ผู้คนจากทุกสารทิศเดินทางมารวมตัวกันในเทือกเขาอู๋หยินที่ผลไม้ชิงลัวสถิตย์อยู่ ส่วนสัตว์อสูรในเทือกเขาอู๋หยินก็ไม่้าที่จะแสดงจุดอ่อนของพวกเขา พวกเขาทั้งหมดหลั่งไหลเข้ามาในหุบเขา ยามนี้สัตว์อสูรต่างรอคอยเวลาที่ผลไม้ชิงลัวสุกงอม
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนต่างอยู่ในความสงบ และจดจ้องไปที่ผลไม้ชิงลัว
ส่วนจุนห่าวและหานรุ่ยยังคงซ่อนตัวอยู่ในผนังหุบเขา มีเนื้อกินทุกวันพร้อมคนรักและลูกๆ จุนห่าวรู้สึกว่านี่ช่างเป็่เวลาที่วิเศษ จนเขาไม่อยากออกไป
เด็กๆ นอนหลับแล้ว หานรุ่ยซบจุนห่าวเพื่อหลับตา เนื่องจากเพิ่งจะเลื่อนขึ้น มีพลังงานจำนวนมากในร่างกายที่ยังมิได้ดูดซับ เวลานี้หานรุ่ยจึงไม่รีบร้อนบำเพ็ญเพียร
จุนห่าวมองหานรุ่ยที่ซบอยู่บนตัวเขา รู้สึกใจเต้นเล็กน้อย แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเด็กๆ นอนอยู่ไม่ไกล จุนห่าวสลดลง คิดในใจ ที่นี่มีแสงไฟเยอะเหลือเกิน ไม่สะดวกนักที่จะทำเื่นั้น คิดถึงตรงนี้ จุนห่าวก็สลดลงอีกครั้ง บรรยากาศช่างเป็ใจ ทว่าแสงไฟเหล่านี้กลับทำลายบรรยากาศนั้น หนำซ้ำยังมีลูกๆ อีก
จุนห่าวก้มลงมองมือของหานรุ่ยที่วางอยู่ในตรงเข่าของตัวเอง เขาพูดกับหานรุ่ยว่า “เสี่ยวรุ่ย ต่อจากนี้เราทำอันใดดี?”
หลังจากได้ยินคำพูดของจุนห่าว หานรุ่ยเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาของจุนห่าว คิดในใจ คนนี้ๆ เป็ของเขา เป็ของเขาคนเดียว เขาจะดูแลชายคนนี้ให้ดี หานรุ่ยเกิดนึกสนุก พูดกับจุนห่าวอย่างยิ้มๆ ว่า “ให้เ้าเดา?”
“หือ? จุนห่าวชะงักไปครู่หนึ่งหลังจากได้ยินคำพูดของหานรุ่ย เขาคิดไม่ถึงว่าหานรุ่ยจะเอ่ยเช่นนี้ หลังจากจุนห่าวมีปฏิกิริยา เขาก็หันมองมา และยิ้มให้หานรุ่ยอย่างอบอุ่นว่า “ให้ข้าเดารึ เสี่ยวรุ่ย ต่อจากนี้ เ้าจะหาโรงเตี๊ยมสักห้อง จากนั้นก็สู้ศึกกับข้าบนเตียงสักสามร้อยขบวนท่า”
พูดจบแล้วหยุดครู่หนึ่ง และจุนห่าวกระซิบหานรุ่ยว่า “ข้าจะปรนนิบัติพัดวีเ้า ทำให้เ้ามีความสุขที่สุด” คิดในใจ นี่คือสิ่งที่เขา้าทำมากที่สุด ณ ตอนนี้ เขามิได้แตะเนื้อต้องตัวหานรุ่ยมาหลายวันแล้ว เวลานี้เขาเพิ่งจะเลื่อนขั้น จำเป็้าออกกำลังกาย เพื่อระบายความแข็งแกร่งทางกายของเขา
หานรุ่ยฟังคำพูดและความคิดของจุนห่าว คิดในใจ ว่าแล้วเชียว จุนห่าวเป็พวกมักมากในกาม ไม่เคยลืมเื่นั้นเลย แม้ว่าหานรุ่ยก็รู้สึกสบาย ทว่าเขาไม่กระตือรือร้นอย่างจุนห่าว จุนห่าวคงอยากเห็นเขาอยู่บนเตียงอย่างร้องขอชีวิต ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่คิดจะใช้กับยาจุนห่าว สำหรับความกระตือรือร้นของจุนห่าว มีบ้างที่เขาทนไม่ได้ เพื่อไม่ต้องถูกจุนห่าวทำให้ร้องขอชีวิต เขาต้องขยันบำเพ็ญเพียร และฝึกฝนร่างกายสม่ำเสมอ การแช่สระโลหิตในครั้งนี้ ไม่เพียงเพิ่มพลังปราณของเขา แต่ยังเพิ่มมรรถภาพทางกาย จากนี้ไป คงไม่ถูกจุนห่าวทำให้เหนื่อยจนสลบแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของจุนห่าว ดวงตาของหานรุ่ยครุ่นคิด พร้อมแฝงความขี้เล่น พูดพลางยิ้มกว้างให้แก่จุนห่าวว่า “เหตุใดเอะอะก็ต้องไปโรงเตี๊ยม ข้าคิดว่าข้างนอกก็ไม่เลว ท้องฟ้าสีคราม ก้อนเมฆสีขาว และใบหญ้าสีเขียว มีแค่ข้ากับเ้า”
หลังจากได้ยินคำพูดของหานรุ่ย จุนห่าวตะลึงงัน คิดในใจ นี่คือเสี่ยวรุ่ยของเขาจริงๆ หรือ? เสี่ยวรุ่ยกลายเป็คนเปิดเผยเช่นนี้ั้แ่เมื่อไหร่นะ เสี่ยวรุ่ยของเขาคงไม่ถูกใครสิงร่างใช่ไหม คิดถึงตรงนี้ จุนห่าวใจเต้นตึกตัก รีบเอ่ยถามขึ้น “เสี่ยวรุ่ย ครั้งแรกของเราใช้เวลานานเพียงใด?”
ฟังคำของจุนห่าว หานรุ่ยก็ตกตะลึง คิดในใจ ท่าทีนี้ของจุนห่าวไม่น่าใช่ละ จุนห่าวคงไม่ดีใจจนเป็บ้าเป็หลังหรอกนะ? ไม่เพียงชื่นชมยินดีกลับถูกทำให้ตกอกใ ทั้งยังเอ่ยถามเื่ที่เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับมัน คิดถึงตรงนี้ หานรุ่ยมองจุนห่าวด้วยสายตาแปลกประหลาด
เห็นหานรุ่ยของเขามองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด จุนห่าวพูดอย่างร้อนรนว่า “เ้ารีบพูดเถอะ เสี่ยวรุ่ย เื่นี้สำคัญมาก” ยามนี้จุนห่าวกระตือรือร้นที่จะรู้คำตอบ ้ารู้สิ่งที่เขาสองคนเท่านั้นที่รู้ รวมถึงเสี่ยวไป๋ เพื่อพิสูจน์ว่าหานรุ่ยยังคงเป็เสี่ยวรุ่ยของเขา หากหานรุ่ยถูกสิงร่างจริงๆ เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง
หานรุ่ยมองจุนห่าวด้วยสายตาแปลกประหลาดอีกครั้ง เอ่ยขึ้นว่า “อย่างที่เ้าบอก ใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที” พูดจบ จากนั้นเขาก็หยุดและพูดต่อว่า “เ้าลังเลที่จะพูดถึงเื่นี้มิใช่หรือ? เ้าบอกว่านี่เป็ความล้มเหลวและความอับอายครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเ้า เหตุใดวันนี้ถึงเป็ฝ่ายพูดเื่นี้”
ฟังคำของหานรุ่ย จุนห่าวโน้มตัวหานรุ่ยเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเขา และพูดอย่างมีความสุขว่า “ดีที่ยังเป็เ้า เ้ารู้ไหม? เมื่อครู่เ้าทำข้าใเสียแล้ว”
หานรุ่ยไม่เข้าใจ คิดในใจ เมื่อครู่เขามิได้ทำอันตรายอะไร เหตุใดเขาถึงทำให้จุนห่าวใ?
หานรุ่ยฟังจุนห่าว และพูดต่อไปว่า “เ้าคิดว่าข้าถูกสิงร่างรึ? ถึงกล้าเอ่ยเื่นั้นออกมา”
หานรุ่ย “......” คิดในใจ เขายังสบายดีอยู่ จะถูกสิงร่างได้อย่างไร? เป็ครั้งแรกที่เขากล้าพูดเช่นนี้ แต่กลับถูกจุนห่างตีความผิดไปได้ หานรุ่ยพูดอย่างจนใจว่า “ข้าแค่ล้อเ้าเล่น”
ฟังคำของหานรุ่ย จุนห่าวครุ่นคิด อันที่จริงก็เพราะความคลุมเครือ บรรยากาศดีๆ เมื่อครู่นี้ถูกเขาทำลายจนสิ้น เขาคงไม่พูดให้ตัวเองอยู่ในฐานะเสียเปรียบหรอก แต่วลานั้นเขาหาได้มีสติไม่ ดังนั้น เขาจึงเกิดความคิดแปลกประหลาด
เสี่ยวไป๋หัวเราะอยู่ในเทศะ คิดในใจ จุนห่าวโง่เขลาขึ้นเรื่อยๆ ความชาญฉลาดในอดีตหายไปสิ้น มันรู้สึกถึงความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่
จากบรรยากาศที่คลุมเครือเื่จุนห่าว ระหว่างคนทั้งสองก็คลี่คลายลง
ทั้งสองคนเริ่มพูดคุยจริงจังอีกครั้ง หานรุ่ยพูดกับจุนห่าวว่า “เดิมที คิดว่าหลังจากเสร็จธุระเื่สายฟ้าก็จะไปเกาะหลานชิง บัดนี้ ในเมื่อผลไม้ชิงลัวใกล้สุกงอม และเรายังมีเวลา หากไม่ลองแย่งชิงสักหน่อย คงต้องขอขมา์ที่อาจมอบมันให้เรา”
“ถ้าเช่นนั้น รุ่งขึ้นเราออกไปกัน ไปที่หุบเขาที่ผลไม้ชิงลังดำรงอยู่ เราอยู่ที่นี่กว่าครึ่งเดือนแล้ว ยังพอมีเวลาอีกประมาณครึ่งเดือน กว่าผลไม้ชิงลัวจะสุกงอม เราน่าจะไปทันพอดี” จุนห่าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวต่อว่า “เ้าคิดว่าอู๋โม่วหานยังอยู่ไหม? ตอนเราออกไป เรานำลูกสุนัขจื่อเหลยไปให้เขาสักตัวดีไหม? ยังไงที่นี่ก็มีเยอะ”
“เ้าเกลียดเขามิใช่หรือ? เหตุใดถึงจะใจดีมอบลูกสุนัขจื่อเหลยให้เขาล่ะ?” หานรุ่ยเอ่ยถามอย่างสงสัย เห็นสภาพลูกสุนัขจื่อเหลยที่อยู่ที่นี่ พลันนึกถึงอู๋โม่วหานที่เสียเวลามา
“ตอนนี้เราขัดสนเื่เงินอยู่มิใช่หรือ? ส่วนอู๋โม่วหานนั้นเงินมากมาย เราจะใช้โอกาสนี้สร้างรายได้มหาศาล” จุนห่าวยิ้มและพูดกับหานรุ่ย “มีของอยู่ในมือแล้ว ไม่ทำก็ไร้ประโยชน์ และถือว่าเราช่วยเขาด้วย”
ฟังคำของจุนห่าว หานรุ่ยเลิกคิ้วพร้อมพูดว่า “การเจรจานี้ดูไม่เลว สิ่งที่อู๋โม่วหานมีมากที่สุดก็คือเงิน ถ้าอย่างงั้น เรานำไปด้วยหลายตัว ข้าเชื่อว่าอู๋โม่วหานต้องดีใจแน่ๆ”
จุนห่าวพูดพร้อมเลิกคิ้วว่า “ข้าคิดว่า หากพวกเขาเห็นลูกสุนัขหลายตัว คงโกรธจนอาเจียนเป็เืแน่ แต่ยังไงก็ต้องซื้อด้วยความเจ็บใจ”
“อาจจะจริง แต่ยังไงข้าก็คิดว่าอู๋โม่วหานมิใช่คนขี้เหนียวอย่างนั้น เงินจำนวนเล็กน้อยคงไม่ทำให้เคืองโกรธได้หรอก” หานรุ่ยพูดยิ้มๆ คิดในใจ ยังไงในสายตาของจุนห่าว อู๋โม่วหานก็มิใช่คนดี
“เ้าคิดว่าบัดนี้อู๋โม่วหานจากไปหรือยัง? คงจะไม่ตามหาสุนัขจื่อเหลยอยู่ข้างนอกหรอกนะ?” จุนห่าวถามอย่างสงสัย คิดในใจ อู๋โม่วหานช่างโชคร้ายยิ่งนัก ลูกสุนัชจื่อเหลยถูกพวกเขาทำลายจนสิ้น ส่วนอู๋โม่วหานกลับไม่พบสักตัว วาสนาของคนช่างต่างกันจริงๆ
“คงไปแล้ว อันที่จริง ภารกิจหลักของเขาก็คือผลไม้ชิงลัว เขาคงไม่ใส่ใจกับเื่รองก่อนเื่หลักหรอก” หานรุ่ยพูดอย่างวิเคราะห์
“เช่นนั้นก็ดี ข้าไม่อยากเจอหน้าเขา หากเขารู้ว่าเราพบโอกาสและโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ ต้องอิจฉาตาร้อนแน่” จุนห่าวกล่าว
วันรุ่งขึ้น ครอบครัวจุนห่าวก็ออกเดินทาง ตอนที่เดินทางจุนห่าวและหานรุ่ยก็นำลูกสุนัขติดมือไปด้วยคนละตัว ให้จุนตงและจุนหนานที่อยู่ในอ้อมแขนโอบอุ้มไว้ เพราะฤทธิ์ยายังไม่หมด ดังนั้นพวกเขาถึงวางใจให้ลูกๆ เป็คนอุ้ม
ทั้งสองคนเดินทางไปทางที่ผลไม้ชิงลัวอยู่อย่างรวดเร็ว ช่างไม่ประจวบเหมาะเอาเสียเลย เดินทางได้ครึ่งทาง ก็เผอิญพบกลุ่มของอู๋โม่วหานอีกครั้ง
“คุณชายหาน คุณชายจุน คิดไม่ถึงว่าพวกท่านจะตามหลังเรา หากรู้ว่าพวกท่านอยู่ข้างหลัง เราคงรอแล้ว” อู๋โม่วหานมองชายทั้งสองที่ดูมีพลังเพิ่มขึ้น คิดในใจ ทั้งสองคนคงพบโอกาสและโชคชะตาในผนังหุบเขาแน่ ก็ไม่รู้ว่าพลังปราณของทั้งสองคนในตอนนี้เป็อย่างไร แต่ต้องไม่ต่ำกว่าขั้นที่แปดแน่ เพราะเขามีลมปราณอยู่ที่ขั้นที่เจ็ด มองพลังปราณของทั้งสองคนไม่ทะลุ หากไม่ปกปิดพลังปราณ ก็คงมีพลังปราณสูงกว่าเขา ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็อย่างหลัง
“ท่านพี่ ที่เด็กน้อยสองคนนั้นอุ้มอยู่คือลูกสุนัขจื่อเหลยใช่ไหม” ฟางหย่าเห็นลูกสุนัขจื่อเหลยอยู่กับจุนตงและจุนหนาน จึงเอ่ยขึ้น
“แม่นางฟางหย่าสายตาแหลมคมนัก นี่คือลูกสุนัขจื่อเหลย เป็เพราะเราเผอิญพบสุนัขจื่อเหลย เราถึงล่าช้าเช่นนี้” จุนห่าวกล่าวเชิงอธิบาย จะเชื่อหรือไม่เป็เื่ของพวกเขาแล้ว
“พวกเ้าจะขายลูกสุนัขหรือ? หากขายข้าก็จะซื้อ เท่าไหร่ก็เอา ท่านพี่ข้ามีเงิน ขอเพียงพวกท่านเสนอราคา ท่านพี่ของข้าย่อมจ่ายได้” ฟางหย่าพูดอย่างร้อนใจ บัดนี้ลูกสุนัขจื่อเหลยอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว เธอไม่อยากพลาดโอกาสที่ดีเช่นนี้ พูดจบ ฟางหย่าก็กอดแขนอู๋โม่วหาน พร้อมพูดอย่างออดอ้อนว่า “ท่านพี่ ท่านบอกว่าจะหาลูกสุนัขจื่อเหลยให้ข้าใช่ไหม ตอนนี้ลูกสุนัขจื่อเหลยอยู่ตรงหน้าท่านแล้ว ท่านต้องซื้อมันให้ข้านะ ข้าขอร้องท่าน ท่านพี่คนดีที่สุด”
อู๋โม่วหานจนใจยิ่งนัก เขาไม่คิดว่าจุนห่าวและหานรุ่ยจะขายลูกสุนัขจื่อเหลยสองตัวนี้ แต่คงตั้งใจเลี้ยงไว้เอง และให้ลูกทั้งสองของเขาทำพันธะสัญญาด้วย ทว่าเขาก็ไม่อยากทำให้ฟางหย่าผิดหวัง ดังนั้นจึงลองเอ่ยถาม “คุณชายจุน คุณชายหาน ลูกสุนัขจื่อเหลยที่บุตรของท่านทั้งสองอุ้มอยู่นั้น ขายหรือไม่?” หยุดครู่หนึ่ง และพูดต่ออย่างจนใจว่า “พวกท่านเห็นใช่ไหมว่า ลูกผู้น้องของข้าชอบลูกสุนัขที่อยู่ในมือของหนุ่มน้อยทั้งสองยิ่งนัก?”
จุนห่าวที่รอคอยให้อู๋โม่วหานเป็ฝ่ายพูด ฟังคำของอู๋โม่วหาน จุนห่าวพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “ขาย ไม่ขายได้ยังไง หากไม่ขาย คงไม่คิดว่าจะรอพวกมันโตค่อยขายหรอกนะ! เช่นนี้จะสิ้นเปลืองเปล่าๆ”
อู๋โม่วหานฟังจุนห่าวพูดเช่นนี้ คิดในใจ นี่มิใช่เื่สิ้นเปลือง ของมีค่าเช่นนี้ จุนห่าวไม่คิดจะเลี้ยงไว้เองหรือ สงสัยว่าเขาไม่รู้หรืออยากรวยกันแน่
อู๋โม่วหานพูดกับจุนห่าวยิ้มๆ ว่า “เลี้ยงไว้เองก็สิ้นเปลืองจริงๆ แหละ ข้าอยากซื้อลูกสุนัขของคุณชายจุน ไม่รู้ว่าคุณชายจุนพอใจที่เท่าไหร่ ถึงตัดใจขายได้?”
“คงมิใช่เื่ตัดใจขาย เห็นคุณชายอู๋้ามันพอดี จึงนำติดมือมาด้วยสองตัว แม้ว่าข้าจะไม่คิดทำธุรกิจ แต่ก็เข้าใจความจริงที่ว่า ของที่มีน้อยมักมีค่า ดังนั้น จึงมิได้นำมาเยอะ” พูดจบ ก็ยิ้มให้อู๋โม่วหานด้วยรอยยิ้มกว้าง พลางกล่าวต่อว่า “ในเมื่อเราร่วมมือกัน ข้าจะเห็นแก่หน้าท่าน ข้าไม่เอาเยอะ หนึ่งตัว 100 ล้าน คุณชายอู๋คิดว่าอย่างไรบ้าง?”
ฟังคำของจุนห่าว อู๋โม่วหานรู้สึกบาดหูยิ่งนัก ยิ่งเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของจุนห่าว อู๋โม่วหานยิ่งรู้สึกขัดลูกหูลูกตา คิดในใจ ฟังจุนห่าวที่บอกว่า้าเท่าไหร่ก็เท่านั้น เป็เพราะเขากลัวว่าจะมิได้ราคาสูง ถึงจับมาแค่สองตัว เป็คนเหมือนกันแต่โชคชะตาแตกต่างกันเสียจริง พวกเขาไปด้วยกัน แต่เขาไม่พบสักตัว ทว่าจุนห่าวกลับพบเป็ฝูง ทั้งตอนนี้ยังต้องร้องขออีก อู๋โม่วหานไม่รู้จะทำสีหน้ายังไง ดังนั้น จึงพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “ 100 ล้านตำลึงเงินหรือตำลึงทอง?” คิดในใจ หากเป็ 100 ล้านตำลึงทอง ดูจะแพงไปเสียหน่อย แต่สำหรับเขาแล้วก็ไม่เท่าไหร่ ถึงจะเป็ตำลึงทองเขาก็ซื้อไหว
“คุณชายอู๋ช่างร่ำรวยเงินทองเสียจริง เดิมทีข้าตั้งใจให้ราคาเป็มิตร 100 ล้านตำลึงเงินต่อหนึ่งตัว แต่ในเมื่อคุณชายอู๋ใจป้ำขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้น ข้าย่อมเห็นแก่หน้าตาของคุณชายอู๋ งั้นก็ 100 ล้านตำลึงทองต่อหนึ่งตัวละกัน ข้าเชื่อว่าเงินจำนวนนี้สำหรับคุณชายอู๋ก็แค่เศษเงิน มิควรค่าที่จะกล่าวถึง”
อู๋โม่วหานพูดอย่างยิ้มเยาะว่า “ตกลง เงินจำนวนนี้ข้าไม่แยแสสักนิด” คิดในใจ ต้องโทษปากตัวเอง ถึงทำให้เสียเงินมากมายขนาดนี้ นี่เป็การเจรจาธุรกิจครั้งหนึ่งที่เขาขาดทุนมากที่สุดในรอบหลายปี อย่างไรก็ตาม มันก็คุ้มค่าที่จะแลกกับสุนัขจื่อเหลยสองตัว ยังไงสุนัขจื่อเหลยก็มีราคาที่ประเมินค่ามิได้อยู่แล้ว
“คุณชายอู๋ ช่างใจป้ำเสียจริง ครั้งต่อไปหากข้าจะเจรจาธุรกิจ คงต้องมาพบท่านแล้ว” จุนห่าวพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ด้วยวิธีนี้ จุนห่าวจึงทำเงินได้ถึง 200 ล้านตำลึงทองอย่างราบรื่น จุนห่าวคิด นี่สิถึงเป็เศรษฐีที่แท้จริง ตนเองกับเขายังห่างไกลกันเหลือเกิน
