ไม่มีผู้ใดในสกุลอวี๋ไม่รู้ว่าอวี๋ฉี่เจ๋อจะอายุไม่เกินยี่สิบปีสตรีแซ่จางกล่าวเช่นนี้เพราะอยากให้ซ่งชุนมีความหวังเท่านั้นนางเอ่ยพลางถอนหายใจว่า “จะต้องดีขึ้นแน่นอน”
สตรีแซ่ซ่งปาดน้ำตาที่ถูกควันไฟรมตามด้วยเอาข้าวใส่ลงในหม้อ
หลังจากหุงข้าวเสร็จเรียบร้อยสตรีแซ่ซ่งหยิบชามดินเผาสีดำออกมาหนึ่งใบตักข้าวใส่ถ้วยเล็กน้อยแล้วคีบกับข้าววางไว้้าชะโงกมองไปข้างนอกครู่หนึ่งก่อนจะตักข้าวอีกหนึ่งถ้วยอธิบายกับสตรีแซ่จางที่อยู่หน้าเตาไฟว่า “ข้าจะทำกับข้าวให้แม่นางผู้นั้นสักหน่อย”
สตรีแซ่จางถอนหายใจ “ยังคงเป็เ้าที่เปี่ยมเมตตา แม่นางเมิ่งผู้นั้นไม่ใช่คนดีอะไร หากเป็ข้าจะต้องเชื่อคำกล่าวของฮูหยินเฒ่า เอาเสื่อเก่าม้วนร่างไปโยนไว้บนเขาแล้ว”
“ถึงอย่างไรก็เป็ชีวิตคนผู้หนึ่ง” สตรีแซ่ซ่งคิดเพียงจะสั่งสมบุญให้มาก์จะได้เมตตาฉี่เจ๋อของนาง ทำให้ร่างกายของเขารีบหายดีในเร็ววัน
นางซ่อนชามข้าวไว้ในชายแขนเสื้อมืออีกหนึ่งข้างถือถ้วยอีกหนึ่งใบเดินออกไปข้างนอก
ฮูหยินเฒ่ากับสะใภ้สามยังคงสานกระบุงอยู่ในลานเรือนเมื่อเห็นซ่งชุนออกมาจากห้องหุงต้มและในมือถือถ้วยอาหารหนึ่งใบ เปลือกตาหย่อนยานพลันเลิกขึ้นสูงเอ่ยถามว่า “ทำกับข้าวเสร็จแล้วงั้นหรือ?”
ร่างของสตรีแซ่ซ่งชะงักค้างครู่หนึ่งรีบซ่อนถ้วยข้าวในชายแขนเสื้อเข้าไปข้างในอีกเล็กน้อย เอ่ยว่า “เสร็จแล้วเ้าค่ะ ข้าจะยกกับข้าวไปให้เมิ่งซานก่อนเ้าค่ะ”
ใบหน้าของฮูหยินเฒ่าฉายแววไม่พอใจนับั้แ่เ้ารองอวี๋เมิ่งซานตกเขาจนขาขาดทุกครั้งที่สตรีแซ่ซ่งทำอาหารมักจะตักไปให้เขาก่อนเสมอไม่เห็นผู้าุโเช่นพวกนางอยู่ในสายตา แต่เพราะนายท่านอนุญาตฮูหยินเฒ่าจึงไม่อาจบันดาลโทสะได้
เมื่อสตรีแซ่ซ่งพบว่าฮูหยินเฒ่ามีสีหน้าไม่พอใจนางจึงรีบหันหลังเดินไปทางเรือนฝั่งตะวันออกเพราะกลัวจะถูกฮูหยินเฒ่ารู้ว่านางตักกับข้าวมาสองถ้วยไม่เช่นนั้นคงได้เกิดมรสุมครั้งใหญ่อย่างแน่นอน แท้จริงแล้วนางคือแม่เลี้ยงในหมู่บ้านต่างบอกว่าผู้แซ่อวี๋โจว[1]จิตใจเปี่ยมเมตตา ปฏิบัติต่อบุตรชายทั้งสองที่ภรรยาคนก่อนของตระกูลอวี๋ทิ้งเอาไว้ประดุจบุตรในไส้ของตนแต่เื่จริงภายในจวนนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นไรมีเพียงคนในตระกูลอวี๋ของพวกเขาเท่านั้นที่รู้
เมื่อกลับมาในห้องสตรีแซ่ซ่งวางชามข้าวลงบนโต๊ะเล็ก เอ่ยกับอวี๋เมิ่งซานว่า “ท่านแม่ยังอยู่ในลานเรือน อีกประเดี๋ยวข้าค่อยเอากับข้าวที่ตักมาเผื่อแม่นางเมิ่งไปส่ง”
กล่าวจบเดินไปร้องเรียกอวี๋ฉี่เจ๋อที่อยู่ข้างในให้ไปกินข้าวที่ห้องโถงกลางส่วนตนคอยปรนนิบัติอวี๋เมิ่งซานทานอาหาร
อวี๋เมิ่งซานส่ายหน้ารับถ้วยมาจากมือของสตรีแซ่ซ่ง “ข้าแค่เสียขาเท่านั้นมือไม่ได้เป็อะไร เ้าก็รีบไปกินข้าวเถิด”
เขาสงสารภรรยาที่ต้องคอยดูแลเขาในหลายวันมานี้จนไม่ได้กินข้าวให้อิ่มท้องสักมื้อ
ข้าวสารที่เหลืออยู่ภายในเรือนจะต้องเก็บไว้กินจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวเมื่อหลายวันก่อนยังนำไปแลกเมล็ดข้าวสาลีเพื่อเพาะปลูก ดังนั้นเหลือข้าวอยู่ไม่มากนักทุกๆ วันต้องคำนวณปริมาณอย่างรอบคอบว่าต้องใช้ข้าวสารทำอาหารมากน้อยเพียงใดข้าวของตระกูลอวี๋ล้วนเก็บเอาไว้ให้บุรุษตระกูลอวี๋ที่ต้องทำงานเป็สำคัญพวกสตรีกินเพียงหนึ่งถ้วยเล็กเท่านั้น หากไปช้าจะไม่มีข้าวเหลือเหลือเพียงข้าวตังแห้งจำนวนหนึ่งเท่านั้น
สตรีแซ่ซ่งรู้ว่าสามีคิดอะไรภายในใจรู้สึกได้รับการบำรุงขวัญยกยิ้มพลางส่งตะเกียบให้อวี๋เมิ่งซานก่อนจะมุ่งหน้าไปยังโถงกลาง
บนโต๊ะอาหารฮูหยินเฒ่าชำเลืองสายตามองสตรีแซ่ซ่งและอวี๋ฉี่เจ๋อ เพียงแต่อารมณ์ไม่ดีเป็พิเศษเดิมทีทุกอย่างในครอบครัวใหญ่ปกติดีแต่เหตุใดครอบครัวรองถึงมีปัญหามากมายเยอะที่สุดยังมีหม้อต้มยาจีนที่เปลืองเงินไม่ขาดสายนอกจากนั้นอวี๋เมิ่งซานยังถูกสัตว์ร้ายกัดจนขาขาด เหลือเพียงบุตรสาวอีกสองคนจะไปใช้แรงงานได้อย่างไรไม่เท่ากับตระกูลรองกลายเป็ภาระของคนทั้งตระกูลในภายหน้าอย่างงั้นหรือ
ฮูหยินเฒ่าอวี๋รู้สึกอยุติธรรมแทนบุตรชายคนที่สามของตนแต่กลับไม่อาจบันดาลโทสะได้ ไม่เช่นนั้นคงเท่ากับแสดงออกชัดเจนว่าภรรยาผู้มาทีหลังปฏิบัติไม่ดีต่อบุตรชายทั้งสองที่ฮูหยินคนแรกทิ้งเอาไว้
นางทำได้เพียงใช้เมิ่งอวี๋เจียวเป็ข้ออ้างหลังจากกินข้าวเสร็จ ฮูหยินเฒ่าวางถ้วยลง เปิดเปลือกตาขึ้นเอ่ยพลางมองไปทางสตรีแซ่ซ่ง “คืนนี้ให้เอาตัวคนไร้ยางอายจากสกุลเมิ่งผู้นั้นไปโยนไว้บนเขาเื่จะได้ไม่แพร่งพรายออกไปจนทำให้สกุลอวี๋ของพวกเราเสียหน้าเ้าสี่เป็ผู้ที่กำลังจะลงสอบขุนนางไม่อาจให้เื่อะไรมาทำลายชื่อเสียงของเขาได้”
สตรีแซ่ซ่งใบหน้าซีดเผือดเล็กน้อยกลืนอาหารไม่ลง เอ่ยเสียงแ่เบาว่า “ท่านแม่แม่นางเมิ่งฟื้นแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็ชีวิตคนผู้หนึ่งดีที่นาง...นางไม่ได้ทำเื่ออกนอกลู่นอกทางจริงๆการช่วยชีวิตคนได้บุญเสียยิ่งกว่าการสร้างพระเจดีย์เจ็ดยอดไว้ชีวิตนางเพื่อถือเสียว่าสั่งสมบุญเถิดนะเ้าคะ”
ฮูหยินเฒ่าโยนตะเกียบลงบนโต๊ะสตรีแซ่ซ่งหวาดกลัวจนตัวสั่น
“เ้าช่างวาจากล้าหาญนัก เพื่อให้ครอบครัวรองของพวกเ้าสั่งสมบุญบารมีจะปล่อยให้เ้าสี่ถูกสาดน้ำสกปรก ไม่แยแสกระทั่งอนาคตของเขาอย่างนั้นหรือ?”ฮูหยินเฒ่าเอ่ยด้วยความโมโหยิ่งนัก
สะใภ้สามแซ่จ้าวรับ่ต่อเอ่ยเย้ยหยันเสียงเย็นว่า “พี่สะใภ้รอง ท่านเห็นแก่ตัวเกินไปแล้วกระมังท่านอยากจะเก็บตัวซวยสกุลเมิ่งผู้นั้นเอาไว้แล้วปล่อยให้นางปีนขึ้นเตียงของจิ่นเหยียนอีกงั้นหรือ?ครอบครัวรองของท่านอยากเสริมมงคลแต่ได้ตัวอัปมงคลเช่นนี้กลับมายังจะเก็บเอาไว้ให้ผู้ใดต้องสะอิดสะเอียนอีก?”
สตรีแซ่ซ่งโมโหจนหน้าแดงเอ่ยโต้แย้งว่า “น้องสะใภ้สามวาจาเช่นนี้ของเ้าใจดำเกินไปหน่อยแล้ว ข้าไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเ้าสี่แม้แต่นิดรอกระทั่งแม่นางเมิ่งหายดี ข้าค่อยไล่นางออกไปเป็พอ”
ครั้นได้ยินคำว่าเสริมมงคลในที่สุดนายท่านที่เอาแต่ดื่มชาอย่างเอ้อระเหย หูทั้งสองข้างไม่ใส่ใจฟังเื่ภายนอกก็มีท่าทีตอบสนองเมื่อหลายวันก่อนอวี๋เมิ่งซานตกเขาจนขาขาดเขาคิดว่าโชคชะตาของครอบครัวรองไม่ดีนักจึงเสนอให้เสริมมงคลคิดอยากจะขจัดเสนียดจัญไรให้ครอบครัวรอง
เขากระแอมไอออกมาแล้ววางมาดเช่นผู้นำตระกูล “ทะเลาะอะไรกัน!”
สตรีแซ่ซ่งรีบเงียบเสียงหวังว่าภายในใจของนายท่านจะยังมีความเมตตาอยู่บ้างสามารถละเว้นชีวิตแม่นางสกุลเมิ่ง
“มารดาของพวกเ้าพูดถูก คนสกุลเมิ่งผู้นั้นคือตัวซวยกล้าทำเื่ไร้ยางอายเช่นนั้น หากเป็สตรีทั่วไปควรจะจับนางใส่กรงหมูถ่วงน้ำให้สิ้นเื่ไปั้แ่แรก แต่เื่นี้เกี่ยวโยงถึงชื่อเสียงของเ้าสี่ไม่อาจให้ผู้อื่นล่วงรู้ มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าจะถูกติฉินนินทาเช่นไร!” นายท่านลั่นวาจาเป็คำตัดสินสุดท้าย “เอาไปโยนไว้บนเขาแล้วปล่อยให้ชีวิตนางเป็ไปตามเวรตามกรรมไม่ถือว่าตระกูลอวี๋ของพวกเราทำร้ายผู้อื่น”
“แต่ท่านพ่อ...” สตรีแซ่ซ่งยังอยากจะขอความเมตตาแทนแม่นางเมิ่งนายท่านอวี๋ปรายตามองด้วยสายตาเ็า เอ่ยพลางขมวดคิ้ว “สะใภ้รองเ้าเป็คนเคารพและเชื่อฟังคนมาโดยตลอด อย่าได้เถียงท่านแม่ของเ้าอีกนางทำไปก็เพื่อครอบครัวรองของพวกเ้า”
สตรีแซ่ซ่งทำได้เพียงกลืนวาจาที่ยังกล่าวไม่จบลงไปนางไม่อาจแบกรับคำตำหนิว่าอกตัญญูต่อบิดามารดาเช่นนี้ได้
อวี๋ฉี่เจ๋อผู้ไม่เอ่ยสิ่งใดและก้มหน้าก้มตาทานอาหารั้แ่ต้นจนจบวางถ้วยกับตะเกียบลงทันใดดวงตาใสกระจ่างมองไปทางนายท่าน เอ่ยออกมาอย่างเชื่องช้า “ให้นางอยู่ต่อไปเถิด ข้าคิดว่าระยะหลังมานี้ร่างกายดีขึ้นบ้างบางทีสารทฤดูปีหน้าอาจสามารถลงสอบได้ขอรับ”
นายท่านตกตะลึงเพราะถึงอย่างไรก็ตามั้แ่เขาเสนอให้เสริมมงคลจนกระทั่งซื้อตัวหายนะสกุลเมิ่งเข้ามาเ้าห้าเอาแต่เ็าหมางเมินมาโดยตลอด ไม่เคยเห็นว่าเขาจะใกล้ชิดกับแม่นางเมิ่งเหตุใดยามนี้ถึงเอ่ยปากพูดแทนตัวหายนะผู้นั้น?
เขามองพิจารณาไปทางหลานคนสุดท้องลำดับที่ห้าผู้อายุสั้นแต่กลับฉลาดหลักแหลมและมีความสามารถโดดเด่น เอ่ยถามว่า “จริงหรือ?”
ใบหน้างามขาวซีดของอวี๋ฉี่เจ๋อปราศจากความรู้สึกใดๆทว่าสายตากลับเยือกเย็นไร้กังวล เขาพยักหน้าเบาๆ
สะใภ้สามร้องโวยวายขึ้นมา “เ้าห้าอย่าได้พูดจาเหลวไหล เพื่อคนอัปมงคลเช่นนั้นนึกไม่ถึงว่าเ้าจะกล้าเอาสุขภาพของตนมาพูดปดเช่นนี้มีผู้ใดไม่รู้ถึงสภาพร่างกายของเ้าบ้าง? จะดีขึ้นได้อย่างไร...”
อวี๋ฉี่เจ๋อมองไปทางสตรีแซ่จ้าวดวงตาดังดอกท้อฉายแววเยือกเย็นดุจสายน้ำ ทั้งๆที่เป็ชายหนุ่มอ่อนแอไม่อาจต้านแรงลมเพราะอาการป่วยแต่กลับมีกลิ่นอายสุขุมน่าหวาดกลัว
เสียงของสตรีแซ่จ้าวอ่อนลงวาจาที่เหลือล้วนถูกกลืนลงท้องไปเสียแล้ว
เชิงอรรถ
[1] ในสมัยก่อน หลังสตรีออกเรือนมักถูกเรียกโดยการใช้แซ่ของสามีนำหน้าตามหลังด้วยแซ่เดิมของตน