บทที่ 10 ข้าวต้มน้ำทิพย์
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดของเด็กน้อย ต่างก็มองหน้ากันและส่ายหัวในคำพูดจาเหลวไหลของน้องเล็ก แล้วะเิหัวเราะออกมาพร้อมกัน ความตึงเครียดและความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวัน พลันมลายหายไปในพริบตา
“เจียวเจียวของพวกเรานี่ช่างพูดจาน่ารักน่าชังเสียจริง!” พี่ชายคนโตยิ้มกว้าง ลูบศีรษะเล็กๆ ของน้องสาวด้วยความเอ็นดู
“ใช่แล้ว เ้าตัวเล็กนี่ ยิ่งโตยิ่งฉลาด” พี่สาวรองเสริม พลางยิ้มอย่างอ่อนโยน
กลิ่นหอมประหลาดนั้นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ลอยละล่องไปไกลจนถึงค่ายพักแรมของไป๋เจิ้งและไป๋จ้านที่ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่ง สองพี่น้องพลันชะงักมือที่กำลังคนข้าวต้มจืดในหม้อ พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังกลุ่มคนที่ล้อมวงอย่างอบอุ่นฝั่งตรงข้าม แววตาฉายแววริษยาอย่างปิดไม่มิด ก่อนที่ไป๋เจิ้งจะแสยะยิ้มเหยียด พลางเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“ฮึ! คนมากขนาดนั้น ยังทำอาหารประโคมเครื่องปรุงรสโอชะเสียยกใหญ่ กลิ่นถึงได้หอมฟุ้งเตะจมูกมาถึงนี่ ข้าว่านะ ไม่ต้องรอให้ถึงชายแดนหรอก เงินทองของพวกมันคงหมดไปกับค่าเครื่องเทศก่อนเป็แน่!”
น้ำเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันและดูแคลน ราวกับลืมสิ้นว่าครั้งหนึ่ง ครอบครัวของไป๋หรงเฉินเคยโอบอุ้มจุนเจือพวกเขามาเพียงใด ความอกตัญญูและความริษยาบดบังจิตใจจนมืดมิด
ไป๋อวี้เจียวที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก ได้ยินทุกคำที่ท่านอาใจแคบเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน นางเงยหน้าขึ้น หันไปทางต้นเสียง พลางส่งยิ้มหวานหยดย้อยไปให้ แต่ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้น กลับดังสนั่นไปทั่วทว่าแฝงไว้ด้วยความคมกริบดุจมีดดาบ
“ข้าวของพวกข้าจะพอกินหรือไม่ คงมิบังอาจรบกวนให้ท่านอาทั้งสองยื่นหน้าเข้ามาสอดรู้สอดเห็นกระมังเ้าคะ!”
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงใสกระจ่าง แต่ทว่าทุกคำกลับเชือดเฉือนหัวใจคนฟัง
“พวกท่านโปรดดูแลปากท้องของครอบครัวท่านเองเถิด ส่วนพวกเรา… ตระกูลไป๋สาขาใหญ่ ย่อมดูแลตัวเองได้ดีกว่าท่านเป็ไหนๆ!”
“ไป๋อวี้เจียว!” หยางหลิงเย่วปรามลูกเสียงเข้ม น้ำเสียงนั้นทั้งดุและตำหนิ
“ลูกพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร! ถึงอย่างไรท่านก็เป็อาของเ้านะ!” ในใจของนางร้อนรุ่ม แม้จะรู้ว่าลูกสาวพูดถูกทุกประการ แต่คำพูดที่เชือดเฉือนเช่นนั้น ก็ทำให้คนเป็มารดาอดตำหนิไม่ได้ไป๋อวี้เจียวทำคอหดเล็กน้อยก่อนจะหันมายิ้มให้ทุกคนอีกครั้ง
“ฮึ่ม! ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ! "
ไป๋จ้านโมโหมือสั่นเอ่ยขึ้นมาเมื่อถูกเด็กน้อยถอนหงอกเข้าให้
"สาวหาวยิ่งนัก!!”
ไป๋เจิ้งได้ยินหลานสาวตัวน้อยตอบโต้กลับมาอย่างไม่ไว้หน้า ถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ
“เด็กคนนี้… ช่างปากคอเราะร้ายนัก! เหมือนพ่อมันไม่มีผิด!”
เขาคำรามเสียงลอดไรฟัน ความโกรธและความอับอาย ตีตื้นขึ้นมาจนแทบคลั่ง
ไป๋หรงเฉินนั้นสั่นหัวไปมาราวกับไม่อยากจะใส่ใจเื่ไร้สาระนี่ เขาจึงเดินมาหาภรรยาหยางหลิงเย่ว เมื่อเห็นหน้าตาของนางสดใสเขาก็ที่จะดีใจและแปลกใจ จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งกับท่านแม่ที่นั่งพักอยู่ในรถม้า เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของลูกๆ ก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมา ความอบอุ่นและความสุขเล็กๆ น้อยๆ ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในหัวใจที่เหนื่อยล้าของพวกเขา
ไป๋อวี้เจียวมองดูรอยยิ้มของทุกคนในครอบครัว หัวใจของนางก็พลันอบอุ่นขึ้นมา นางรู้ว่า พลังวิเศษที่นางได้รับมานั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อตนเองเท่านั้น แต่มีไว้เพื่อปกป้องและช่วยเหลือครอบครัวของนาง ให้พวกเขากลับมามีความสุขอีกครั้ง
เมื่อตะวันลับขอบฟ้า แสงสุดท้ายสีส้มทองค่อยๆ เลือนหายไปจากท้องฟ้า ครอบครัวไป๋มารวมตัวกันรอบกองไฟ บรรยากาศเงียบสงัด ทุกคนต่างเหนื่อยล้าและหิวโหย ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความอ่อนแรง แม้แต่เสียงพูดคุยก็แ่เบา
ไป๋หรงเฉินมองหน้าลูกเมียและญาติพี่น้องด้วยความรู้สึกหนักใจ ข้าวสารที่เหลืออยู่แทบไม่พอประทังชีวิตไปได้อีกกี่วัน อาหารมื้อเย็นวันนี้ก็เป็เพียงข้าวต้มใสๆ ที่แทบไม่มีเนื้อสัตว์หรือผักเจือปน ช่างเป็่เวลาที่ยากลำบากเสียจริง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ มาทานข้าวต้มกันเถอะเ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงใสของลูกรักเรียกกินข้าวสองผัวเมียก็ประคองกันลงมาจากรถม้าและมานั่งรอบกองไฟที่จุดเอาไว้กองใหญ๋ เสียงใสแจ๋วของไป๋อวี้เจียวดังขึ้น ทำลายความเงียบงัน เด็กหญิงตัวน้อยถือชามข้าวต้มเดินเข้ามา ใบหน้ายิ้มแย้มสดใส ดวงตากลมโตเป็ประกายระยิบระยับ
ไป๋หรงเฉินมองตามบุตรสาวด้วยความสงสัย เมื่อว่านเขายังเห็นนางนั่งซึมอยู่ที่รถม้า เหตุใดบัดนี้กลับดูร่าเริงมีชีวิตชีวาถึงเพียงนี้
“เสี่ยวเจียวเจียว… วันนี้เ้าดูสดชื่นขึ้นมากนะลูกรัก” เขาเอ่ยทักด้วยความแปลกใจ
“ข้าหายแล้วเ้าค่ะท่านพ่อ ข้าแข็งแรงมากเลยท่านดูสิ” นางยกชามข้ามต้มที่ถือมาให้ท่านพ่อและท่านแม่ดู
“นี่!!นี่ข้าวต้มที่ข้าเป็คน คนเองเ้าคะท่านพ่อ ท่านพ่อกิน ๆ ” นางยื่นชามข้าวต้มที่ควันลอยหอมฉุยไปให้ท่านพ่อของนาง
ไป๋หรงเฉินรับชามข้าวต้มจากมือลูกสาวอย่างงงงัน เมื่อก้มลงมอง ก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ข้าวต้มในชามนั้นแตกต่างจากข้าวต้มจืดชืดที่เขากินเห็นอย่างสิ้นเชิง เม็ดข้าวอวบอิ่มสีขาวนวล ลอยเด่นอยู่ในน้ำข้าวสีขาวข้น ส่งกลิ่นหอมละมุนอบอวล ราวกับข้าวต้มที่ปรุงด้วยวัตถุดิบเลิศรส
“นี่มัน… ข้าวต้มอะไรกัน?” เขาพึมพำด้วยความสงสัย พลางตักข้าวต้มขึ้นมาชิมอย่างช้าๆ
ทันทีที่ข้าวต้มััลิ้น รสชาติหวานละมุนกลมกล่อมก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งปาก ความรู้สึกอบอุ่นสดชื่นไหลผ่านลงสู่กระเพาะ ความเหนื่อยล้าที่เคยสะสมมาทั้งวัน พลันมลายหายไปราวกับต้องมนตร์ ร่างกายที่อ่อนแรงกลับกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในทันที
“โอ้… นี่มัน!” ไป๋หรงเฉินอุทานด้วยความตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง มองชามข้าวต้มในมืออย่างไม่อยากเชื่อสายตา “ข้าวต้มอะไรกันนี่? ทำไมถึงได้…อร่อยถึงเพียงนี้! กลิ่นหอมเหลือเกิน นี่เ้ารองเป็คนทำเช่นนั้นหรือ..ไม่สิ นี่เจียวเจียวของพ่อเป็คนทำ?”
“ข้าเป็คน คนข้าวเองเ้าค่ะ เป็อย่างไรบ้างเ้าคะท่านพ่อ? อร่อยใช่หรือไม่?” ไป๋อวี้เจียวถามอย่างลุ้นระทึก ดวงตากลมโตเป็ประกายวาววับ
“อร่อย… อร่อยจนเหลือเชื่อ อร่อยเหลือเกินลูกรัก เ้าทำได้อย่างไร!” ไป๋หรงเฉินพยักหน้าหงึกหงัก ตักข้าวต้มเข้าปากอีกคำ “ข้าไม่เคยกินข้าวต้มที่ไหนอร่อยเท่านี้มาก่อนเลย!”
หยางหลิงเย่วและพี่น้องคนอื่นๆ เห็นอาการตกตะลึงของไป๋หรงเฉิน ก็อดไม่ได้ที่จะลองชิมข้าวต้มในชามของตนเองบ้าง และเมื่อได้ลิ้มรส ทุกคนก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความอัศจรรย์ใจเช่นกัน
“จริงด้วย! ข้าวต้มหอมหวานชื่นใจจริงๆ!” พี่ชายคนโตอุทาน “กินแล้วรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันทีเลย!”
“นี่มัน…อะไรกัน…” หยางหลิงเย่วพึมพำเสียงแ่เบา ดวงตางดงามจับจ้องชามข้าวต้มในมืออย่างไม่อยากเชื่อ นางตักข้าวต้มเข้าปากอีกคำ รสชาติหวานละมุนและพลังชีวิตที่ไหลเวียนอยู่ในร่าง ทำให้นางรู้สึกมีเรี่ยวแรงมากขึ้นกว่าเดิมมาก กลิ่นหอมคล้ายกับน้ำทิพย์ที่ลูกรักให้นางดื่ม หรือว่า??? …นางเงยหน้ามองไป๋อวี้เจียวที่กำลังตักข้าวต้มเข้าปากเช่นกัน เด็กน้อยยิ้มปากกว้างและพยักหน้าเล็กน้อยให้ท่านแม่ หยางหลิงเย่วเห็นรอยยิ้มของลูกสาวนางถึงกับยิ้มตามและตักข้าวต้มกินต่อไป
บรรยากาศรอบกองไฟพลันเปลี่ยนไป จากความเงียบเหงาหดหู่ กลับกลายเป็ความสดใสมีชีวิตชีวา ทุกคนในครอบครัวต่างพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่ซดข้าวต้มทิพย์รสเลิศ ความเหนื่อยล้าและความหิวโหย มลายหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความสุขและความอิ่มเอมใจ
ไป๋หรงเฉินมองดูลูกเมียหัวใจของเขาก็พลันอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด เขามองไปยังหม้อข้าวต้มใบใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างๆ ก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง ข้าวต้มในหม้อนั้นยังคงมีปริมาณมากอยู่
“เจียวเจียว… ข้าวต้มในหม้อนี่… เ้าทำไว้เยอะขนาดนี้เชียวหรือ?” เขาถามบุตรสาวด้วยความสงสัย
“ก็… ไม่มากนะเ้าคะท่านพ่อ” ไป๋อวี้เจียวตอบด้วยรอยยิ้ม
“ข้าแค่อยากให้ทุกคนได้ทานกันอย่างอิ่มหนำสำราญเท่านั้นเอง”
ไป๋หรงเฉินมองหน้าลูกสาวอย่างพิจารณาก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อยเขารู้สึกเสียใจที่ทำให้ลูกเมียต้องลำบาก แม้แต่ข้าวเล็กน้อยก็ยังไม่สามารถหาให้พวกเขาได้กินจนอิ่ม
“ข้าวต้มเหลือเยอะแยะขนาดนี้… พวกเราน่าจะแบ่งให้ครอบครัวของน้องเล็กไป๋หรงอี้และท่านอาไป๋เจี้ยนด้วยนะเ้าคะ” หยางหลิงเย่วเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบ
“จริงด้วย!” ไป๋หรงเฉินเห็นด้วยทันที “ข้าเกือบลืมเ้าเล็กและท่านอาไปเสียสนิท พวกเขาก็คงจะหิวโหยไม่แพ้พวกเรา”
ว่าแล้วไป๋หรงเฉินก็ลุกขึ้น ตักข้าวต้มใส่ชามขนาดใหญ่สองใบ เดินนำหน้าไปยังรถม้าของน้องชายและอาของเขา เมื่อไปถึงก็ยื่นชามข้าวต้มให้ด้วยรอยยิ้ม
“น้องเล็ก ท่านอา มาทานข้าวต้มด้วยกันเถิด วันนี้เจียวเจียวของข้า ทำข้าวต้มอร่อยยิ่งหนัก”
น้องชายของเขาไป๋หรงอี้และท่านอาของเขาไป๋เจี๊ยน ( สองคนนี้ไม่ได้แยกตระกูลยังอยู่กับไป๋หรงเฉิน ) ทั้งสองรับชามมาด้วยความงงเล็กน้อยเพราะตอนนี้อาหารนั้นทุกคนจำเป็ต้องประหยัดเหตุใดพี่ใหญ่จึงได้ทำข้าวต้มเยอะจนแบ่งพวกเขาได้เหล่า พวกเขารับชามข้าวต้มจากมือพี่ชายด้วยความงุนงง แต่เมื่อได้ชิมรสข้าวต้มน้ำทิพย์ของไป๋อวี้เจียว สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็ตกตะลึงเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในครอบครัว
“พี่ใหญ่… นี่มันข้าวต้มอะไรกัน? ทำไมถึงได้หอม และอร่อยมากเช่นนี้…” พวกเขาอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อเมื่อได้กินที่หอมฟ้งกระจายของข้าวต้ม ไป๋หรงเฉินไม่ได้พูดอะไร เพียงบอกให้พวกเขารีบกินตอนที่ข้าวต้มยังร้อนๆ และเดินกลับมาที่รถม้าของตัวเอง
ในคืนนั้นเองข้าวต้มน้ำทิพย์ที่ไป๋อวี้เจียวปรุงขึ้น ก็กลายเป็อาหารมื้อเย็นที่วิเศษที่สุดในชีวิตของทุกคนในครอบครัว ั้แ่กลายเป็นักโทษเนรเทศก็ว่าได้ ไป๋อวี้เจียวมองทุกคนในครอบครัวพลางคิดในใจว่า...
“รออีกหน่อยนะเ้าคะทุกคน อีกไม่นานข้าจะทำให้พวกเราทุกคนไม่ต้องทนลำบากเช่นนี้อีกต่อไป…”
****
