ความจริงแล้วนี่ก็เป็ครั้งแรกที่จวินหวงได้ฟังอุดมการณ์ของฉีอวิ๋น นางเองก็รู้สึกทึ่ง จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ ออกมา นางเชื่อมั่นเป็อย่างยิ่งว่าหากฉีอวิ๋นได้เป็ฮ่องเต้ เขาจะต้องเป็มหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถที่ได้บันทึกชื่อลงในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน
หลังจากที่สุราสามจอกลงท้องฉีอวิ๋นไปแล้ว หนานจี๋หานถึงค่อยๆ เอ่ยปากขึ้นด้วยท่าทางขึงขังจริงจัง "หวางเหย่มีอุดมการณ์แรงกล้าเช่นนี้ ผู้น้อยเลื่อมใส"
"ผู้น้อยก็เช่นเดียวกัน" ฉีอวิ๋นเหลือบตาขึ้นมองหนานจี๋หาน แล้วส่งสุราจอกหนึ่งให้ ตนเองก็ยกจอกสุราที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา หลังจากที่เขาผายมือเชื้อเชิญ เขาก็ดื่มสุราเข้าไปก่อน หนานจี๋หานเข้าใจอย่างชัดเจน เขาแหงนหน้ากระดกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจอก
จวินหวงที่นิ่งเงียบสงวนคำพูดมาโดยตลอดเห็นคนที่ขัดแย้งกันปรองดองกันได้ ก็ยิ้มรื่น "อันบ่อน้ำตื้นหาใช่ที่อยู่ของพญาัเยี่ยงองค์ชายทั้งสองพระองค์ เวลานี้หากทั้งสองพระองค์ร่วมมือกันอย่างแข็งขัน ก็จะสามารถเติมเต็มซึ่งกันและกันได้ กลายเป็มั่นคงยืนยาวนับพันปี"
ทั้งสองคนได้ยินคำกล่าวนั้นก็มองมาที่จวินหวง มองหน้ากันแล้วยิ้ม พลางยกสุราบนโต๊ะขึ้นมา จวินหวงก็ยกจอกสุราขึ้นมาเช่นเดียวกัน และในขณะนี้เอง จู่ๆ ก็มีเงาคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นที่นอกประตู หลังจากผ่านเหตุการณ์หลายอย่างต่อเนื่องใน่เวลาที่ผ่านมา สัญชาตญาณเตือนภัยในตัวของจวินหวงจึงค่อนข้างสูงกว่าปกติ นางบีบจอกเหล้า ดวงตาหรี่ลงคอยสังเกตทุกความเคลื่อนไหวของคนที่อยู่ด้านนอก เข็มพิษที่อยู่ในแขนเสื้อถูกเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ทันใดนั้นหนานสวินก็เคาะประตู พอได้ยินเสียงด้านในตอบรับถึงผลักประตูเดินเข้ามา แววตากระจ่างใสเยือกเย็นทำเหมือนกับคนเข้าห้องผิด แต่ก็คล้ายว่าจงใจจะทำเช่นนี้
จวินหวงมุ่นคิ้วสงสัยกับการปรากฏตัวกะทันหันของหนานสวิน อีกสองคนที่เหลือบสายตามามอง แต่หนานสวินกลับไม่รู้สึกว่าการที่จู่ๆ ตนเองก็ปรากฏขึ้นจะเป็เื่แปลกอะไร เพียงแต่มองจวินหวงอย่างอึ้งๆ บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
"ท่านมาได้อย่างไร?" ผ่านไปนานพอดู จวินหวงถึงถามขึ้นเนิบๆ
หนานสวินมองคนทั้งสามคนในห้อง เมื่อครู่เขาก็ได้ยินที่จวินหวงกล่าว เื่ที่หนานจี๋หานกับฉีเฉินร่วมเป็พันธมิตรกันเป็เื่ที่เขาคาดการณ์ไว้อยู่ในใจ แต่ไม่ได้ใส่ใจนัก
ในที่สุดเขาก็จากไปโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำให้คนที่อยู่ในห้องมึนงงหาสาเหตุไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน ฉีอวิ๋นสังเกตหนานสวินอยู่เงียบๆ หัวคิ้วมุ่นเป็เกลียวครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ
ขณะที่จวินหวงก้มหน้าครุ่นคิด ฉีอวิ๋นก็ลุกขึ้นยืนประสานมือคารวะแล้วกล่าวขึ้นว่า "เื่ในวันนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี จากนี้เป็ต้นไปผู้น้อยกับองค์ชายถือเป็คนในครอบครัวเดียวกันแล้ว ตอนนี้หากไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้นผู้น้อยต้องขอตัวก่อน" กล่าวจบก็เดินตรงออกไป
จวินหวงยังคงอึ้งกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหนานสวินอยู่ ตอนที่ฉีอวิ๋นจากไปนางจึงไม่ได้กล่าวอะไร กว่าที่นางจะรู้สึกตัวก็เห็นแต่หนานจี๋หานกำลังจ้องมองนางตาเขม็ง นางย่นหัวคิ้วเล็กน้อย
"ในเมื่อเป็เช่นนี้ ผู้น้อยก็ต้องขอตัวลาเช่นกัน" จวินหวงพูดจบก็ยืนขึ้น จัดแต่งแขนเสื้อหลวมกว้างที่มีรอยย่นอยู่ให้เรียบร้อย แล้วตัดสินใจจะเดินออกไป แต่กลับถูกหนานจี๋หานคว้าข้อมือไว้รวดเร็ว
นางรู้สึกเอือมระอาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะชอบคว้าข้อมือของผู้อื่นเสียเหลือเกิน ถ้าเป็เมื่อก่อนนางคงโมโหอาละวาดไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ได้ หลังจากผ่านการเจรจาในวันนี้ นางมองออกว่าหนานจี๋หานมีเจตนาช่วยเหลือฉีอวิ๋นอย่างแท้จริง หากได้ความช่วยเหลือจากเขา การที่ฉีอวิ๋นจะขึ้นเป็ฮ่องเต้ก็คงเหลือแต่เื่เวลาเพียงเท่านั้น
"ขอเรียนถามว่าองค์ชายยังมีเื่อันใดอีกหรือไม่?" จวินหวงดึงข้อมือตนเองกลับมาโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ หนานจี๋หานจึงเริ่มรู้ตัวว่าตนเองหุนหันพลันแล่นเกินไปอีกแล้ว จึงชักมือกลับอย่างรวดเร็วแล้วไอเบาๆ แก้เก้อ
"ได้ยินว่าอีกไม่กี่วันจะเป็วันไหว้พระขอพรที่วัดเป่ยฉี เปิ่นหวางไม่ชินทาง ไม่ทราบว่าคุณชายจะไปเป็เพื่อนได้หรือไม่?" หนานจี๋หนานพูดจบก็มองไปที่จวินหวงอย่างใจจดจ่อ หัวใจหดเกร็งไปหมด กลัวว่าจวินหวงจะปฏิเสธตนเอง
จวินหวงก้มหน้าครุ่นคิดเื่นี้ คิดไปแล้วตนเองก็ไม่ได้มีธุระอะไร อีกทั้งนางก็เป็คนรู้จักประเมินเหตุการณ์ จึงรู้ว่าไม่สามารถปฏิเสธได้จึงพยักหน้ารับ "เื่พาองค์ชายชื่นชมทิวทัศน์ของเป่ยฉีเป็สิ่งที่ผู้น้อยสมควรทำ ย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว"
หนานจี๋หานได้ยินเช่นนี้ดวงตาก็สว่างสดใสขึ้นมาทันที ราวกับเด็กน้อยที่ได้ลูกอมขนมหวานมากินเยี่ยงนั้น "เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้"
จวินหวงพยักหน้า มองออกไปบนท้องฟ้าด้านนอกก็รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปมากแล้ว จึงรีบเดินออกไป ระหว่างทางในใจก็ครุ่นคิดถึงสายตาของหนานสวินที่ไม่แน่ว่าดีหรือร้าย นางไม่รู้ว่าท่าทีของหนานสวินแท้จริงแล้ว้าบอกอะไรกันแน่
่นี้ฉีเฉินไม่ได้สืบเสาะเกี่ยวกับการติดต่อกันระหว่างจวินหวงกับหนานจี๋หานมากนัก เพราะเขานึกว่าจวินหวงคงจะดึงหนานจี๋หานเข้ามาเป็พวกเพื่อเสริมอำนาจบารมีให้ตนเองอยู่อย่างลับๆ ตอนนี้หนานกู่เยว่ก็เป็ชายาของตนเองแล้ว หนานจี๋หานก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ช่วยเหลือตนเอง ดังนั้นหลายวันมานี้แม้ว่าจวินหวงจะไปขลุกอยู่แต่กับหนานจี๋หาน ไปเช้ากลับดึกแค่ไหน ฉีเฉินก็ไม่เคยถามสักคำ มีเพียงแต่เรียกมาปรึกษาสถานการณ์ปัจจุบันเป็ครั้งคราว
...
ไม่นานนักวันเทศกาลงานวัดก็มาถึง หนานจี๋หานมารับจวินหวงด้วยตนเองแต่เช้า แต่จวินหวงเข้าไปคุยปรึกษางานกับฉีเฉิน ขณะที่นางออกมาก็เห็นหนานจี๋หานกำลังพูดคุยอยู่กับหนานกู่เยว่
ทันทีที่เห็นจวินหวงกับฉีเฉินเดินออกมาจากห้องหนังสือ เขาก็รีบเดินเข้ามาโดยไม่หลบเลี่ยงฉีเฉินเลยแม้แต่น้อย ยิ้มหัวอย่างอารมณ์ดี "วันนี้เป็วันเทศกาลงานวัด คุณชายยังจำที่นัดหมายกับข้าไว้เมื่อหลายวันก่อนได้หรือไม่?"
จวินหวงฟังแล้วก็คลี่ยิ้มบางๆ "ย่อมจำได้อยู่แล้ว"
ฉีเฉินมองจวินแล้ว แล้วก็มองหนานจี๋หาน เขาไม่เคยคิดถึงความสำเร็จใน่เวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ แต่ดูเหมือนว่าจวินหวงจะได้หัวใจของหนานจี๋หานมาแล้ว เขายิ้มอยู่ในใจแต่ก็ไม่เผยออกมาทางสีหน้า
"ในเมื่อพวกท่านมีนัดกัน เช่นนั้นก็ออกไปเร็วหน่อยเถิด ถ้าไปช้าคนจะเยอะ"
จวินหวงและหนานจี๋หานพยักหน้า ทั้งสองคนจึงออกจากจวนไป หนานจี๋หานได้ให้รถม้าของตนเองคอยอยู่ด้านนอกนานแล้ว เขาทำตัวไม่ค่อยเป็ธรรมชาติ ยื่นมือออกไปประคองจวินหวงขึ้นรถโดยไม่คาดคิด
จวินหวงรู้สึกแปลกๆ ในใจ แต่สีหน้ายังคงเรียบเฉยไม่แสดงอาการเหมือนเดิม มีเพียงยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้า แล้วก้าวเข้าไปในรถอย่างสบายๆ โดยยืมแรงมือของหนานจี๋หานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หนานจี๋หานยักคิ้วขึ้นไม่ได้กล่าวอะไรก็ตามขึ้นรถม้าไป
รถม้าค่อยๆ ขับไปบนถนนที่เจริญที่สุดของเมืองหลวง ประชาชนเมื่อเห็นรถม้าของพวกเขาวิ่งผ่านต่างก็ถอยออกไปที่ริมถนน จวินหวงหลุบตาลงคิดบางอย่างอยู่ในใจ วันนี้นางมุ่นผมเกล้าขึ้นเพียงครึ่งเดียว จึงมีความเป็สตรีอยู่หลายส่วน ชุดแพรต่วนที่สวมใส่แค่ดูก็รู้ว่าเป็ของล้ำค่าควรเมือง เห็นแล้วก็ดูออกว่าฉีเฉินให้ความสำคัญกับจวินหวงเพียงใด ไม่เพียงแต่ให้เสื้อผ้า อาหาร และที่พักที่ดีที่สุดเทียบเท่ากับตัวเขา แต่ยังมอบเว่ยเฉี่ยนคนที่ตนเองไว้ใจมากที่สุดให้กับจวินหวงอีกด้วย
กวานหยกขาวขับให้นางดูโดดเด่นเป็คุณชายผู้งามสง่า ใบหน้าขาวใสหมดจดดูเหมือนว่าจะดึงดูดให้คนไม่อาจละสายตาได้ หนานจี๋หานมองนางอย่างหลงใหล
ตอนที่จวินหวงรู้สึกตัวขึ้นอีกที รถม้าก็มาถึงด้านนอกของวัดแล้ว นางเงยหน้าขึ้นก็ไปชนกับสายตาของหนานจี๋หานเข้าพอดี คิ้วงามมุ่นเข้าทันที สายตาของหนานจี๋หานทำให้นางไม่ค่อยสบายใจเท่าไร หนานจี๋หานเองก็รู้สึกตัวแล้วว่าตนเองเสียมารยาท จึงไอเบาๆ ครั้งหนึ่งแล้วรีบเบนสายตาไปทางอื่น
"ถึงแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถอะ" หนานจี๋หานกล่าว
จวินหวงสะบัดมือคลี่พัดออกแล้วพยักหน้า ก้าวลงจากรถไปก่อน หนานจี๋หานรีบตามลงไปทันที
ไม่เสียทีที่เป็เทศกาลงานวัด คนในเมืองหลวงที่มีเวลาว่างจำนวนมากต่างก็มากันที่นี่ เสียงร้องเรียกเชื้อเชิญขายของดังจอแจ เสียงเด็กๆ หัวเราะวิ่งเล่นไล่จับ บ้างก็มายืนล้อมรอบลุงคนขายขนมน้ำตาลเคลือบน้ำลายไหลยืด บรรยากาศแบบนี้คงจะมีเพียงงานวัดกับเทศกาลปีใหม่เท่านั้น
จวินหวงไม่ค่อยได้มาในสถานที่ที่มีคนมากมายเช่นนี้ นางจึงดูคล้ายกับเทพเซียนที่อยู่ไกลจากควันไฟของโลกมนุษย์ ยิ่งได้มาอยู่ท่ามกลางสถานที่ที่พลุกพล่านบรรยากาศที่เต็มไปด้วยควันไฟแบบนี้ ก็ให้ความรู้สึกที่ดูสูงส่งเหนือกว่าราวกับว่าในอีกไม่นานจากนี้นางจะเหาะเหินเดินอากาศออกไปเยี่ยงนั้น หนานจี๋หานรู้สึกเช่นนี้ สายตาของเขายิ่งไม่อาจออกห่างจากจวินหวงได้เลย
"ไม่คิดว่าคุณชายจะมีอารมณ์สุนทรีเช่นนี้ด้วย" เสียงเย็นใสดังขึ้นฉับพลัน ดึงดูดผู้คนที่มาเที่ยวงานให้หันมามอง เมื่อเห็นว่าเป็หนานสวิน บรรดาหญิงสาววัยแรกแย้มต่างขวยเขินหน้าแดง ในดวงตาเต็มไปด้วยความหลงใหลปลาบปลื้ม
แต่ทั้งหมดนี้ในสายตาของหนานสวินแล้ว ไม่อาจเทียบกับสายตาที่ว้าวุ่นของจวินหวง ยามที่นางหันหน้ากลับมาหัวใจของเขาสั่นไหว ราวกับมีอะไรบางอย่างที่ดึงให้เขาก้าวเข้าไปหานาง
จวินหวงคลี่ยิ้มมองมาที่หนานสวิน แล้วก็เลิกคิ้วขึ้นถามด้วยความประหลาดใจ "ใครๆ ก็บอกว่าหวางเหย่มีงานรัดตัวมากมาย และไม่ชอบสถานที่คึกคักวุ่นวายแบบนี้ ไม่คิดว่าหวางเหย่จะมาที่นี่ด้วย"
หนานสวินฟังแล้วก็หัวเราะ หันไปมองหนานจี๋หานที่อยู่ด้านข้างแล้วประสานมือน้อมกายคำนับ ดวงตาของเขาเย็นเยียบขึ้นทันที ดวงตาคมปลาบทำให้หนานจี๋หานหนาวๆ ร้อนๆ เขาก็ไม่รู้ว่าตนเองไปล่วงเกินท่านอ๋องที่ไม่ใช่เชื้อสายของราชวงศ์ผู้นี้ั้แ่เมื่อไร ดูเหมือนว่าหนานสวินจะไม่ค่อยถูกชะตากับตนเอง
เมื่อสายตาไปชนเข้ากับดวงตาพญาเหยี่ยวของหนานสวิน เขาก็พลันนึกถึงกำปั้นของหนานสวินที่เหวี่ยงมากำนัลให้เขาโดยมิได้บอกกล่าว คิดๆ แล้วก็รู้สึกปวดเบ้าตาขึ้นมาเลาๆ
จวินหวงเห็นผู้คนที่มามุงดูยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็กล่าวขึ้นพลางถอนใจ "ถ้าหวางเหย่สะดวก จะมากับพวกเราก็ได้"
หนานสวินพยักหน้า เขาไล่ให้ทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งที่ตามหลังมาออกไป แล้วสะบัดชายแขนเสื้อเดินตามจวินหวงเข้าไปในวัด แล้วหาจังหวะที่เหมาะสมเข้าไปยืนแทรกกลางระหว่างจวินหวงกับหนานจี๋หาน กั้นหนานจี๋หานให้อยู่ด้านนอก เมื่อเห็นท่าทางจนใจทำอะไรไม่ได้ของหนานจี๋หาน ในใจของเขาก็รู้สึกมีความสุข
แม้ว่าหนานจี๋หานจะรู้สึกผิดหวังอย่างมาก แต่เขาจะทำอะไรได้? เวลานี้ตนเองเป็เพียงผู้อาศัยในเป่ยฉี หนานสวินเป็ถึงแม่ทัพผู้เลื่องชื่อ แล้วเชื้อสายราชวงศ์ที่ไม่ได้อยู่ในแคว้นของตนเองอย่างเขาจะไปสู้อะไรได้ คิดแล้วก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ
วัดแห่งนี้เป็วัดประจำราชวงศ์ อดีตฮ่องเต้ทรงนับถือพุทธศาสนา ทรงเชื่อว่าพระพุทธเ้ามีความเมตตากรุณา ผู้ที่มีแนวทางปฏิบัติชอบอยู่ในใจล้วนทำสิ่งที่ดีได้ พระองค์จึงเชิญพระเถระชั้นสูงจากที่อื่นมาและสร้างวัดแห่งนี้ขึ้น พระพุทธรูปปิดทองทั้งองค์เหลืองอร่ามที่อยู่ในวิหารดูราวกับมีชีวิต
แม้แต่ขั้นบันไดที่ดึงดูดผู้คนให้อยากจะขึ้นไปก็ทำมาจากหยกอุ่น บนหลังคาของวิหารก็มีสัตว์ในตำนาน เช่น กิเลน หงส์ เป็ต้น ดูราวกับจะดึงดูดเหล่าเทพเข้ามาอยู่ในโลกมนุษย์
แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกลับไม่นับถือพุทธศาสนา นอกจากงานเลี้ยงวันสถาปนาแคว้นที่เชิญเ้าอาวาสวัดไปเป็ประธานแล้ว ก็ไม่ค่อยจะมาัักับคนที่ไม่มีผมเหล่านี้เท่าใด และด้วยตอนนี้ใต้หล้าแบ่งเป็สามส่วน ราชกิจมีมากมาย ก็ไม่มีเวลาว่างจะมาฟังธรรมเทศนาที่วัด ไม่สู้ปล่อยให้พระองค์ไปตามทางจะดีกว่า
จวินหวงมายืนอยู่ในสถานที่แบบนี้ นางรู้สึกว่าแสงตะวันที่สาดส่องลงมายังพระพุทธรูปปิดทองเกิดเป็แสงสะท้อนเจิดจ้าเสียดแทงั์ตา หยกอุ่นที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ายิ่งทำให้รู้สึกวิงเวียน นี่คือความหรูหราที่ฟุ้งเฟ้อและฟุ่มเฟือยอย่างหาที่สุดไม่ได้ สถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ คิดว่าคงจะมีแต่ประมุขแห่งแว่นแคว้นเท่านั้นที่สามารถได้
"ฟุ่มเฟือย" ในที่สุดจวินหวงก็อดไม่ได้ต้องเอ่ยคำพูดนี้ออกมา
หนานสวินเอียงศีรษะหันมามองจวินหวง หัวเราะเบาๆ อย่างไร้เสียง ยังไม่ทันได้กล่าวอะไรก็ถูกหนานจี๋หานชิงพูดขึ้นมาก่อน "ก็ไม่เห็นจะมีอะไร ที่หนานมู่ก็มีวัดแบบนี้ หากคุณชายมีเวลาว่างไปเยือนหนานมู่ เปิ่นหวางในฐานะเ้าบ้านจะต้องต้อนรับเป็อย่างดี"
จวินหวงได้ยินดังนั้นก็เหลือบมองหนานจี๋หานแวบหนึ่ง เพียงชั่วพริบตาก็เลื่อนสายตาไปที่อื่น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า "พุทธะอยู่ในใจ หากทำนุบำรุงแต่ทางวัตถุเหล่านี้ ก็เป็ความอัปยศที่ทำลายแก่นแท้แห่งพุทธศาสนา ความยั่งยืนของสถานที่แห่งนี้ ยังเปรียบกับห้องโกโรโกโสเล็กๆ ในชนบทอันห่างไกลไม่ได้เลย"
จวินหวงพูดอย่างไม่ไว้หน้าไม่เหลือไมตรีเลยแม้แต่น้อย หนานสวินหัวเราะเยือกเย็นอยู่ในใจ แล้วรีบเดินตามจวินหวงไปคุยเื่สัพเพเหระกับจวินหวงไปเรื่อยๆ สีหน้าของหนานจี๋หานเต็มไปด้วยความอึดอัด ในหัวใจไร้ความหวานชื่น ในใจคิดว่าตนเองเป็คนชวนจวินหวงมาเที่ยวแท้ๆ ไม่คิดว่าจะถูกหนานสวินมาตัดหน้า่ชิงความโดดเด่นไปหมด ในใจรู้สึกอึดอัดกลัดกลุ้มยิ่งนัก
