เมื่อเห็นหนีเจียเอ๋อร์แสดงท่าทางเช่นนั้น ลู่ซีก็ยิ่งร้อนรน ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะนำเื่นี้ไปบอกศิษย์พี่ใหญ่ นางจึงก้มลงกระซิบที่ข้างหู “ศิษย์พี่หญิง ข้ามีความลับจะบอกท่าน”
ซึ่งมันก็คือเื่ที่ศิษย์ผู้ดูแลห้องโอสถต่างเล่าลือกันนั่นเอง “มีข่าวว่า ท่านอาจารย์กำลังปรุงยาเพื่อรักษาท่าน”
หนีเจียเอ๋อร์ขมวดคิ้วมุ่น มิน่าเล่า หลายวันมานี้ อาจารย์ถึงมาตรวจดูาแของนางอยู่บ่อยครั้ง เห็นที คงต้องสอบถามอาจารย์ให้ชัดเจนเสียแล้ว
“ได้! เห็นแก่เ้าที่นำความลับมาบอก ข้าจะไม่เล่าเื่นี้ให้ศิษย์พี่ใหญ่ฟัง ไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะช่วยเ้าเื่ศิษย์พี่ใหญ่เอง ดีหรือไม่พี่สะใภ้ใหญ่?” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ
ลู่ซีหน้าแดงเรื่อ พลางบิดร่างด้วยความเขินอาย ก่อนกล่าวเสียงอ้อมแอ้ม “ศิษย์พี่หญิงอย่าเย้าข้าเลย ศิษย์พี่ใหญ่จะมาชายตามองข้าได้อย่างไร?” เอ่ยจบ นางก็วิ่งหนี
หนีเจียเอ๋อร์ฉีกยิ้ม เดินไปกินข้าวเช้า แล้วกลับไปเรียนกับควงเยวี่ยโหลวตามปกติ
เช้านี้ ควงเยวี่ยโหลวทำการทดสอบหญิงสาว โดยการเอาสมุนไพรชนิดหนึ่งมาสะบัดตรงหน้านาง แล้วถามว่ามันคือสิ่งใด มีฤทธิ์อย่างไร ควรใช้และไม่ควรใช้ร่วมกับสิ่งใด?
ซึ่งหนีเจียเอ๋อร์ก็ตอบได้ทุกคำถาม จึงผ่านการทดสอบไปได้ด้วยดี
ควงเยวี่ยโหลวพอใจยิ่งนัก จึงเพิ่มแบบทดสอบเกี่ยวกับอักษรสำหรับผู้พิการทางสายตาขึ้นมาอีกหนึ่งข้อ
และแน่นอนว่า หนีเจียเอ๋อร์ก็ยังสามารถตอบได้อย่างถูกต้องเช่นกัน
“ดี!” ควงเยวี่ยโหลวกล่าวอย่างพึงพอใจ
พอได้ยินคำชมจากผู้เป็อาจารย์ หนีเจียเอ๋อร์พลันฉีกยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ “แสดงว่า ท่านอาจารย์ไม่เสียใจที่รับข้าเป็ศิษย์แล้ว ใช่หรือไม่?”
ควงเยวี่ยโหลวยกยิ้มบางๆ
หนีเจียเอ๋อร์ค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มแย้ม ไปเป็จริงจัง ก่อนถามผู้เป็อาจารย์เสียงขึงขัง “อาจารย์ ข้าได้ยินมาว่า ท่านกำลังปรุงยาเพื่อรักษาดวงตาของข้าหรือเ้าคะ?”
ควงเยวี่ยโหลวย่นคิ้วเข้าหากัน เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบกลับมาว่า “อืม… แต่นั่นเป็เพียงยาที่ใช้รักษาโรคตาทั่วไปเท่านั้น”
เขาวางม้วนอักษรสำหรับผู้พิการทางสายตาลง แล้วหมุนตัวกลับไปยังที่นั่งของตน “พักผ่อนก่อนเถอะ แล้วหลังจากนี้ เราจะมาเรียนเกี่ยวกับชีพจรกัน”
เมื่อได้ยินคำตอบที่ชัดเจน หญิงสาวก็ไม่คิดจะถามอะไรอีก เพียงหันหน้าไปทางหน้าต่างห้อง
ภาพตรงหน้า มีเพียงความมืดมิด...
หนีเจียเอ๋อร์ลอบถอนหายใจ จากนั้น ดวงตาภายใต้ผ้าพันแผลก็ค่อยๆ ปิดลง
พอได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ควงเยวี่ยโหลวจึงถอดเสื้อคลุมของตน แล้วนำไปคลุมให้นางอย่างเบามือ
ก๊อกๆ!
“ท่านอาจารย์”
ด้วยเกรงว่าหนีเจียเอ๋อร์จะตื่น ควงเยวี่ยโหลวจึงรีบไปเปิดประตูทันที “มีอะไรหรือ?”
พลันพบเข้ากับเหอมู่หลิงที่กำลังยืนยิ้ม พร้อมถาดข้าวต้มในมือ “อาจารย์ ศิษย์ได้ยินมาว่า เช้านี้ท่านยังมิได้รับประทานอะไรเลย ศิษย์จึงไปที่ครัวเพื่อต้มข้าวต้มมาให้”
เหอมู่หลิงก้าวเท้าหมายจะเดินเข้าไปด้านใน เพื่อนำข้าวต้มไปวาง แต่ควงเยวี่ยโหลวกลับไม่ยอมหลีกทางให้นางเข้าไปในห้อง หญิงสาวจึงหน้าเสียเล็กน้อย
“เ้ามาที่นี่เพื่อร่ำเรียนวิชาความรู้ หาใช่รับใช้ผู้ใด เอาเวลานี้ไปตั้งใจเล่าเรียนจะดีกว่า!” ควงเยวี่ยโหลวเอ่ยเสียงเ็า ก่อนจะงับบานประตู
แต่ขณะที่ประตูกำลังจะปิดลง เหอมู่หลิงกลับเหลือบไปเห็นหนีเจียเอ๋อร์ ซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ในห้อง มือทั้งสองที่ถือถาดข้าวต้ม พลันกระชับแน่นด้วยความโกรธ
ทั้งๆ ที่ตนหวังดี นำข้าวต้มมาให้ กลับเอ่ยปากบอกให้ตั้งใจเรียน...
ขณะเดียวกัน ก็ปล่อยให้หนีเจียเอ๋อร์นอนหลับสบายอยู่ในห้อง?
อาจารย์… ท่านจะลำเอียงเกินไปแล้ว!
…
เหอมู่หลิงนำถาดข้าวต้มกลับมาด้วยความโมโห พลางหยิบถ้วยข้าวต้มขึ้นมา หมายจะเทมันทิ้งเสียให้หมด แต่ตอนนั้นเอง ก็ได้ยินลู่ซีพูดกับศิษย์น้อง ว่าจะทำถุงหอมให้หนีเจียเอ๋อร์...
ถุงหอมหรือ?
เหอมู่หลิงชะงักมือ ครุ่นคิดบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนแสยะยิ้มร้าย จากนั้นก็เปลี่ยนใจ นำถ้วยข้าวต้มกลับไปที่ห้อง และกินเองจนหมด
...
หลังอาหารมื้อเย็น ลู่ซีก็มอบถุงหอมทำมือให้หนีเจียเอ๋อร์
จริงๆ แล้วหญิงสาวไม่ค่อยพกถุงหอมเท่าไรนัก แต่เพราะเห็นถึงความตั้งใจของลู่ซีที่อุตส่าห์ทำเพื่อตน หนีเจียเอ๋อร์จึงรับมันมา ทั้งยังตั้งใจว่าหลังจากนี้จะพกติดตัวเอาไว้
“ขอบคุณนะลู่ซี”
ลู่ซีส่ายหน้า “แค่ศิษย์พี่หญิงชอบ ข้าก็พอใจแล้ว ”
จากนั้นก็พาหนีเจียเอ๋อร์กลับไปส่งที่เรือน แล้วอยู่พูดคุยด้วยจนค่ำมืด ก่อนผละจากไป
...
เช้าวันถัดมา หนีเจียเอ๋อร์รู้สึกมึนหัวเล็กน้อย แต่คิดว่าอาจจะเป็เพราะตนนอนดึก เลยมีอาการเช่นนี้ จึงส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจ แล้วลุกไปหยิบเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยน ก่อนเดินไปหยิบถุงหอมที่ปลายเตียงมาใส่ไว้ในแขนเสื้อ
แต่ทันทีที่นางย่างกรายเข้ามาในเรือนของควงเยวี่ยโหลว เขาก็ขมวดคิ้วแน่น “เหตุใดสีหน้าของเ้าจึงย่ำแย่เช่นนั้น?”
หนีเจียเอ๋อร์แตะแก้มของตน “แย่หรือเ้าค่ะ?”
ไม่แปลกใจแล้ว ว่าเหตุใดเช้านี้นางจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว
พอควงเยวี่ยโหลวจับชีพจร ก็ตรวจพบทันทีว่านางต้องพิษ โชคดีนัก ที่ปริมาณของมันมิได้มากพอที่จะทำให้ถึงแก่ชีวิต
“เ้ามีถุงหอมหรือไม่? หากมี ก็นำมันออกมา”
หนีเจียเอ๋อร์จึงหยิบถุงหอมในแขนเสื้อออกมา “นี่เ้าค่ะ!”
ควงเยวี่ยโหลวเปิดถุงหอมออก ก็พบว่าเป็ผงพลับพลึง[1] ซึ่งเป็พิษชนิดเดียวกับที่หนีเจียเอ๋อร์ได้รับมาจริงๆ “ใครเป็คนให้ถุงหอมนี่กับเ้า?”
“เป็ลู่ซี ที่มอบให้ข้าเมื่อวานนี้เ้าค่ะ” เอ่ยจบ หนีเจียเอ๋อร์ก็นิ่งไป
“อาจารย์ ท่านจะบอกว่าที่ข้าอาการไม่ค่อยสู้ดี เป็เพราะถุงหอมนี่หรือเ้าคะ? จะเป็ไปได้อย่างไร? ข้าเชื่อว่าลู่ซีไม่ทำเช่นนั้นแน่เ้าค่ะ!”
ควงเยวี่ยโหลวทำลายถุงหอมทิ้งทันที “อะไรทำให้เ้าแน่ใจขนาดนั้น?”
หนีเจียเอ๋อร์จึงยืนยันเสียงหนักแน่น “อาจเป็สัญชาตญาณของผู้หญิงกระมังเ้าคะ”
ควงเยวี่ยโหลวเย้าว่า “เ้าเพิ่งอายุเท่าไร? กลับคิดว่าตัวเองมีสัญชาตญาณของผู้หญิงเสียแล้ว!”
หนีเจียเอ๋อร์ยืดอก แล้วกล่าวอย่างเต็มภาคภูมิ “ปีนี้ข้าอายุสิบหก ดังนั้น ถือว่าเป็ผู้หญิงเต็มตัวแล้วเ้าค่ะ ท่านอาจารย์!”
ควงเยวี่ยโหลวรีบเบือนหน้าหนี เมื่อรู้ตัวว่าตนได้ทำในสิ่งที่ไม่สมควร... ดันเผลอไปมองก้อนเนื้อทั้งสองของอีกฝ่ายเสียนี่!
หูของเขาแดงก่ำ ขอบคุณ์ที่ควงเจียมองไม่เห็น มิฉะนั้น เขาคงไม่มีหน้าจะมาพบลูกศิษย์คนนี้อีกเป็แน่ “แต่ในสายตาข้า เ้าคือเด็กน้อยเสมอ!”
หนีเจียเอ๋อร์หัวเราะเสียงดัง “โอ้... ขนาดยังเด็ก ข้าก็งดงามถึงเพียงนี้แล้ว โตขึ้น ย่อมงามกว่านี้แน่ ท่านอาจารย์เห็นด้วยหรือไม่เ้าคะ?”
ควงเยวี่ยโหลวถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่เขากำลังโดนลูกศิษย์หยอกหรือ?
แม้จะรู้ตัวไว และตอนนี้ก็สามารถถอนพิษออกไปจนหมดแล้ว แต่ควงเยวี่ยโหลวก็ไม่กล้าวางใจ ด้วยกลัวว่าในอนาคต นางอาจจะถูกคนปองร้ายหมายชีวิตได้อีก เขาจึงบอกให้หนีเจียเอ๋อร์ย้ายเรือนมาอยู่ใกล้ๆ ตน
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ทั้งสองสนิทสนมกันยิ่งกว่าเดิม...
-------------------------------------
[1] พลับพลึง (文殊兰: เหวินซูหลาน) เป็ไม้ล้มลุกมีหัวชนิด Crinum asiaticum L. ในวงศ์ Amaryllidaceae ใบยาวใหญ่เป็กาบ หัวมีพิษ ดอกสีขาวมีกลิ่นหอม มีสรรพคุณทางยา ดังนี้
1) ใบ: มีรสขม ใช้พันรักษาอาการฟกช้ำ บวม เคล็ด ขัด ยอก แพลง โดยจะใช้ใบพลับพลึงอย่างเดียว หรือตำร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ แล้วนำไปปิดบริเวณที่ปวดก็ได้ ใช้รักษาอาการปวดศีรษะ บวม และลดไข้ เป็ยาบำรุงกำลัง ขับเสมหะ เป็ยาระบาย ทำให้คลื่นเหียนอาเจียน สามารถถอนพิษได้ดี นอกจากนี้ยังนำไปรักษาโรคที่เกี่ยวกับปัสสาวะ และน้ำดีได้อีกด้วย
2) เมล็ด: ใช้เป็ยาบำรุง ยาระบาย ขับระดู และขับปัสสาวะ
3) ราก: เคี้ยวให้แหลกจนเป็น้ำ แล้วกลืนเอาแต่น้ำเข้าไป จะทำให้อาเจียน ใช้รักษาพิษยางน่อง หรือใช้ตำพอกาแ