ดวงตากลมใสแจ๋วของโม่เสวี่ยถงกะพริบถี่ สีหน้าคล้ายมึนงง สติไม่กระจ่างชัด ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน
เมื่อเห็นนางยังสะลึมสะลือ เฟิงเจวี๋ยหร่านก็ยิ้มพราย “อะไรกันเนี่ย ไม่รู้จักเปิ่นหวางเสียแล้วหรือ คืนนี้เป็คืนส่งท้ายฤดูหนาว นอนเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร เปิ่นหวางกำลังเบื่อ ตื่นขึ้นมาอยู่เป็เพื่อนกันก่อนสิ”
เขาถือวิสาสะยื่นมือโบกไปมาอยู่หน้านาง เมื่อเห็นคราบน้ำตาสะท้อนแสงวิบวับอยู่ในความมืด ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นวาบเข้ามาหัวใจอย่างน่าประหลาด ไม่สบายใจเอาเสียเลย
โม่เสวี่ยถงยังคงไม่ได้สติ แต่จิตใต้สำนึกสั่งให้นางคลายมือที่กำหมัดแน่น แล้วยื่นออกมาข้างหน้า แขนเสื้อหลวมกว้างร่นลงเผยให้เห็นผิวขาวกระจ่างปานหิมะ ผุดผ่องดูคล้ายเปล่งแสงได้ สายตาของเฟิงเจวี๋ยหร่านเลื่อนไปอยู่ที่มือทั้งสองข้าง หัวใจกระตุกวูบ เดิมทีคิดจะจับมือนางวางลงอย่างผ่อนคลาย
แต่ทันทีที่กุมมือนางไว้ กลับพบว่ามือนุ่มนิ่มปานไร้กระดูกเปียกรื้นไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ วันอากาศหนาวจัดเช่นนี้ แต่กลับมีเหงื่อออกกลางฝ่ามือ คิดถึงเมื่อครู่ยามที่นางหลับอยู่ ก็เห็นว่าขบริมฝีปากแน่น ใบหน้าระทมทุกข์เต็มไปด้วยความเ็ป แสดงว่าเพราะฝันร้ายจึงเหงื่อออก รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจวนโม่เมื่อกลางวันส่งมาถึงมือเขาอย่างละเอียด คิ้วเข้มมุ่นขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ใบหน้ายิ้มระรื่นพลันเปลี่ยนเป็นิ่งขรึมในพริบตา
สีหน้าใต้เงาแสงที่ตกกระทบมิใช่โฉมหน้าที่ดูเอ้อระเหยลอยชายรักแต่ความสนุกสนานอีกต่อไป แต่กลับดูเืเย็นปานพยัคฆ์ร้ายกระหายโลหิต
“ตกลงท่านจะดึงข้าให้ลุกขึ้นหรือไม่” ยามนี้สติและการรับรู้ของโม่เสวี่ยถงชัดแจ้งดีแล้ว ดวงตาวาววับจ้องมองเฟิงเจวี๋ยหร่าน แม้ว่าการที่เขาจับมือนางจะไม่เหมาะสม แต่เขาใช่คนที่ยึดมั่นในธรรมเนียมมารยาทเสียที่ไหน อีกอย่างวันนี้นางรู้สึกเหนื่อยใจยิ่ง จึงไม่อยากคิดทำตัวเคร่งครัดแม้แต่น้อย รู้สึกว่าทุกอย่างในโลกนี้ล้วนถูกผูดมัดด้วยกฎระเบียบและธรรมเนียมมารยาทในสังคม จนนางแทบหายใจไม่ออก
ปลดปล่อยตามใจสักครั้งจะเป็ไร คืนนี้ไม่ต้องกังวลมากนัก แล้วระบายความกลัดกลุ้มที่สุมอกอยู่ออกไปให้หมด
เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงมีท่าทีแตกต่างไปจากเดิม นางจ้องมาเขาด้วยแววตาคมกล้า แฝงความระแวดระวังป้องกันตัวเอง ไม่เสแสร้งทำตัวหัวอ่อนเชื่อฟังอย่างทุกครั้ง แสงสีเงินยวงที่สาดส่องลงมาบนใบหน้างามล้ำ ยิ่งสะท้อนให้เห็นความบริสุทธิ์ผุดผ่องประหนึ่งเทพธิดาจากสรวง์ แพขนตายาวหลุบลงเล็กน้อย ดวงตาสุกใสเพ่งมองมาที่เขา เพียงแต่เบื้องลึกในดวงตาดูเหนื่อยล้าและอ้างว้าง
เด็กสาวคนหนึ่งที่ต้องอาศัยอยู่ในครอบครัวแบบนี้ ต้องคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลาว่าจะถูกคนปองร้าย นางคงจะเหนื่อยมากเป็แน่
การที่นางไม่ต่อปากต่อคำกับเขาเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา กลับทำให้รู้สึกเหมือนว่าหัวใจถูกพุ่งชนอย่างแรงจนอ่อนยวบ รู้สึกคันยุบยิบไปทั้งหัวใจ ทว่าก็หวานล้ำอย่างไม่น่าเชื่อ ััได้ว่าความรู้สึกต่อต้านของนางจางหายกลายเป็หมอกควัน เหลือเพียงความอ่อนโยนและสงบนิ่ง แค่ได้กุมมือนุ่มของนางแล้วนั่งอยู่เงียบๆ ภายใต้แสงจันทร์แบบนี้ ก็ทำให้จิตใจของเขาสุขสงบอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
“ทำไมท่านยังไม่ดึงมือข้าให้ลุกขึ้นอีกเล่า” โม่เสวี่ยถงรู้สึกทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง จึงไม่อยากลุกขึ้นด้วยตนเอง นางส่ายมือที่ถูกกุมไว้อย่างแ่าไปมา ไม่เข้าใจว่าเขามัวแต่ใจลอยอะไรอยู่ ถึงกระนั้นก็เถอะ วันนี้นางไม่มีอารมณ์จะต่อปากต่อคำด้วย เขาอยากจะทำอะไรก็ให้ทำไป
เฟิงเจวี๋ยหร่านได้สติกลับมาก็ใบหน้าร้อนผ่าว รีบเบือนศีรษะหลบไปทางอื่น แล้วออกแรงฉุดนางขึ้นมา ไม่รู้เพราะเหตุใดแสงจันทร์ในค่ำคืนนี้จึงทำให้นางดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลยิ่ง หรือเพราะวันนี้หิมะด้านนอกดูงดงามกระจ่างตาเป็พิเศษ ส่งผลให้แม้แต่ในห้องมืดก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันนุ่มนวลอ่อนโยน
ระหว่างที่ความคิดกำลังตีกันยุ่ง ก็ได้ยินเสียงอ่อนหวานของโม่เสวี่ยถงกล่าวขึ้น “ดึกขนาดนี้แล้ว ไฉนจึงไม่หลับไม่นอน มาหาข้ามีธุระอันใด”
“เ้าจะเข้านอนเร็วอะไรปานนี้ ดูท้องฟ้าสิ ยังเช้าอยู่เลย” เฟิงเจวี๋ยหร่านชี้ไปบนฟ้านอกหน้าต่าง แล้วชำเลืองมองมาที่โม่เสวี่ยถง พูดทึกทักชี้กวางเป็ม้าเอาดื้อๆ ทว่าน้ำเสียงที่ฟังดูเอ้อระเหยกลับเจือไปด้วยนุ่มนวลอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว
ท้องฟ้ายังเช้าอยู่? ใช้สายตาแบบไหนมองกันหนอ... โม่เสวี่ยถงนั่งหยัดหลังตรงมองไปยังหน้าต่างที่เปิดอยู่ แล้วเลิกคิ้วอย่างหมดแรง “ท่านคิดว่ายามนี้ยังเช้าอยู่หรืออย่างไร”
“แน่นอน ไม่เชื่อข้าจะพาเ้าไปดูไหมล่ะ วันนี้แสงไฟสว่างไสวไปทั้งเมืองเลย” เฟิงเจวี๋ยหร่านลุกขึ้นตบอกยักคิ้ว สีหน้าคล้ายมีคำว่า 'ข้ารับประกัน' สลักอยู่
“ข้าไม่อยากออกไป” โม่เสวี่ยถงไม่มีอารมณ์จริงๆ นั่งพิงไปอีกด้านหลุบตาลง สีหน้าเซื่องซึม
“วันนี้ข้างนอกไม่เพียงแต่จุดโคมสว่างไสว ยังมีของกินอร่อยๆ มีการละเล่นสนุกสนานเต็มไปหมด ได้ยินว่าจะมีการจุดพลุไฟที่งดงามอลังการเป็พิเศษ สวยยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ทั้งสิ้น แบบนี้ยังไม่คิดจะออกไปดูหน่อยหรือ” เฟิงเจวี๋ยหร่านพยายามเกลี้ยกล่อม เห็นนางทำสีหน้ากลัดกลุ้มเหมือนมีเื่ไม่สบายใจ ก็รู้สึกว่าแบบนี้ไม่เข้ากับนางสักนิด ใบหน้าของนางควรประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน มีความสุขใจไร้กังวลมากกว่า
มีพลุด้วย! นางเคยชมพลุไฟครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นอาการป่วยของมารดายังไม่รุนแรงมาก ท่านพ่อก็รักท่านแม่ยิ่ง สามคนพ่อแม่ลูกไปชมพลุไฟด้วยกัน ท่านแม่นั่งอยู่ข้างท่านพ่อ ส่วนตนเองเมื่อเห็นพลุทะยานขึ้นเต็มท้องฟ้า ก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจจนลุกขึ้นะโโลดเต้น
รอยยิ้มขื่นปรากฏบนริมฝีปาก
“ว่าอย่างไร ยังไม่คิดจะไปอีกหรือ” เห็นโม่เสวี่ยถงนิ่งงัน เฟิงเจวี๋ยหร่านจึงเอ่ยถามพลางเลิกคิ้ว แม้ในความมืดจะทำให้เห็นใบหน้าของนางไม่ชัด แต่กลับััได้ถึงอารมณ์หดหู่ของนาง
“ไปสิ ทำไมจะไม่ไปเล่า วันนี้ท่านอ๋องเซวียนอุตส่าห์มาเชิญด้วยตนเอง แล้วข้าจะไม่ไปชมพลุไฟแสนพิเศษนี้ได้อย่างไร แต่ไม่ทราบว่าท่านอ๋องจะพาข้าออกไปอย่างไรหรือ”
“เปิ่นหวางอยากพาคนไปซะอย่าง ไฉนจะพาออกไปไม่ได้เล่า” ใบหน้าของเฟิงเจวี๋ยหร่านอาบย้อมไปด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ น้ำเสียงชวนเคลิบเคลิ้มแฝงไปด้วยความเกียจคร้าน จากนั้นก็เอื้อมมือมากระหวัดร่างบางเข้าสู่อ้อมอก แล้วพลิ้วกายออกไปทางหน้าต่าง
โม่เฟิงที่เฝ้าอยู่บนต้นไม้นอกหน้าต่าง มองตามเ้านายทั้งสองคนของตนอย่างเกียจคร้านพลันหลับตาลง นับั้แ่ตนเองติดตามคุณหนูสามสกุลโม่ก็แทบไม่มีเวลาพัก คิดไม่ถึงว่าคืนส่งท้ายฤดูหนาวจะได้เปลี่ยนเวรพักผ่อนได้ ดูท่าเ้านายคงจะพาคุณหนูสามออกไปเดินเที่ยว เ้านายมีองครักษ์เงามากมาย ฝีมือก็มิได้ด้อยไปกว่าตนเอง แต่กลับให้สวัสดิการและผลประโยชน์กับตนเองมากมายนัก
เฟิงเจวี๋ยหร่านพลิ้วกายะโข้ามกำแพงสูง แสงตะเกียงจากบ้านเรือนสองข้างทางวูบผ่านไปด้านหลังด้วยความรวดเร็ว โม่เสวี่ยถงคิดไม่ถึงว่าเขาจะอุกอาจขนาดนี้ นางยังไม่ทันร้องออกมาด้วยซ้ำ ได้แต่คว้าเสื้อคลุมของเขาแล้วจับยึดเอาไว้แน่น เสียงซู่ๆ ของสายลมปัดเฉียดข้างหู เพียงชั่วพริบตาลมเหมันต์ที่เย็นะเืก็เข้ามาแทนที่ความอบอุ่นภายในห้อง สีหน้าจากที่ห่อเหี่ยวก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
นางนึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ ที่จริงก็รู้มานานแล้วว่าเฟิงเจวี๋ยหร่านเป็คนชอบทำอะไรตามใจตนเอง แต่ไม่คิดว่าจะเป็มากถึงขนาดนี้ ยังพูดไม่ทันจบก็แล่นออกมาแล้ว รู้อยู่ว่าเขารีบร้อนอยากพาตนเองออกมาชมพลุไฟ แต่ก็อดนึกเหน็บแนมไม่ได้ว่ากลางค่ำกลางคืนแทนที่จะหลับนอน กลับมาลักพาตัวสตรีออกจากเรือนเสียนี่
ทิศทางที่มุ่งไปเป็สถานที่ชมพลุ ลมหนาวบาดคอนางจนแสบไปหมด นึกโมโหจนอยากบอกให้เขาช้าลงหน่อย แต่แค่อ้าปากลมก็พุ่งเข้ามาเต็มๆ อยากจะพูดก็พูดไม่ออก ท้ายที่สุดก็ต้องหุบปาก หลับตา แล้วแต่เขาจะพาไป
ถึงอย่างไรวันนี้ตนเองก็มิได้คิดจะเคร่งครัดธรรมเนียมอะไรอยู่แล้ว
ถึงอย่างไรเขาก็ทำอะไรนางไม่ได้อยู่แล้ว
ถึงอย่างไร...
ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามือของเขาเลื่อนมาป้องคอของนางไว้ ช่วยกันลมหนาวได้มาก คนผู้นี้ก็มิได้เลวร้ายไปเสียทุกเื่ ดูไม่ออกเลยว่าเป็คนที่พิถีพิถันคนหนึ่ง จึงค่อยรู้สึกสบายใจขึ้น
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ก็ได้ยินเสียงเขากล่าว
“เอาล่ะ ถึงแล้ว ดูสิ ที่นี่งดงามมากใช่หรือไม่”
โม่เสวี่ยถงช้อนตาขึ้นสบกับดวงตาคู่งามที่ฉายแววยิ้มอ่อนบาง ั์ตาคู่นั้นกระจ่างดั่งแสงจันทร์ ริมฝีปากบางแดงดุจชาดหยักยกขึ้นน้อยๆ เห็นชัดว่าอารมณ์ดียิ่ง น้ำเสียงเอ้อระเหยอันเป็เอกลักษณ์กลับฟังดูนุ่มนวลอ่อนโยน เขายืนอยู่ตรงหน้านาง ชี้ไปด้านล่างด้วยใบหน้าอาบรอยยิ้ม
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางจึงรู้สึกว่าท่านอ๋องรูปงามผู้นี้ดูมีกลิ่นอายของความเป็เด็กอยู่หลายส่วน สีหน้าแบบนี้มองไปก็คล้ายเด็กที่้าคำชม ดูน่ารักไม่หยอก ริมฝีปากของนางทอยิ้มออกมาโดยไม่มีสาเหตุ จึงรีบหันศีรษะหลบไม่ยอมให้เขาได้เห็น ต้องไม่ลืมว่าท่านอ๋องที่มีจิตใจคับแคบผู้นี้เป็คนเ้าคิดเ้าแค้นพอตัว
นางมองตามทิศทางที่เขาชี้ไป ก็พบว่าสถานที่ที่ตนเองยืนอยู่สูงกว่าพื้นดินปรกติมากนัก ไม่รู้ว่าเป็หลังคาของสถานที่ใด เมื่อมองไปจนสุดสายตาก็เห็นแสงโคมจากบ้านเรือนนับหมื่น คืนนี้เป็คืนส่งท้ายฤดูหนาวย่อมคึกคักกว่าปรกติ เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขที่ดังมาจากถ้วนทั่วหัวระแหงเป็พักๆ ทำให้รับรู้ได้ทันทีว่าค่ำคืนนี้เป็คืนแห่งความรื่นรมย์
ท่ามกลางแสงตะเกียงเ่าั้ ก็จะเห็นพลุไฟพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้าแล้วแตกกระจายคล้ายดอกไม้เบ่งบานอยู่เป็ระยะ สร้างความงดงามให้กับยามราตรี
เฟิงเจวี๋ยหร่านปล่อยมือนางแล้วทิ้งตัวลงนอนตะแคงบนหลังคา ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงร้องใ พร้อมกับเสียงกระเบื้องที่ไถลตกลงไป
“เป็อะไร” เฟิงเจวี๋ยหร่านเพิ่งระลึกได้ว่าโม่เสวี่ยถงยังยืนอยู่ หัวใจพลันหล่นวูบ นึกว่านางตกลงไปแล้ว จึงผุดลุกขึ้นมานั่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าไหล่ทั้งสองข้างถูกคนกอดเอาไว้แน่น
“หลังคาบ้านลื่นขนาดนี้ แล้วจะให้ข้ายืนได้อย่างไรเล่า” โม่เสวี่ยถงหน้าง้ำ กล่าวอย่างไม่พอใจ มือเกาะไหล่ของเฟิงเจวี๋ยหร่านไว้แน่น รู้สึกแต่ว่าใต้ฝ่าเท้าสั่นไปหมด แม้แต่จะก้าวก็ก้าวไม่ออก เมื่อครู่นางมัวแต่ชื่นชมทิวทัศน์ที่งดงามด้านล่าง จึงขยับเดินไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แต่เท้าลื่นยืนไม่อยู่จนเกือบพลาดตกลงไป
เวลานี้นางไม่ห่วงอะไรทั้งสิ้น กอดไหล่เฟิงเจวี๋ยหร่านไว้แนน แทบทิ้งน้ำหนักทั้งร่างไว้บนตัวเขา ไม่กล้ามองไปด้านล่างแม้แต่น้อย
เขารู้สึกได้ว่าสาวน้อยที่อยู่ด้านหลังกอดตนเองไว้แน่น กลิ่นหอมเย็นคล้ายดอกเหมยผสานกับดอกกล้วยไม้โชยมาปะจมูก รู้สึกว่า... เป็ความหอมที่แตกต่างจากกลิ่นหอมใดๆ ที่เขาเคยได้ดอมดม และเป็ความหอมที่ทำให้รู้สึกคันยุบยิบ ชวนให้ใจเต้นระรัว
เขายกมือข้างหนึ่งไปประคองเอวนางไว้ อีกมือก็ตบหลังมือของนางเบาๆ พลางปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่ากลัว ไม่มีอะไรทั้งสิ้น จับมือข้าไว้แน่นๆ ทีนี้ค่อยๆ ขยับ ใช่... แบบนั้นแหละ เอาล่ะ นั่งลงมาสิ... ช้าๆ”
เฟิงเจวี๋ยหร่านรับรู้ได้ว่านางสั่นสะท้านไปทั้งตัว มือก็เย็นเฉียบปานน้ำแข็ง จึงตระหนักว่าวันนี้อากาศหนาวจัด พลันคลายปมเสื้อคลุมกันหนาวตัวใหญ่ของตนเองออกแล้วคลุมทับไปบนร่างเล็ก ผู้เชือกรัดให้อย่างเอาใจใส่ พลางกล่าวเสียงหวาน “เป็ข้าไม่ดีเอง ตัวเองอุ่นสบายไม่รู้สักนิดว่าเ้าหนาว สวมเสื้อคลุมแล้วพิงข้าไว้… เดี๋ยวก็อุ่นแล้ว”
โม่เสวี่ยถงยอมเอนซบลงมาอย่างว่าง่าย ดวงตากลมโตดูหวาดหวั่น ท่าทางอ่อนแออย่างที่ปรกติไม่มีทางเห็นได้เลย นางจับมือของเฟิงเจวี๋ยหร่านไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว บนยอดหลังคาสูงขนาดนี้ นางรู้สึกกลัวจริงๆ
นางไม่เคยยืนอยู่บนที่สูงเช่นนี้มาก่อน หลังจากเผลอไผลจนเกือบลื่นตกลงไปคราแรก นางก็ไม่กล้าขยับมั่วซั่วอีก ปล่อยให้เฟิงเจวี๋ยหร่านจับมือของตนเอง แม้กระทั่งแขนอีกข้างหนึ่งของเขาอ้อมมาด้านหลังแล้วประคองเอวของตนเองไว้นางยังไม่ตระหนักเลยสักนิด ยามนี้เกือบทั้งตัวของนางจึงฝังอยู่ในอ้อมอกของเขา
“ทำไม... ยังหนาวอยู่หรือ” เมื่อเห็นคนที่อยู่ในอ้อมอกยังตัวสั่นอยู่เล็กน้อย เฟิงเจวี๋ยหร่านจึงกระซิบถาม
“ค่อยยังชั่วแล้ว”
ในที่สุดโม่เสวี่ยถงก็รู้สึกอบอุ่น เมื่อเอนซบพิงร่างเขา นางััได้ถึงกระแสอบอุ่นที่ถ่ายทอดออกมาจากร่างกายของเขาแล้วโอบล้อมนางไว้ ความรู้สึกนั้นทำให้นางผ่อนคลาย ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่มือของนางก็ยังมีความร้อนส่งผ่านมา
มือที่เย็นเฉียบของนางค่อยๆ อุ่นขึ้น เสื้อคลุมที่ห่อหุ้มนางไว้ก็คืนความอบอุ่นให้อีกครั้ง รู้สึกสบายอย่างยิ่ง ดวงตาของนางช้อนขึ้นทอดมองไปยังสถานที่ห่างไกล แต่ไม่กล้ามองลงไปข้างล่าง นางไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าตนเองกลัวความสูง เมื่อครู่นางใแทบตาย นึกว่าจะตกลงไปเสียแล้ว ภาพทิวทัศน์รอบด้านพลันหมุนติ้วไปหมด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้