝน อารมณ์ดียิ่งนัก นั่งไขว่ห้างมองดูกลุ่มของอู๋โม่วหานที่อยู่ตรงข้ามพวกเขา อย่างไม่ได้จงเกลียดจงชังขนาดนั้นแล้ว เขายังเป็ฝ่ายเริ่มพูดคุยกับอู๋โม่วหาน
“คุณชายอู๋ เราให้ทางท่านแล้ว เหตุใดท่านถึงไม่พาคนของท่านผ่านไปล่ะ เหตุใดยังนั่งพักอยู่ตรงนี้ ข้าจำได้ว่าพวกท่านเพิ่งจะพักผ่อนมามิใช่หรือ? เรี่ยวแรงของคุณชายอู๋คงจะไม่น้อยนิดถึงเพียงนี้” จุนห่าวกลืนเนื้อไก่เข้าไปในปาก พูดอย่างยิ้มๆ
หานรุ่ย “......” แอบคิดลับๆ คำพูดนี้ของจุนห่าว จะให้คนเขาตอบยังไงล่ะ บัดนี้เขามิใช่คนเ็าอีกต่อไป ตอนที่อู๋โม่วหานเห็นเขาเป็ครั้งแรก รับรู้ถึงความรักในสายตาของเขา แต่ยามนี้เขามีจุนห่าวแล้ว ในสายตาใส่คนอื่นลงไปมิได้อีก กลับมาคิดดู ต่อให้ไม่มีจุนห่าว หานรุ่ยก็คงไม่ชอบอู๋โม่วหานอยู่ดี เขาเกิดมาพร้อมความอารมณ์ที่เ็า แต่เพราะจุนห่าวปลุกความรู้สึกและความกระตือรือร้นทั้งหมดของเขา ทำให้เขาเข้าใจว่าความรักคืออะไร หากจุนห่าวไม่ปรากฏตัว เขาคงไม่รู้ว่าเขามีความรักได้หรือไม่ แต่เขารู้ว่า หลังจากผ่านความรู้สึกที่ถูกทรยศมาสองครา ความเ็าของเขาที่มีมาแต่เดิม ยิ่งเ็ามากขึ้น จนกว่ามันจะหายไป
จุนห่าวมีจิตใจเป็ปรปักษ์ต่ออู๋โม่วหาน หานรุ่ยสังเกตได้ ดังนั้น หากไม่มีเื่อันใด เขาก็จะไม่เป็ฝ่ายเริ่มพูดคุยกับอู๋โม่วหาน หนึ่งคือเพื่อหลีกเลี่ยงความเคลือบแคลงใจ สองคือเพื่อให้จุนห่าวสบายใจ นี่คือคุณสมบัติของคู่รักที่ควรมีและควรกระทำต่อคู่ของเขา
อู๋โม่วหาน “.....” คิดอย่างลับๆ จะพูดคุยได้ยังไง เขาพูดอะไรก็ผิดไปหมด จุนห่าวมีจิตใจที่เป็ปรปักษ์อยู่แล้ว
อู๋โม่วหานยิ้มและพูดว่า “เวลานี้ข้ามีอนาคตที่สดใส มีความมั่งคั่งมากมาย สุขภาพแข็งแรง และไม่มีโรคภัยซ่อนเร้น ดังนั้นข้าจึงไม่รีบร้อน อีกอย่าง ข้ายังคงมีความฝันที่แสนห่างไกล และแรงบันดาลใจที่ยังไม่บรรลุผล”
พูดจบ อู๋โม่วหานก็จ้องมองหานรุ่ย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเสน่หา เขาหยุดครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่คลุมเครือว่า “ยกตัวอย่างเช่น ข้ายังไม่พบเนื้อคู่ที่ปรีชาสามารถอย่างคุณชายหานเลย?” หลังจากพูดจบ พลันชะงักชั่วครู่ อู๋โม่วหานมองหานรุ่ยด้วยรอยยิ้มและพูดต่อว่า “ถือว่านายน้อยจุนได้รับพรที่ดี ถึงได้ครองคู่กับคุณชายหาน แม้แต่ข้าก็ยังอิจฉา”
มองดวงตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ลึกซึ้งของอู๋โม่วหาน พร้อมคำพูดที่แสนอบอุ่น ความไม่พอใจในสายตาของจุนห่าวแวบออกมา เขากล่าวกับอู๋โม่วหานด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าว่า “คุณชายอู๋อิจฉาไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าเกิดมาพร้อมกับโชคดี ที่ต้องตาต้องใจเสี่ยวรุ่ยของข้า ทำให้เสี่ยวรุ่ยรักข้าอย่างถวายชีวิต”
จุนห่าวหยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดกับอู๋โม่วหานด้วยเจตนาลึกๆ ว่า “ข้าขอแนะนำคุณชายอู๋ อย่ายึดติดจนเกินไป มิใช่ว่าท่านจะหนีไม่ได้ และมิใช่ว่าถึงท่านอยากจะแย่ง ก็จะแย่งมาได้ การหมกมุ่นอยู่กับคนหรือสิ่งที่ท่านคว้ามาไม่ได้ ย่อมทำให้ท่านบ้าคลั่ง”
มองสีหน้าแปรเปลี่ยนที่ไม่น่ามองของอู๋โม่วหาน จุนห่าวคิดในใจ ในที่สุด เขาก็สามารถทำให้คนๆ นี้เลิกแสร้งยิ้มได้แล้ว เห็นกันอยู่ว่าไม่อยากยิ้ม ยังยิ้มออกมาได้ ทำไมต้องทำขนาดนี้
จุนห่าวกล่าวต่อไปว่า “คุณชายอู๋ ข้าขอเตือนท่านด้วยความหวังดี ท่านอย่าเดือดเป็ฟืนเป็ไฟ ท่านพูดเองว่าเสี่ยวรุ่ยของข้าปรีชาสามารถยิ่งนัก ถ้าเช่นนั้น คู่ครองที่ปรีชาสามารถอย่างเสี่ยวรุ่ยของข้าคงหามิได้ง่าย คุณชายอู๋ควรลดมาตรฐานโดยเร็วที่สุด หากไม่ลด ข้าเกรงว่านายน้อยอู๋จะครองโสดไปตลอดชีวิต ถึงครานั้นคงส่งผลกระทบต่อคนรุ่นหลัง สำหรับวิธีพูดมันอาจแตกต่างจากวิธีที่คุณชายอู๋เข้าใจ ถนนสายนี้มิใช่ถนนสายอื่น ที่ข้าบอกว่าถนนสายนี้ก็คือความหมายของการเดินไปตามถนนสายนี้ คนอย่างคุณชายอู๋ที่ใช้สมองอยู่ตลอดทั้งวัน จึงคิดเล็กคิดน้อยได้ง่าย ไม่เหมือนนักรบอย่างข้า ที่พูดอะไรตรงๆ” พูดจบก็หัวเราะขึ้นมา
แม้ว่าอู๋โม่วหานจะได้รับการปลูกฝังมาอย่างดี ก็ยังถูกจุนห่าวทำให้โกรธมากจนใบหน้าเป็เส้นสีดำ คิดในใจ จุนห่าวก็แค่ใช้คำพูดทำตนให้ดูเก่งกาจ ยังบอกว่าตัวเองเป็นักรบ ช่างไร้ยางอายจริงๆ อู๋โม่วหานพูดอย่างขบฟันกรามว่า “ข้าเข้าใจคำหมายของคุณชายจุน และขอบคุณคำแนะนำของคุณชายจุน ข้าจะจำให้ขึ้นใจ จะไม่ติดกับคนที่ไม่ได้เป็ของข้า” พูดจบ ก็มองหานรุ่ยอย่างเป็นัยๆ ครู่หนึ่ง กล่าวขึ้น “คุณชายจุนสบายใจได้” ชะงักครู่สั้นๆ และกล่าวอีกว่า “หวังว่านายน้อยจุนจะทนุถนอมคนตรงหน้า หากคุณชายจุนไม่ทนุถนอม ข้าก็คงลงมืออย่างไม่เกรงใจละ”
จุนห่าวคิดในใจ ชายคนนี้ยังมิทันได้ต่อสู้ ก็ยอมแพ้เสียก่อนเสียแล้ว ใน่เวลาที่คนๆ นี้กลัดกลุ้มมากที่สุด กลับไม่มีคนอยู่เคียงข้างเขา ไม่มีใครช่วยเหลือเขา เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะไล่ตามเขาได้
บัดนี้ จากนี้ไป เขาจะไม่ต่อสู้แล้ว เขาจะซ่อนคนๆ นี้ไว้ในใจตลอดไป ก็เหมือนที่จุนห่าวพูด คนที่มิใช่ของตัวเอง ไม่จำเป็ต้องยึดติด แค่อยู่ในใจยังเ็ปอยู่บ้าง แต่ทว่า หากจุนห่าวไม่ทนุถนอม งั้นก็เป็อีกเื่แล้ว เขาจะไม่พลาดโอกาสนี้อีกครั้งแน่ “ท่านไม่มีโอกาสหยิบยื่นมาให้ อีกอย่าง ถึงไม่มีคำพูดนั้นของท่าน ข้าก็ยังสบายใจ ข้ารู้ว่าเสี่ยวรุ่ยรักข้าแค่คนเดียว และจะไม่มีสายตาไว้มองชายอื่น” จุนห่าวพูดอย่างเริงร่า คิดอย่างลับๆ อู๋โม่วหานเป็คนที่น่าสนใจนัก รู้ว่าอะไรควรสู้อะไรควรถอย เมื่อคิดถึงเื่นี้ จุนห่าวรู้สึกว่าอู๋โม่วหานก็มิใช่คนไม่ดีอะไร
อู๋โม่วหานไม่คุ้นชินกับท่าทางที่ดูสบายใจของจุนห่าว กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หวังว่านายน้อยจุนจะมีความมั่นใจต่อคุณชายหานอย่างนี้ตลอดไป”
จุนห่าวกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ความมั่นใจที่ข้ามีต่อเสี่ยวรุ่ย มีแต่ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ไม่มีวันลดลง เื่นี้จะไม่ทำให้คุณชายอู๋เป็กังวลใจ”
“อื้อ ในที่สุดข้าก็เข้าใจ ท่านพี่ท่านเดาผิดแล้ว ชายแก่คนนั้นมิใช่จะมาทำลายความสัมพันธ์ของท่านพ่อ แต่หนุ่มหน้าละอ่อนคนนี้ต่างหากที่จะมาแย่งท่านแม่จากท่านพ่อ” จุนหนานพูดกับจุนตงพลางชี้ไปทางอู๋โม่วหาน
“ข้ามองออกแต่แรกแล้ว ดังนั้นเราต้องดูเ้าหนุ่มนี่ให้ดีๆ ไม่ให้เข้าใกล้ท่านแม่” จุนตงพูดกับจุนหนาน สายตายังคงจดจ้องอู๋โม่วหาน คิดในใจ หากชายคนนี้้าทำลายครอบครัวของเขา เขาจะไม่ปล่อยชายคนนี้ไปแน่
อู๋โม่วหาน : ...... คิดในใจ สมเป็พ่อลูกกันจริง เขาเป็หนุ่มหน้าละอ่อนตรงไหนกัน
“ลูกผู้พี่ ท่านกลายเป็หนุ่มหน้าละอ่อนไปั้แ่เมื่อไหร่? แต่ข้าก็รู้สึกว่าท่านเหมือนหนุ่มหน้าละอ่อนจริงๆ แหละ” ฟางหย่าพูดแทรกขึ้น นี่เป็ครั้งแรกที่เธอได้เห็นลูกพี่ลูกน้องของเธอเป็เสือยิ้มยาก เธออยากจะฉีกหน้ากากของลูกผู้พี่ของเธอมานานแล้ว แต่เธอไม่เคยทำได้เลย เธอมองจุนห่าวด้วยความชื่นชม คิดในใจ คนๆ นี้ทำในสิ่งที่เธอทำไม่ได้
หลังจากฟังคำพูดของฟางหย่า ใบหน้าของอู๋โม่วหานยิ่งดำทมิฬขึ้น ลูกผู้น้องของเขาก็แค่จะเอาชนะเขา “หลีกไป ไปไหนก็มีแต่เ้า” อู๋โม่วหานพูดอย่างหงุดหงิด
ฟางหย่าหลีกออกมา เธอนั่งลงตรงข้ามหานรุ่ย และเอ่ยถามหานรุ่ยอย่างสงสัยว่า “ท่านก็คือซวงเอ๋อร์ที่ขี้เหร่อันดับหนึ่งของเมืองเย่ว์เซียน?” พูดจบพลางจ้องตาหานรุ่ยไม่กระพริบ เธอรู้สึกว่าหานรุ่ยไม่เหมือนซวงเอ๋อร์ หากมิใช่เพราะเสี้ยวตรงหน้าผาก เธอคงไม่คิดว่าหานรุ่ยเป็ซวงเอ๋อร์ ร่างกายของหานรุ่ยไม่เหมือนเงาของซวงเอ๋อร์เลยสักนิด
“ฟางหย่ากล่าวขอโทษต่อคุณชายหาน" อู๋โม่วหานะโเสียงดังใส่หน้าฟางหย่า มันหยาบคายเกินไปที่จะพูดสิ่งนี้ต่อหน้าหานรุ่ย ฟางหย่ายังคงนั่งอยู่ตรงนั้น หากมิใช่เพราะนิสัยที่ดีของหานรุ่ย และเป็คนจิตใจคับแคบ เวลาฟางหย่าคงได้กลับบ้านเก่าแล้ว
“ทำไมล่ะ? ข้าแค่อยากรู้” ฟางหย่าพูดกับอู๋โม่วหานอย่างไม่พอใจ “มิใช่ข้าที่พูดว่าหานรุ่ยคือซวงเอ๋อร์ที่ขี้เหร่อันดับหนึ่งของเมืองเย่ว์เซียนสักหน่อย เหตุใดข้าต้องขอโทษ คนเมืองเย่ว์เซียนต่างพูดกันเช่นนี้ หรือลูกผู้พี่จะให้พวกเขามาขอโทษหานรุ่ยด้วยไหม?”
“ไม่เป็ไร คุณหนูท่านนี้พูดความจริง คำพูดของทุกคนก็เป็เพียงิั” หานรุ่ยกล่าวอย่างไม่แยแส
เขาฟังมามาก จึงคุ้นชินกับมัน ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างความงามกับความน่าเกลียด คนที่มีน้ำใจย่อมได้รับความเมตตากรุณา คนที่ภูมิปัญญาย่อมได้พบปัญญา รูปร่างหน้าตาของเขาไม่สอดคล้องกับมาตรฐานของซวงเอ๋อร์บนแผ่นดินชางหลานจริงๆ
“ท่านพี่ หานรุ่ยเขายังไม่กล่าวโทษข้าเลย เป็ท่านเองที่เื่เยอะ” ฟางหย่าพูดกับอู๋โม่วหานอย่างไม่สบอารมณ์
“นั่นเป็เพราะนายน้อยหานใจกว้าง ไม่คิดเอาเื่เ้า” อู๋โม่วหานพูดกับฟางหย่า ลูกผู้น้องของเขาถูกคนในตระกูลตามใจจนนิสัยเสีย กล้าพูดอะไรออกมาหมด นิสัยตรงนั้นของเธอต้องแก้ไขจากนี้ไปต้องถูกเอาเปรียบเป็แน่
เมื่อจุนห่าวเห็นว่าอู๋โม่วหานไม่มีท่าทีที่คิดจะไป คิดทบทวนครู่หนึ่ง อู๋โม่วหานเป็คนยังไงกัน มาคลุกคลีกับเขาเป็นานสองนาน อย่าบอกว่านะว่า พอได้พบหานรุ่ย ก็ก้าวเท้าไม่ได้แล้ว นั่นก็เป็ไปไม่ได้ อู๋โม่วหานมิใช่คนที่ใช้ความรู้สึกทำเื่ราว จุนห่าวลดรอยยิ้มของเขาและพูดกับอู๋โม่วหานอย่างจริงจังว่า “คุณชายอู๋ เราจะไม่ใช้วิธีพูดอ้อมๆ แล้ว ท่านมีเื่อะไรก็พูดออกมาตรงๆ เถอะ พูดจบก็รีบไป ข้าเห็นหน้าท่านจนจะอารมณ์เสียแล้ว”
อู๋โม่วหานยิ้มอย่างอารมณ์ดีและพูดว่า “คุณชายจุนเป็คนคิดเร็วทำเร็วเสียจริง ข้าคิดว่าใบหน้าของข้านี้ ทำให้คนชื่นชอบเสียอีก”
จากนั้นเขาก็หยุดและพูดว่า “ในเมื่อคุณชายจุนพูดเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะพูดตรงๆ ข้าอยากร่วมมือกับคุณชายจุนคุณชายหาน ไม่รู้ว่าท่านทั้งสองคิดเห็นอย่างไร”
“ร่วมมือ? ข้าไม่คิดว่าเรามีอะไรให้ร่วมมือได้” จุนห่าวถามพลางขมวดคิ้ว
“ข้ายังพูดไม่จบ คุณชายจุนจึงไม่ได้ตั้งใจฟัง ข้าคิดว่าเื่นี้ดีสำหรับเราทั้งคู่” อู๋โม่วหานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“เป็เช่นนี้ งั้นข้าจะลองฟังดู คุณชายอู๋พูดต่อเถอะ” จุนห่าวพูดกับอู๋โม่วหาน
“ข้าเห็นทางที่คุณชายจุนจะไป คงจะไปทางแดนของสุนัขจื่อเหมยใช่ไหม!” อู๋โม่วหานกล่าวอย่างระมัดระวัง
จุนห่าวไม่ได้พูดว่าไปหรือไม่ไป เขาพูดด้วยสีหหน้าสงบนิ่งว่า “เชิญคุณชายอู๋กล่าวต่อ”
ได้ฟังคำตอบของจุนห่าว อู๋โม่วหานคิดในใจว่าเขาคงเดาถูกแล้ว จุนห่าวและหานรุ่ยจะไปแดนของสุนัขจื่อเหลยจริงๆ แค่ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไร หากมีจุดประสงค์เหมือนกับพวกเขา คงไม่ง่ายเลยที่จะจัดการ
ทั้งสองคนคาดเดาจุดประสงค์ของกันและกัน โดยขึ้นอยู่กับว่าใครเป็คนพูดก่อน
อู๋โม่วหานครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เรียบเรียงภาษาสักหน่อยและพูดว่า “เราก็จะไปแดนของสุนัขจื่อเหลย ในเมื่อ้าร่วมมือกับคุณชายจุน งั้นข้าจะไม่ปิดบังจุดประสงค์ของเรา เราจะไปจับทารกสุนัขตัวหนึ่งให้เป็สัตว์ในพันธะสัญญาของน้องหญิงของข้า”
อู๋โม่วหานพูดจบก็มองจุนห่าวอย่างรอคอยคำตอบ จุนห่าวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง พวกเขามีเป้าหมายเดียวกันที่จะจับสุนัขจื่อเหลย แต่พวกเขาไม่ได้มีข้อจำกัดในการจับทารก ขอเพียงจับได้สักตัวไม่ว่าจะเป็หรือตาย พวกเขา้าเืของสุนัขจื่อเหลย จุนห่าวรู้สึกว่าการที่เขาร่วมมือกับอู๋โม่วหานจะเป็ประโยชน์มากกว่า แต่เมื่อเขานึกถึงความพยายามของอู๋โม่วหานที่มีต่อหานรุ่ย จุนห่าวก็ชั่งใจ สิ่งนี้ทำให้เขาไม่แน่ใจนัก
จุนห่าวตัดสินใจไม่ได้ มองไปทางหานรุ่ยและเอ่ยขึ้น “เสี่ยวรุ่ย เ้าคิดยังไงกับข้อเสนอของคุณชายอู๋? ข้าจะฟังเ้า”
หลังจากอู๋โม่วหานบอกเื่ความร่วมมือแล้ว หานรุ่ยก็คิดทบทวนไปมา เขาและจุนห่าวมีแค่สองคน ทั้งยังพาลูกๆ ทั้งสองมาด้วย ส่วนอู๋โม่วหานไม่เหมือนกัน ในทีมของเขามีสิบห้าคน นอกจากฟางหย่า คนอื่นๆ ต่างมีพลังปราณไม่อ่อนแอ การร่วมมือจะทำให้เื่ราวราบรื่นขึ้น แต่เื่นี้ เขายังต้องฟังจุนห่าว เขาไม่อยากให้จุนห่าวไม่สบายใจ
หานรุ่ยได้ยินคำถามของจุนห่าว พูดกับจุนห่าวอย่างยิ้มๆ ว่า “เ้าไม่ถือสา?”
จุนห่าวกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าจะถือสาอะไร ไม่มีอะไรเลย”
หานรุ่ยคิดในใจ : จุนห่าวขี้หึงออกอย่างนี้ ไม่ถือสาน่ะสิถึงแปลก แต่ทว่า จุนห่าวให้เขาตัดสินใจกับเื่นี้ ก็ต้องตัดสินใจ
“ในเมื่อเ้าไม่ถือสา งั้นเื่นี้ข้าจะตัดสินใจ” หานรุ่ยพูดกับจุนห่าวอย่างยิ้มๆ พูดจบก็หันไปทางอู๋โม่วหาน แล้วพูดกับอู๋โม่วหานอย่างยิ้มๆ ว่า “คุณชายอู๋ ขอให้ร่วมมือกันอย่างมีความสุข”
อู๋โม่วหานพูดกับหานรุ่ยพร้อมรอยยิ้มอันสดใสว่า “คุณชายหาน ขอให้ร่วมมือกันอย่างมีความสุข” พูดจบ จากนั้นก็ยิ้มกว้างให้จุนห่าว
จุนห่าว “......” เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของอู๋โม่วหาน จุนห่าวไม่รู้สึกมีความสุขสักนิดที่ได้ร่วมมือกัน โชคดีที่ไม่มีวัฒนธรรมการจับมือบนแผ่นดินชางหลาน ซึ่งเป็สิ่งที่จุนห่าวดีใจ หากมีวัฒนธรรมการจับมือ หานรุ่ยและอู๋โม่วหานก็ต้องจับมือกัน เขาคงอารมณ์เสียมากกว่านี้
