เสียงปรบมือดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ หนีเจียเอ๋อร์และโจวชิงหวามองหน้ากัน พลางคลี่ยิ้มอย่างยินดี ก่อนลุกขึ้นโค้งคำนับไปทางฮ่องเต้และเหล่าผู้ชม
โจวชิงหวาเอนตัวลงมากระซิบเบาๆ “ทำให้ทุกคนชื่นชมเราได้ขนาดนี้ เ้าไม่คิดจะขอบคุณข้าหน่อยหรือ?”
หนีเจียเอ๋อร์หรี่ตาลง “เหอะ! ดูพูดเข้า มิใช่เป็เพราะเ้าหรอกหรือ ข้าถึงต้องมายืนอยู่ตรงนี้ รู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่ สาวๆ ของเ้านำกู่ฉินสายขาดมาให้ข้าบรรเลง ทำกันถึงขนาดนี้ วันหน้าจะไม่มอบยาพิษให้ข้าเลยหรือ?”
โจวชิงหวากำลังจะโต้กลับ แต่เสียงของขันทีก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ด้วยโองการแห่งฟ้า หนีเจียเอ๋อร์ บุตรีคนรองของใต้เท้าหนี เสนาบดีกรมพิธีการ เป็ผู้เปี่ยมไปด้วยพร์และคุณธรรม ทั้งยังมากความสามารถ ฮ่องเต้จึงทรงมีพระเมตตา ประทานรางวัลแด่สตรีผู้เก่งกาจอันดับหนึ่ง เป็ผ้าไหมสูจิ่น[1]สิบผืน ผ้าคู่จิ่น[2]สิบผืน กำไลหยกสองคู่ ไข่มุกหนึ่งหู หินหมาเหน่า[3]หลากสี แหวนสิบวง ทองและเงินอย่างละพันเหลียง[4]”
“ส่วนโจวชิงหวา ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง ทรงประทานรางวัลเป็สุราชั้นเลิศจากดินแดนตะวันตกสิบไห เสื้อคลุมขนสัตว์หนึ่งชุด กำไลทองสมปรารถนาหงส์ัฝังอัญมณีหนึ่งคู่ พร้อมทองและเงินอย่างละร้อยเหลียง”
แค่บรรเลงเพลงไม่กี่นาที แต่กลับได้รับรางวัลมากมายเช่นนี้ ผู้คนทั้งงานจึงส่งเสียงฮือฮาทันที
โจวชิงหวากับหนีเจียเอ๋อร์ก็คาดไม่ถึงเช่นกัน รีบก้าวไปข้างหน้า ก่อนทิ้งตัวลงคุกเข่า แล้วกล่าวขอบคุณในทันใด
“ขอบพระทัยฝ่าา ที่ทรงประทานของรางวัลมากมายเหล่านี้ให้กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!”
“ขอบพระทัยฝ่าา ที่ทรงประทานของรางวัลมากมายให้หม่อมฉันเพคะ!”
อีกด้านหนึ่ง ฉินเหยียน หนีจวิ้นหว่าน และคนอื่นๆ ต่างหน้าเสียไปตามๆ กัน ด้วยไม่คิดว่าหนีเจียเอ๋อร์จะสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จนพลิกสถานการณ์ได้ ดังนั้น นอกจากพวกตนจะไม่อาจทำลายชื่อเสียงของอีกฝ่ายแล้ว ยังส่งเสริมให้นางโดดเด่นขึ้นไปอีก!
โดยผู้ที่เสียหน้ามากที่สุดก็มิใช่ใครอื่น แต่เป็สวีเพ่ยหราน ที่ดูเหมือนจะถูกแย่งตำแหน่ง ‘ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง’ ไปนั่นเอง
ไม่นึกเลย ว่าเขาจะต้องมาเสียหน้าเพราะพ่อค้าคนเดียวเช่นนี้
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน “ฝ่าา กระหม่อมรู้สึกไม่สบาย จึงอยากจะขอกลับจวนไปพักผ่อนก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
กู่หังจิ่นจึงตอบ “หากเ้าไม่ค่อยสบาย ก็กลับไปพักผ่อนเถอะ”
สวีเพ่ยหรานเดินออกจากงานอย่างรวดเร็ว เมื่อหนีจวิ้นหว่านเห็นเช่นนั้น ก็รีบตามไปติดๆ
ผลของการประชันบทกลอน โจวชิงหวาคือผู้ชนะ
ส่วนการบรรเลงดนตรี หนีเจียเอ๋อร์ก็ได้รับสมญานามใหม่ว่า ‘สตรีผู้เก่งกาจอันดับหนึ่ง’ เช่นกัน
...
หลังงานชมบุปผาจบลง แเื่ก็ทยอยเดินทางกลับ จนตอนนี้ เหลือเพียงโจวชิงหวาและหนีเจียเอ๋อร์ที่ยังอยู่ในงาน
กู่หังจิ่นค่อยๆ ก้าวลงมาจากบัลลังก์ เดินตรงมาหาพวกเขา ทั้งยังเอ่ยชมไม่ขาดปาก “อีกห้าวัน องค์ชายสามแห่งแคว้นจิวอวี่พร้อมคณะราชทูตจะมาเยือนแคว้นของเรา พวกเ้ายินดีที่จะบรรเลงเพลงในงานเลี้ยงต้อนรับหรือไม่?”
หนีเจียเอ๋อร์กำลังจะอ้าปากปฏิเสธ แต่โจวชิงหวากลับชิงตัดหน้า รับปากเสียก่อน “ถือเป็เกียรติของชิงหวาและคุณหนูรองอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
กู่หังจิ่นพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนเหลือบมองหญิงสาว พลางเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “บทเพลงที่เ้าบรรเลงนั้นยังคงดังติดหู จนข้าแทบอดใจรอฟังอีกครั้งไม่ไหว”
หนีเจียเอ๋อร์นิ่งงัน ไม่รู้ควรจะตอบอย่างไรดี ฮ่องเต้ผู้นี้เป็คนที่คาดเดาได้ยาก เมื่อชาติก่อนก็เหมือนกัน ด้วยใบหน้าฉาบรอยยิ้มเช่นนั้น ใครจะไปรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่...
โจวชิงหวาที่ยืนอยู่ข้างๆ ดูจะร้อนใจเล็กน้อย แต่ก็มิได้เอ่ยอันใด
หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดอย่างนอบน้อม “นับเป็เกียรติของหม่อมฉันอย่างยิ่ง ที่จะได้บรรเลงกู่ฉินในงานเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตจากจิวอวี่เพคะ”
“แต่ข้าไม่เห็นด้วย!” เสียงหนึ่งดังขึ้น
หนีเจียเอ๋อร์และโจวชิงหวาหันกลับไปมองโดยพร้อมเพรียง จึงพบว่าเป็สตรีนางหนึ่ง ซึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับกู่หังจิ่น กำลังเดินปรี่เข้ามาด้วยท่าทีโมโห
ผมดำขลับถูกมัดรวบ และประดับด้วยเครื่องประดับผมอันงดงาม พู่สีสวยสะบัดพลิ้วทุกครั้งที่เคลื่อนไหว ผิวขาวเนียนละเอียดดั่งหยก เป็ความงามที่ไม่ว่าผู้ใดได้พบเห็น เป็ต้องตะลึงงันราวกับต้องมนตร์
“เ้าจะเสียงดังไปทำไม?” กู่หังจิ่นปรามเสียงต่ำ ก่อนหันมาแนะนำให้คนทั้งสองรู้จัก “นี่คือองค์ใหญ่กู่อวี่เสวียน ขนิษฐาของข้าเอง”
โจวชิงหวาและหนีเจียเอ๋อร์จึงโค้งกายคำนับ
แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ รีบเข้าไปดึงแขนเสื้อของกู่หังจิ่น พลางเอ่ยเสียงกระเง้ากระงอด “เสด็จพี่ แล้วข้าเล่า? ท่านเคยสัญญาว่าจะให้ข้าบรรเลงเดี่ยวมิใช่หรือ? ท่านเป็ถึงผู้ครองแผ่นดินเชียวนะ จะตระบัดสัตย์ได้อย่างไร!”
กู่หังจิ่นดึงมือที่กำลังเขย่าแขนเสื้อของตนออก พลางแสร้งทำทีเป็ครุ่นคิด “อา! ลืมไปเลย แต่ข้าบอกพวกเขาไปแล้ว จะให้กลับคำหรือ? เช่นนั้น พวกเ้าทั้งสามก็บรรเลงด้วยกันเสียเลย ดีหรือไม่?” เขากล่าว ก่อนหันไปหาโจวชิงหวาและหนีเจียเอ๋อร์ “ไหนๆ ก็อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว พวกเ้าก็หารือเื่นี้กับองค์หญิงใหญ่ไปเลยก็แล้วกัน”
“กลับวัง!”
ขาดคำ กู่หังจิ่นพร้อมเหล่าขุนนาง ก็เดินทางกลับวังทันที
ด้านกู่อวี่เสวียน ตอนนี้ก็ได้แต่กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ แล้วหันขวับไปจับจ้องหนีเจียเอ๋อร์
“อย่าคิดว่าเสด็จพี่ขนานนามเ้าว่า สตรีผู้เก่งกาจอันดับหนึ่งแล้ว จะทำอะไรก็ได้นะ!”
ทว่าหญิงสาวเพียงตอบเสียงเรียบ “หม่อมฉันมิกล้า”
กู่อวี่เสวียนเชิดหน้าขึ้น “มิกล้า? คุณหนูต่ำต้อยเช่นเ้ามีดีอะไร ถึงกล้ามาแสดงต่อหน้าพระพักตร์องค์ชายสามแห่งจิวอวี่? ฮึ่ม! อย่าแม้แต่จะคิดย่างกรายเข้ามาในงาน มิฉะนั้นได้เห็นดีกันแน่!” กล่าวจบ ก็ปรายตามองโจวชิงหวา “ข้าได้ยินมาว่า เ้าเป็ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง เช่นนั้น ข้าจะยอมบรรเลงร่วมกับเ้าก็ได้!”
แต่ชายหนุ่มยืนนิ่ง มิได้ตอบอันใด
หนีเจียเอ๋อร์เหยียดยิ้มมุมปาก ก่อนโค้งกายลงเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ฝ่าา หม่อมฉันหาได้อยากจะรับหน้าที่นี้ แต่เป็พระประสงค์ของฮ่องเต้ จึงไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้น หากพระองค์ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี คงจะเป็พระกรุณาธิคุณยิ่งเพคะ”
“บังอาจ กล้าดีอย่างไรถึงมาพูดจากับข้าเช่นนี้!” กู่อวี่เสวียนเลิกคิ้ว พลางตวัดมือขึ้น หมายจะตบหน้าหนีเจียเอ๋อร์เป็การสั่งสอน
โจวชิงหวาเข้ามาสกัดมือเรียวเอาไว้ได้ทัน จากนั้นก็บีบเต็มแรง จนองค์หญิงใหญ่ถึงกับร้องลั่นด้วยความเ็ป “โอ๊ย... เจ็บ ปล่อยข้านะ!”
ชายหนุ่มปล่อยมือ พลางเอ่ยเสียงเย็นะเื “ฝ่าา พวกเราขอทูลลา”
จากนั้นก็คว้าข้อมือของหนีเจียเอ๋อร์ เดินออกจากบริเวณนั้นไปทันที แต่ก็ไม่วายมีเสียงะโอย่างขุ่นเคืองของกู่อวี่เสวียนดังมาจากด้านหลัง “โจวชิงหวา เ้ากล้าดีอย่างไร ถึงทำกับข้าเช่นนี้ คอยดูเถอะ เื่ไม่จบแค่นี้แน่!”
หนีเจียเอ๋อร์เงยหน้ามองชายหนุ่ม แล้วพูดด้วยความกังวล “แม้อยากปกป้องข้า แต่ก็ไม่ควรทำให้องค์หญิงใหญ่กริ้ว หากนางทำอะไรเ้าขึ้นมา จะทำอย่างไร?”
โจวชิงหวาหยุดเดิน ก่อนจับไหล่มนทั้งสองข้าง แล้วดันนางไปชิดผนังไม้แกะสลัก “เสี่ยวเอ๋อร์ เ้าเป็ห่วงข้าหรือ?”
หญิงสาวมีท่าทีงงงัน กะพริบตาปริบๆ แล้วกล่าวว่า “การที่ข้าเป็ห่วงพี่ชาย ถือเป็เื่แปลกหรือ?”
ดวงตาวาววับฉายแววผิดหวังเล็กน้อย ชายหนุ่มละมือออกจากไหล่ของหนีเจียเอ๋อร์ พลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ไม่แปลกหรอก ไปกันเถอะ”
จากนั้น เขาก็ไปส่งอีกฝ่ายที่จวนสกุลหนี
ทันทีที่มาถึง ก็พบว่าที่หน้าจวนเต็มไปด้วยฝูงชนนับร้อย นำโดยนายท่านสกุลหนี ซึ่งมีสีหน้าปลาบปลื้มยินดี
“เสี่ยวเอ๋อร์ วันนี้เ้าเหนื่อยมามากแล้ว เข้าไปข้างในก่อนเถอะ”
เว่ยอี๋เหนียงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ “รางวัลที่ฝ่าาประทานให้ ถูกนำไปวางไว้ที่เรือนของเ้าแล้ว เข้าไปดูกัน”
โจวชิงหวาก็ถูกเชิญเข้ามาในจวนเช่นกัน
และในมื้อค่ำ ก็ไม่พ้นถูกนายท่านสกุลหนีเรียกร้องให้อ่านบทกวี ที่เขาประพันธ์ในงานเลี้ยงให้ฟัง
--------------------------------------
[1] ผ้าไหมสูจิ่น เป็ผ้าไหมที่เรียกชื่อตามแหล่งผลิตคือ “แคว้นสู่” ในสมัยโบราณ หรือบริเวณแถบมณฑลเสฉวนในปัจจุบัน มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าสองพันปี เกิดขึ้นใน่ยุคชุนชิว รุ่งเรืองที่สุดใน่ฮั่นถัง
ในบรรดาผ้าไหมจิ่นซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของจีนทั้ง 3 ชนิด อันได้แก่ ผ้าไหมสูจิ่นของเฉิงตู ผ้าไหมหยุนจิ่นของหนานจิง และผ้าไหมซ่งจิ่นของซูโจว ผ้าไหมสูจิ่นถือเป็ผ้าไหมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุด จึงได้รับการขนานนามว่าเป็ ‘มารดาแห่งผ้าไหมจีน’
ผ้าไหมสูจิ่น ถือเป็เครื่องแต่งกายชั้นสูง มาั้แ่สมัยโบราณ และได้รับการอนุมัติจากสภารัฐกิจให้เป็มรดกโลกทางวัฒนธรรมกลุ่มแรก เมื่อปี ค.ศ. 2006
การทอผ้าไหมสูจิ่นต้องใช้เครื่องทอไม้ในการทอ โดยต้องใช้คนสองคน แบ่งเป็้าและด้านล่าง ซึ่ง้าจะเป็ ‘ช่างทอลาย’ ที่จะใช้เส้นด้ายเพื่อทอเป็ลวดลายต่างๆ ส่วนด้านล่างจะเป็ ‘ช่างคุมกระสวย’ คอยสอดเส้นด้ายเข้าสู่กระสวย และช่างทั้งสองคนจะต้องทำงานร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง
ผ้าไหมสูจิ่นที่ถักทอด้วยมือถือเป็ของล้ำค่า เพราะแม้แต่ช่างทอผ้าผู้ชำนาญการ ก็ยังทอได้ไม่เกิน 10 เิเต่อวันเท่านั้น
[2] ผ้าคู่จิ่น คือผ้าฝ้ายที่ใช้ด้ายสีทอง สีเงิน และสีอื่นๆ ทอเป็ลวดลายต่างๆ
[3] หินหมาเหน่า หมายถึง โมรา
[4] เหลียง คือหน่วยการเรียกจำนวนเงินและทองคำในสมัยราชวงศ์ชิง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้