เนื่องจากสองวันมานี้ฮูหยินเยี่ยนโชคไม่ดีนักในบ่อนไพ่ รวมแล้วเจ็ดส่วนแปดส่วนก็ดูเหมือนจะแพ้หมดทั้งกระดาน ประเด็นสำคัญก็คือนางบอกว่าเอาเงินโลงศพ [1] ของตนลงเดิมพันไปแล้ว ดังนั้น ฮูหยินเยี่ยนที่มุ่งหมายจะพลิกเอาชนะ จึงได้นัดชุมนุมเหล่าสหายวงไพ่คุณหนูคุณนายทั้งหลาย และหมกมุ่นอยู่กับการเล่นไพ่ทุกวันตลอดทั้งกลางวันกลางคืน กระทั่งไม่มีใจจะไปกินไปเที่ยวไหนแล้ว...
ด้วยประการฉะนี้ บ่อนจวนเยี่ยนจึงมักจะเริ่มหลังตะวันคล้อยลับฟ้า และเปิดจนถึงยามบ่ายของทุกวัน ยามนี้ฮูหยินเยี่ยนกำลังตาลุกเป็ไฟอยู่ท่ามกลางวงไพ่ เพิ่งจะชนะได้มานิดหน่อยก็กลับถูกสวี่ชิวเยวี่ยดึงเอาไว้เสียได้
“เอ๊ะ? ชิวเยวี่ย เ้ามานี่ได้อย่างไร... หนึ่งเหรียญๆ !” [2] ฮูหยินเยี่ยนจั่วไพ่พักไพ่ไปด้วย ยังต้องหันมาสนใจพูดคุยกับสวี่ชิวเยวี่ยไปด้วย สวี่ชิวเยวี่ยในใจกระวนกระวาย หากยังไม่รีบสักหน่อย เยวี่ยเจาหรานก็ไม่รู้ว่าหนีไปไหนต่อไหนแล้ว เช่นนั้นจะไม่เป็ตะกร้าไผ่ตักน้ำได้แต่ความว่างเปล่า [3] ไม่เหลืออะไรเลยหรอกหรือ?!
สวี่ชิวเยวี่ยช่วยฮูหยินเยี่ยนเอาไพ่หนึ่งเหรียญในมือโยนออกไป พลางขมวดคิ้ว เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่าลำบากใจไม่น้อย “ท่านป้า... ท่าน... ท่านออกมาสักประเดี๋ยวเถิดเ้าค่ะ...” เหตุผลที่นางไม่บอกฮูหยินเยี่ยนโดยตรง เพราะสวี่ชิวเยวี่ยเองก็มีความคิดของตัวเองอยู่บ้าง ถึงอย่างไรที่ตรงนี้ก็ไม่ได้มีแค่ฮูหยินเยี่ยนคนเดียว คนที่จับตามองอยู่ยังมีฮูหยินผู้สูงศักดิ์อีกไม่น้อย หากสร้างความประทับใจแย่ๆ ให้กับพวกนางตรงนี้ ต่อไปภายหลังหากคิดจะยกฐานะตนขึ้นมาจะไม่ยิ่งยากเย็นหรอกหรือ?
ยิ่งกว่านั้นเท่าที่สวี่ชิวเยวี่ยรู้ ฮูหยินตระกูลขุนนางสามคนที่อยู่ที่นี่ในวันนี้ อย่างน้อยๆ สองคนก็มองตนไม่เจริญตาเท่าไรนัก ส่วนอีกคนคิดเช่นไรนั้น ตนเองก็ไม่แน่ชัดเหมือนกัน ทว่าด้วยความรู้ความเข้าใจตามปกติของพวกนาง การปฏิบัติต่อเด็กสาวสามัญชนที่มาจากตระกูลเล็กๆ นั้น จะไปมีสีหน้าดีๆ ได้อย่างไร?
ยามนี้ฮูหยินเยี่ยนปลีกตัวออกไปลำบากจริงๆ นางได้แต่ลงไพ่ไปพลาง เอ่ยตอบรับไปพลาง “แล้วนี่เป็อะไรไปล่ะ? หกเหรียญ... อ๊ะ ไม่สิ เ้ามีเื่คับข้องใจอันใดก็บอกกับป้ามาได้เลย ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล... ออกไพ่ๆ !”
เมื่อเห็นท่าทางที่ยุ่งอยู่เช่นนั้นของฮูหยินเยี่ยน สวี่ชิวเยวี่ยเองก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา เป็ฮูหยินแม่ทัพผู้เอาจริงเอาจังแท้ๆ เหตุใดจึงหมกมุ่นอยู่กับเงินในการเล่นไพ่เช่นนี้เล่า? ว่าไปแล้วฮูหยินเยี่ยนก็ไม่ใช่คนที่จะขาดแคลนเงินไม่กี่ร้อยตำลึงนั่นเสียหน่อย คงเป็เพราะศักดิ์ศรี ถึงได้ง่วนอยู่กับความคิดว่าตนจะเป็ผู้ที่เก่งที่สุดในทุกๆ ด้านอยู่เช่นนี้
เมื่อสวี่ชิวเยวี่ยเห็นสภาพการณ์ปัจจุบัน คิดดูแล้วคงเป็การยากที่จะพาตัวฮูหยินเยี่ยนออกมาจากวงไพ่ที่ทั้งฉุดรั้งและตอกตรึงแห่งนี้ไปได้ นางจึงได้แต่ย่อตัวลง แล้วเอ่ยกระซิบที่ข้างหูของฮูหยินเยี่ยน “เปี่ยวเกออวิ๋นเฟยฟื้นแล้วเ้าค่ะ... แถม... แถมยังพาพี่สะใภ้หนีไปจากศาลบรรพชนแล้วด้วย...”
“อะไรนะ!” ฮูหยินเยี่ยนหัวชี้ขึ้นมากะทันหัน ทำเอาสวี่ชิวเยวี่ยใจนสะดุ้งเฮือก ตะลึงงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำให้ฮูหยินเยี่ยนโมโหจนหัวชี้นั้นไม่ใช่ข่าวที่ตนนำมา แต่เป็เพราะฮูหยินจ้าวที่อยู่ตรงข้ามฮูหยินเยี่ยนได้จั่วน็อค [4] อีกแล้ว เสียเป็เท่าตัว ฮูหยินเยี่ยนแพ้เสียไปกว่าสามร้อยตำลึงอีกครั้ง
ใบหน้าของสวี่ชิวเยวี่ยเผยความกระอักกระอ่วน ฮูหยินเยี่ยนโยนตั๋วเงินลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยอย่างเ็า “วันนี้โชคไม่ดีเลยจริงๆ กี่รอบเ้าก็ชนะตลอด ไม่เล่นแล้ว ไม่เล่นแล้ว! น่าโมโหจริง!” เอ่ยจบก็ยกมือขึ้นทาบอก ท่าทางราวกับว่าเป็สะใภ้ตัวน้อยๆ ที่ไม่ได้รับความเป็ธรรมอย่างยิ่ง
“อ้อ จริงสิ...” ฮูหยินเยี่ยนถือชาเอาไว้ถ้วยหนึ่ง ขยับโยกไปมาในมือ แล้วถึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าสวี่ชิวเยวี่ยมาหาได้สักพักแล้ว “ชิวเยวี่ยมาหาข้า เพราะมีเื่อยากจะบอกใช่หรือไม่? นั่งสิ นั่งลงพูด...” พูดพร้อมกับเรียกให้สวี่ชิวเยวี่ยนั่งลง ไม่มีทางเลือก สวี่ชิวเยวี่ยจึงได้แต่นั่งลงอย่างเชื่อฟัง แล้วเล่าสถานการณ์ที่ตน้าจะบอกให้นางฟังใหม่อีกรอบ
“ได้ยินว่าท่านลงโทษพี่สะใภ้ให้ไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชน ข้าก็แค่อยากจะเข้าไปดูสถานการณ์ของนางสักหน่อยว่าไม่ได้มีเหตุขัดข้องอันใด ไม่คิดว่าเพียงเพิ่งจะไปถึงศาลบรรพชน ก็เห็น...” สวี่ชิวเยวี่ยกดเสียงเบา ดูราวกับว่าเห็นแก่หน้าตาของตระกูลเยี่ยนอย่างยิ่ง “พอข้าไปถึง ก็เห็นเปี่ยวเกอกำลังเจรจากับคนที่เฝ้ายามให้กับพี่สะใภ้อยู่เ้าค่ะ ทว่าอย่างไรก็เป็คำสั่งของท่านป้า แม้จะเห็นว่าเป็เปี่ยวเกอ แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยคนไปง่ายๆ ไม่นึกว่าพี่สะใภ้จะร้อนใจขึ้นมา สองฝ่ายจึงเอะอะทะเลาะกันดูไม่งามยิ่ง”
ได้ยินสวี่ชิวเยวี่ยพร่ำรำพันใส่สีตีไข่เช่นนั้น สีหน้าของฮูหยินเยี่ยนที่เดิมทีก็คิ้วขมวดย่นเป็ปมอยู่แล้วก็ยิ่งดูไม่ได้เข้าไปอีก โดยไม่พูดไม่จา นางก็วางถ้วยชาในมือลง สองมือทับซ้อนกันบนหัวเข่า นิ่งงันไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดแม้แต่คำเดียว
เมื่อรู้ผลลัพธ์ของคำพูดใส่สีตีไข่ ราดน้ำมันเข้ากองไฟของตนแล้ว สวี่ชิวเยวี่ยย่อมต้องเร่งไล่กระชั้นเข้าไป นางเติมเชื้อไฟอย่างดีที่สุดเข้าไปเรื่อยๆ หวังเผาเยวี่ยเยียนหรานให้ตายในรวดเดียว ถึงจะเป็ผลลัพธ์ที่สวี่ชิวเยวี่ยอยากเห็นที่สุด!
“ชิวเยวี่ยเห็นว่าทุกคนล้วนเป็คนบ้านเดียวกัน ทะเลาะเบาะแว้งกันดูไม่งาม จะไม่เป็การเสื่อมเสียชื่อเสียงของเปี่ยวเกอและพี่สะใภ้หรอกหรือ? บังเอิญว่าตัวข้าก็อยู่ที่ตรงนั้นพอดี แม้คำพูดของคนต้อยต่ำนั้นไม่มีน้ำหนัก ไม่อาจทำอะไรได้ แต่อย่างไรข้าก็ไม่ควรนั่งมองอยู่เฉยๆ ทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นได้หรอกเ้าค่ะ ข้าจึงเดินเข้าไปเอ่ยเกลี้ยกล่อมเล็กน้อย...”
พูดถึงตรงนี้ สวี่ชิวเยวี่ยก็เริ่มแสดงท่าทางว่าน้ำตาไหลพราก แล้วยกมือใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหางตาที่เดิมทีก็ไม่ได้มีน้ำตาอยู่แล้ว ทั้งยังส่งเสียงสะอึกสะอื้นอย่างน่าเวทนา “แต่ใครเล่าจะรู้... พี่สะใภ้ พี่สะใภ้รังเกียจว่าชิวเยวี่ยปากมาก ไม่นึกว่านางจะชี้หน้าต่อว่าชิวเยวี่ย...”
“ว่าชิวเยวี่ยเป็แค่คนนอกมาจากต่างบ้านต่างถิ่น ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเื่พวกนี้ ชิวเยวี่ยรู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์ แต่ชิวเยวี่ยก็ไม่ได้มีเจตนามุ่งร้ายนี่เ้าคะ... ก็ ก็แค่อยากจะเกลี้ยกล่อมสักหน่อยเท่านั้นเอง...” สวี่ชิวเยวี่ยเอ่ยอย่างคับข้องไม่ได้รับความเป็ธรรมเหลือคณา และก็ได้หลั่งน้ำตาออกมาสองหยดจริงๆ “ชิวเยวี่ยอับจนหนทาง ได้แต่มองเปี่ยวเกอลากสังขารอันป่วยไข้ พาพี่สะใภ้หนีไป... ชิวเยวี่ยรู้ว่าตนไม่สมควรจะพูดอะไรมาก แต่เหตุการณ์นี้ ถึงอย่างไรก็ต้องมาบอกกล่าวท่านป้าสักคำ จึงจะถูกต้องตามกฎระเบียบใช่หรือไม่เ้าคะ?”
เมื่อเอ่ยไปเช่นนั้น สวี่ชิวเยวี่ยก็จับลงบนข้อมือของฮูหยินเยี่ยนเบาๆ พลางหลั่งน้ำตาดั่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝน [5] ทำให้ฮูหยินเยี่ยนรู้สึกสงสารจับใจ ยกมือขึ้นตบลงบนโต๊ะทีหนึ่ง “ช่างบังอาจนัก! นึกว่ามีอวิ๋นเฟยคอยหนุนหลังแล้วทุกอย่างราบรื่นสมปรารถนาหรืออย่างไร? แม้แต่คำสั่งของข้าก็กล้าเมินเฉย ข้าอยากจะเห็นนักว่านี่คือกฎระเบียบของตระกูลเยวี่ยใช่หรือไม่!”
สวี่ชิวเยวี่ยรู้ว่าฮูหยินเยี่ยนพูดเช่นนี้แสดงว่านางกำลังเดือดดาลแล้ว ริมฝีปากก็พลันยกรอยยิ้มที่ยากจะอ่านอารมณ์ขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว แม้จะไม่ได้แสดงกิริยาใดอื่น แต่ก็เอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมอีกครั้ง “ท่านป้า ท่านอย่าร้อนใจเลยเ้าค่ะ บางทีเปี่ยวเกอและพี่สะใภ้อาจมีอะไรที่ไม่อาจพูดออกมา ไม่แน่นะเ้าคะ... หากท่านไปด้วยความโมโหเดือดดาลเช่นนี้ ชิวเยวี่ยกลัว… กลัวว่าพวกเขาจะยิ่งโกรธเคืองนะเ้าคะ ท่านป้า...”
“โกรธเคือง?! เฮอะ! ข้าก็อยากจะดูซิว่าพวกเขาจะกล้าวางท่ากับข้าหรือไม่ จวนเยี่ยนแห่งนี้ยังจะมีกฎระเบียบอยู่อีกหรือไม่!” ฮูหยินเยี่ยนนั้นแพ้แล้วแพ้อีกในวงไพ่ พ่ายแพ้จนอารมณ์ของนางย่ำแย่ยิ่งนัก ประจวบกับสวี่ชิวเยวี่ยช่างเลือกเวลาเหมาะเจาะ ยามนี้ย่อมต้องสุมเพลิงให้ลุกโชนจนแทบจะเผาคนตายได้
ฮูหยินเยี่ยนลุกยืนขึ้นมา ยังคงส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเ็า แล้วจึงยกมือขึ้นจัดเสื้อผ้าของตนเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเอ่ยกับสวี่ชิวเยวี่ย “วันนี้ข้าอยากจะเห็นนัก ว่าเยวี่ยเยียนหรานผู้นั้น กับข้าที่เป็มารดาแท้ๆ ที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูมา ใครจะสำคัญกว่ากัน! เฮอะ!”
เอ่ยดังนั้น นางก็ดึงสวี่ชิวเยวี่ยเดินออกไปด้วยกัน
เชิงอรรถ
[1] เงินโลงศพ (棺材本) หมายถึงเงินที่ใช้เลี้ยงชีพยามแก่เฒ่าและจัดงานศพ
[2] ไพ่เหรียญ หรือ หิน (筒) เป็หนึ่งในหน้าไพ่นกกระจอกที่มีรูปทรงกลมที่เป็ตัวแทนเหรียญในแต่ละตัว มี่ั้แ่หนึ่งถึงเก้า รูปทรงกลม
[3] ตะกร้าไผ่ตักน้ำได้แต่ความว่างเปล่า (竹篮打水一场空) หมายถึงการกระทำที่เหนื่อยเปล่า ไร้ประโยชน์
[4] จั่วน็อค (自摸) คำศัพท์เฉพาะของการเล่นไพ่นกกระจอก คือเมื่อไพ่ในมือมีครบชุดแล้วแต่ยังขาดอยู่ 1 ตัวเท่านั้น และโชคดีจั่วได้ตัวที่้าพอดี จะสามารถน๊อคไพ่ (การที่มีไพ่ในมือครบชุดพอดี) ได้โดยใช้คำสั่ง 自摸 หากเป็เกมที่เล่นแบบ 4 คนก็จะได้กินรอบโต๊ะ
[5] ดอกสาลี่ต้องหยาดฝน (梨花带雨) เปรียบเทียบถึงใบหน้าของสตรีที่แม้ร้องไห้ก็ยังดูงดงาม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้